รวดเร็วทันใจ ส่อเค้าเป็นรัฐบาล “ฟาสต์ฟูดคาบิเนต” เมื่องบประมาณจำนวนมหาศาล ทั้งพ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงิน 8แสนล้านบาท รวมยอดตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 1.43ล้านล้านบาท และพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2553 อีก1.7ล้านล้านบาท ผ่านสภาฯ ฉลุย
รอเพียงเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา เป็นอีกด่านสำคัญ ที่ต้องหวังพึ่งบรรดา ส.ว. สภาสูง จะต้องทำหน้าที่ให้เต็มประสิทธิภาพ ตั้งวงชำแหละให้เห็นเนื้อในทุกอณูของเค้กก้อนโตก้อนนี้
ต้องไม่เปิด “ไฟเขียว”กันได้ง่ายๆ ไม่เป็นเพียง“ตรายาง”อย่างในอดีต
อย่างไรก็ดี ถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่าประชาชนคนไทยเขียน “เช็คเงินสด”ให้รัฐบาล และนายกฯโอบามาร์คไปแล้ว ต้องภาวนากันว่า ให้คนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดีเลิศประเสริฐศรีอย่างภาพที่เห็น
เป็นนายกฯ ที่มีหัวใจ คือประเทศชาติและประชาชนจริงๆ
เม็ดเงินที่เก็บจากภาษีที่ชาวบ้านควักจ่าย และที่ต้องไปกู้ยืมมา ให้หนี้สิ้นต่อหัวของพี่น้องประชาชนคนไทยพุ่งพรวดทะลุไปเกือบรายละแสนบาทต่อคน ควรจะได้บริหารจัด ใช้จ่ายกันให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
อย่าให้เป็นเพียงการแบ่งสันปันส่วน รีบ“แดกด่วน”อย่างที่กลัวๆ กันเลย
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส2 SP2 หรือ Stimulus Package ที่ว่ามีแต่หัวข้อหัวเรื่องโครงการ แต่รายละเอียดไม่มี ปิดช่องการตรวจสอบ แต่เปิดช่องให้ง่ายต่อการ
ซิกแซ็ก ซ่อนเร้น พลิกแพลง เปลี่ยนแปลงโครงการ
โครงการลงทุนต่างๆ เหล่านี้ ที่เน้นไปทาง อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ผุดสารพัดเมกะโปรเจกต์ ทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การคมนาคม ขนส่งมวลชน หรือระบบชลประทาน แหล่งน้ำ รวมแล้วเกินกว่าครึ่งของเงินกู้ทั้งหมด
เป็นเรื่องเข้าใจได้ในความจำเป็น ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยรูดไหลลงสู่ก้นเหว ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ล่มสลาย เมื่อภาคเอกชนไม่มั่นใจที่จะลงทุน ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องเข้าไปทำหน้าที่นี้แทน ด้วยการทุ่มงบฯเข้าไปกระตุ้นอัดฉีด ผลักดันกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนานใหญ่
ที่ต้องขอติงก็คือ นอกจากยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว แต่รัฐบาลยังขาดไปก็คือยุทธศาสตร์ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
หลังจากเห็นบทเรียนการล้มลงของระบบทุนนิยมเสรี ที่พัฒนาจนถึงขีดสุดแล้ว จากนี้ต่อไปถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องทบทวนการพัฒนาประเทศ จะต้องไม่เดินตามก้นประเทศยักษ์ใหญ่ที่เดินนำสู่หุบเหวหายนะทางเศรษฐกิจอย่างที่ผ่านมา
ดูจาก 8 ยุทธศาสตร์ที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ ประกาศไว้ในการพิจารณางบฯ2553 ไม่เห็นเป็นรูปธรรมไม่มีความชัดเจนในเป้าหมายว่า
จะนำพาประเทศเดินไปสู่ทิศทางใด?
