xs
xsm
sm
md
lg

ต่อสัญญาช่อง 3 อย่าจบแบบน้ำเน่า-เอาเปรียบ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถ้าจะนับเดือนนับปีก็เริ่มถึงเวลา “เข้าด้ายเข้าเข็ม” กันอีกครั้งสำหรับการต่อสัญญาสัมปทานเพื่อเข้าไปบริหารโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งในปัจจุบันบริษัท บีอีซีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) กำลังดำเนินการมานานหลายสิบปี ทุกอย่างกำลังจะเดินมาครบวงรอบของมันอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงกิจการวิทุยโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า “ฟรีทีวี” แล้วยิ่งเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทางธุรกิจอันมหาศาล ยิ่งต้องมีการวิ่งเต้นทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครอง หรือไม่ก็ต้องคงสภาพการบริหารในลักษณะเดิมให้ได้นานที่สุด

หากจะพิจารณากันเฉพาะกรณีของช่อง 3 ก็ย่อมปฏิเสธความจริงไม่ได้เป็นอันขาดว่า อยู่ในกำมือของตระกูล “มาลีนนท์” มาตั้งแต่แรก รวมทั้งปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นเดียวกันว่าตระกูลนี้ก็ได้อาศัย “ต่อยอด” ทางธุรกิจและทาง “การเมือง” จนสามารถก้าวกระโดดไปไกลอย่างไม่น่าเชื่อ

จนกระทั่งติดกลุ่ม 1 ใน 5 อภิมหาเศรษฐีของเมืองไทย และยังผลักดันคนในตระกูลอย่าง ประชา มาลีนนท์ เข้าสู่อำนาจทางการเมือง ได้เป็นถึงรัฐมนตรีต่อเนื่องกันมาระยะหนึ่ง

แม้ว่าอีกด้านหนึ่งความร่ำรวย และอำนาจการเมืองดังกล่าว อาจมาจากชั้นเชิงและความสามารถส่วนตัวก็ตาม

อย่างไรก็ดี เมื่อการดำเนินธุรกิจที่ต้องมาเกี่ยวพันกับรัฐ และผลประโยชน์ของรัฐก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกตรวจสอบอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาให้มากที่สุด แต่ที่ผ่านมาทุกอย่างมัน “คลุมเครือ” ส่อไปในทางไม่โปร่งใส

สำหรับสัญญาช่อง 3 ที่บริหารโดยบริษัท บีอีซีเวิลด์ ในปัจจุบันกำลังจะหมดสัญญาสัมปทานลงในปี 2553 และตามเงื่อนไขเดิมผู้ที่ได้รับสัมปทานเดิมมีสิทธิ์ที่จะได้รับโอกาสในการพิจารณาต่อสัญญาไปอีก 10 ปี คือตั้งแต่ปี 2553-2563 ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทดังกล่าวได้เสนอจ่ายให้กับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าของสัมปทานเป็นจำนวนเงิน แค่ 2,002 ล้านบาท

ซึ่งถ้าคิดคำนวณแยกย่อยออกมาเป็นรายปี ก็แค่ประมาณ 2 ร้อยล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละไม่ถึงล้านบาทเท่านั้น

แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของทรูวิชั่นที่ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ อสมท เป็นจำนวนเงินถึง 650 ล้านบาทต่อปี แล้วก็ถือว่า “ถูกเหมือนได้เปล่า”


เพราะต้องไม่ลืมว่าช่อง 3 เป็นฟรีทีวี มีโฆษณาได้สะดวกเมื่อเทียบทรูวิชั่นที่เป็นโทรทัศน์แบบบอกรับเป็นสมาชิกหรือเป็นลักษณะทีวีดาวเทียม การหาโฆษณาย่อมทำได้ยากกว่า และราคาค่าโฆษณาก็ยังถูกกว่าแทบไม่เห็นฝุ่น

ว่ากันเฉพาะค่าโฆษณาช่วงข่าว และละครหลังข่าวของ 3 เวลานี้อยู่ที่ นาทีละ 2 แสนบาท ถึงสี่แสนบาท ลองหลับคิดดูแล้วกันว่าในหนึ่งชั่วโมงรวมเป็นราคาเท่าไหร่

แม้ว่าการทำธุรกิจทุกอย่างย่อมต้องมีการลงทุน มีต้นทุน มีค่าใช้จ่ายจิปาถะ แต่เมื่อบวกลบดูแล้วรับรองว่ายังมีกำไรมากมายจนเกินควร

อีกมุมหนึ่งจะพยายามเข้าใจว่าในการทำธุรกิจจะต้องมุ่งหาผลกำไรสูงสุด แต่ขณะเดียวกันการ
ทำธุรกิจในยุคใหม่ก็ต้องไม่เอาเปรียบสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำสัญญากับรัฐ

แต่เมื่อพลิกดูประวัติเก่าๆ ย้อนหลังกลับไปเมื่อหลายปีก่อนก็เคยมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการต่ออายุสัมปทานในลักษณะเดียวกันมาแล้ว ซึ่งสมัยนั้นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่กำกับดูแล อสมท ก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั่นเอง ซึ่ง “ในวงการ” รับรู้กันดีว่ามีการ “เอื้ออาทร” ซึ่งกันและกันแบบผิดปกติ

มีการแก้ไขสัญญาเพื่อลดค่าตอบแทนให้กับรัฐลงเรื่อยๆ

อย่างไรก็ดี เมื่ออำนาจเปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน หลายก็อาจต้องเปลี่ยนตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาจากสัญญาณจากคณะกรรมการบริหาร อสมท ชุดปัจจุบัน ที่มี สุรพล นิติไกรพจน์ เป็นประธาน ก็เริ่มมีความหวังมากขึ้น ล่าสุดมีการตั้งอนุกรรมการที่มาจากหลายฝ่าย ทั้งจากสำนักนายกฯ อัยการสูงสุด อสมท และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่ง มาพิจารณารายละเอียดในทุกแง่ทุกมุม รวมไปถึงกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) อีกด้วย เพราะมีวงเงินเกิน 1 พันล้านบาท

ต้องพิจารณาในเรื่องค่าสัมปทานจะต้องสมเหตุสมผล และยุติธรรม ซึ่งแม้ว่าเวลานี้ทุกอย่างยังไม่ได้ข้อสรุป ยังต้องยื้อกันอีกหลายยก รวมทั้งยังไม่รู้ว่าในอนาคตตระกูลมาลีนนท์จะยังได้ผูกขาดบริหารช่อง 3 ได้อีกหรือไม่

แต่รับรองว่า เมื่อได้เห็นสัญญาณจากคณะกรรมการบริหาร อสมท ชุดใหม่ รวมไปถึงรัฐบาลที่เป็นขั้วอำนาจใหม่เข้ามาแทน ทุกอย่างคงไม่ซ้ำรอยเดิมแน่

ที่สำคัญในท้ายที่สุดยังขึ้นอยู่กับว่าผู้บริหารในตระกูลมาลีนนท์จะเลือกให้จบแบบไหน แบบมีสาระหรือแบบ ละคร “น้ำ เน่า” หลังข่าว ให้เลือกเอา !!

กำลังโหลดความคิดเห็น