ประเทศไทยเราจะกลับมาสู่การเป็นประเทศทางด้านการเกษตร เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นครัวของโลก เป็นเมืองเกษตรกรรม ไทยสีเขียว กรีนคันทรี หรือจะเน้นไปทางด้านภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
รวมทั้งการปรับปรุงภาคอุตสาหกรรม ที่จะต้องปรับเปลี่ยนเพราะภาวะเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เน้นเพื่อการส่งออกเพียงอย่างเดียว มาเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
ภาคอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี ที่มีต้นแบบให้พิจารณา ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น อภิมหาอำนาจทางด้านอุตสาหกรรมของโลก ที่มีพิมพ์เขียวในการพัฒนาประเทศ ด้วยการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็กขนาดกลาง เอสเอมอี ที่ถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างชาติ
ธุรกิจเอสเอ็มอีของญี่ปุ่นเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด และเติบโตอย่างมั่นคงภายในประเทศด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ ก่อนที่จะยกระดับไปเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ขยับขยายแผ่อิทธิพลสร้างเครือข่ายไปทั่วโลก
เอสเอ็มอีสร้างญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ประเทศไทยกลับไร้การเหลียวแล รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าที่ควร
สอดคล้องกับที่นาย ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม ออกมาบ่น“น้อยใจรัก”ที่ได้รับการสนับสนุนงบฯในกระทรวงอุตสาหกรรมเพียงน้อยนิด
เรื่องนี้นายกฯอภิสิทธิ์ จะต้องไม่มองเพียงว่า เป็นการโวยของพรรคร่วมเพื่อขอแบ่งเค้กเพียงเท่านั้น เพราะหากพิจารณาสิ่งที่เจ้ากระทรวงอุตสาหกรรมยกเหตุผลมาเอ่ยอ้าง ก็ต้องยอมรับว่า
เป็นความจริง
แผน“ไทยเข้มแข็ง”ของประชาธิปัตย์ ไม่สนใจเอสเอ็มอีเลย!
กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับการจัดสรรเพียง1.200ล้านบาท จากงบฯโครงการลงทุนทั้งหมด1.4ล้านล้านบาท รวมทั้งในงบฯรายจ่ายประจำปี2553 ก็ได้รับการจัดสรรเพียง5พันกว่าล้านบาท ทั้งที่ก็ถือว่า เป็นหัวใจในการพัฒนาประเทศมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ทางหนึ่งอาจจะมองได้ว่า ด้านอุตสาหกรรม มีความเข้มแข็งเพราะบทบาทจากภาคเอกชนสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง แต่อีกทางหนึ่งก็มองได้ว่า
เพราะเรื่องต้นสังกัด เรื่องเกมการเมือง
พรรคเพื่อแผ่นดินเจ้าของโควตากระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ถูกมองเมินจากผู้นำรัฐบาล แตกต่างจากพรรคร่วมอื่นๆ อย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เดิมที่ก็ได้รับการเอาใจใส่ จัดสรรงบฯ ให้สมน้ำสมเนื้อแล้ว
แต่เมื่อออกมาโวยวาย นายกฯอภิสิทธิ์ก็ตอบรับเสียงเรียกร้องนั้นทันที เกลี่ยงบฯไทยเข้มแข็งให้เพิ่ม ทั้งอุดหนุนการท่องเที่ยวฯ และก่อสร้างอาคารเรียนศูนย์เด็กเล็ก กระทรวงมหาดไทย
ขณะที่พรรคเพื่อแผ่นดิน พูดยังไงก็เสียงไม่ดังเท่า!
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ “นายกฯ อภิสิทธิ์”คงมองออก จะต้องเอาใจพรรคไหน ใส่ใจพรรคใดมากกว่า
ด้วยจำนวนเสียงของพรรคเพื่อแผ่นดินที่สนับสนุนรัฐบาลอยู่ แม้จะมีจำนวนไม่แพ้พรรคภูมิใจไทย หรือชาติไทยพัฒนา
แต่ก็อย่าลืมว่า วันนี้ ใครก็รู้พรรคเพื่อแผ่นดินแตกออกมาหลายก๊กหลายกลุ่ม กลุ่มสุชาติ ตันเจริญ ก็ประกาศท่าทีจนนับรวมว่าเป็น “ว่าที่ลูกข่ายภูมิใจไทย”แล้ว ขณะที่อีกสายใหญ่ที่เคยแข่งขันโหวตเลือกนายกฯ อย่าง กลุ่ม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ก็แตกตัว รอเสียบรัฐบาล
นอกจากนี้ นายกฯอภิสิทธิ์คงมองขาด กลุ่ม 3เจี๊ยะ ประกอบด้วย 2 พ+1 ป เจ้าของโควตาเก้าอี้รมว.อุตสาหกรรมของนายชาญชัย
ถึงแข็งพอควร แต่ก็เผย “จุดอ่อน” ให้เห็น
กับบิ๊กโปรเจกต์ที่กระทรวงไอซีที ที่ กลุ่ม3 เจี๊ยะ กำลังตั้งหน้าตั้งตาผลักดันโครงการโทรศัพท์ ระบบ 3 จี จ่อคิวเข้า ครม.รอการอนุมัติ ฉะนั้นถึงจะไม่ได้แบ่งทิปตอนนี้ ก็คงทำได้แค่แสดงอาการน้อยใจ แต่คงไม่กล้ายึกยักถึงขั้นถอนยวง ก็ในเมื่อ“เมนคอร์ส”รอได้ชิมได้อิ่มอีกไม่นานนี้
นายกฯ หน้าหล่อ “แปดเหลี่ยมสิบสองคม”แค่ไหนก็ดูเอา!
หากจะดีกว่า อย่าแค่เพียงคุมเข้ม ในการบริหารคน บริหารเสียงสนับสนุน เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาลแล้ว นายกฯอภิสิทธิ์ ควรจะเขี้ยวกับเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณ 1.43 ล้านบาท ไม่ปล่อยให้ใช้กันมือเติบ อย่างอีลุ่ยฉุยแฉก หรือปล่อยให้บริหารกันมันมือมันปาก
ไม่เฉพาะในกระทรวงของพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่โควตาที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการจัดสรร ที่ได้รับก้อนใหญ่ไม่เบาก็ต้องตรวจตรา และตรวจทานการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด เช่นเดียวกัน
แต่ที่ต้องพุ่งเป้า สะกิดเตือนให้จับตาไว้ก่อน ก็คืองบฯกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสสองในโครงการลงทุนตามแผนไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงคมนาคม ที่ได้รับการจัดสรรกว่าร้อยละ40 เป็นเม็ดเงินสูงถึง5แสนกว่าล้านล้านบาท ในระยะเวลา 3-4 ปีต่อจากนี้
โดยระยะแรกของการใช้งบฯ ในโครงการเงินกู้ กว่า2แสนล้านล้านบาท ที่กระทรวงคมนาคมได้รับแบ่งให้ไปลงทุนถึง6หมื่นกว่าล้านบาท ในโครงการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ ในสาขาการขนส่ง และระบบคมนาคม ระบบรถไฟฟ้า ระบบรถไฟรางคู่
โดยเฉพาะโครงการถนนไร้ฝุ่น ราดยางถนนลูก โครงการบูรณะทางหลวงในเส้นทางหลัก การขยายถนน4ช่องจราจรระยะที่2 และโครงการปรับปรุงสะพาน ที่เริ่มมีกระแสข่าวจากคนในวงการรับเหมาก่อสร้าง
ที่ต้องส่งเสียงดังๆ ให้นายกฯ อภิสิทธิ์จับตา!
วันนี้รู้กันทั่ววงการ บริษัทไหนที่เส้นสายไม่ถึง ไม่ต้องหวังเข้าไปประมูลแข่งเพื่อให้ได้งาน เพราะพูดกันหึ่งว่า มีการ “จัดวางตัว”กันไว้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น “เฮียฉอย เมืองกรุงเก่า” บุ๊กโปรเจกต์ทางภาคอีสาน “เสี่ยง้วน” ปักหลักทางภาคใต้ “เสี่ยเกษม”คุมโซนภาคกลาง ที่ไม่พลาด ทางภาคเหนือ “พ่อเลี้ยงอ๊อด” ที่เส้นหนาและปึ้ก เพราะเป็นลูกข่ายอยู่ในเครือของพ่อเลี้ยงขาใหญ่เมืองเชียงใหม่
จองตั๋วจองคิวกันล่วงหน้า!
ที่ไม่แน่ใจ ก็อีกกระแสข่าวที่ว่า งานนี้มีเรื่องวาง “มัดจำ” จัดส่ง“หัวคิว” 15เปอร์เซ็นต์ ไว้ก่อน แล้วค่อยมา “รับของ-เอางาน”กันภายหลัง จะเกี่ยวข้องกับแผนพิเศษนี้ด้วยหรือไม่
ก็คงต้องฝากให้ท่านรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแลโควตา โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม รวมทั้งหัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการเค้กอย่างนายกฯอภิสิทธิ์ ช่วยไปติดตามตรวจสอบข่าวข้างต้นให้ที
อย่าให้งบประมาณต้องตกหล่นเรี่ยราดรายทาง การ ใช้จ่ายไม่เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลที่คุ้มค่ากับการลงทุน ที่ต้องแลกมาด้วยหนี้สินก้อนโตของคนไทยทั้งประเทศ โปรดอย่าให้เค้กก้อนโตต้องปลิ้นเข้าปากใคร
เวลานี้ รัฐบาลมีเงินเป็นอำนาจ ถ้าใช้ให้มีประสิทธิภาพก็จะได้รับความศรัทธาเชื่อมั่น แต่หากปล่อยให้ละเลงเงินกันแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ก็เตรียมปิดฉากได้เลย