“อภิสิทธิ์” ยอมรับปัญหาใต้อาจไม่สงบในรัฐบาลนี้ แต่ยังยึดนโยบายเพื่อการพัฒนาเป็นทฤษฎีที่หยั่งยืน ปิดทางเจรจาตัวการผู้ก่อความสงบ รู้ทันหวังยกระดับดึงประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ วอนปปช.อดกลั้นอย่าตกเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรงตอบโต้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์"
วันนี้ (14 มิ.ย.) ในช่วงรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ครั้งที่ 22 วันนี้ได้มีการปรับปรุงรูปแบบรายการจากเวลาโดยปกติจะมี 2 ช่วง แต่ครั้งนี้เพิ่มเป็น 3 ช่วง ซึ่งช่วง 3 เป็นรูปแบบของ Reality โดยเชิญ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร มาทำหน้าที่พิธีกรรับเชิญ สัมภาษณ์ประเด็นปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างนั่งรถเดินทางไปลงพื้นที่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร โดยเริ่มคำถามจากเหตุการณ์ยิงในมัสยิดสำหรับเรื่องภาคใต้ สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ด้วยกันซึ่งทำให้พี่น้องประชาชน ต้องรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกไม่พอใจ ทั้งนี้ เรื่องของนโยบายของภาคใต้ เป็นนโยบายที่รัฐบาลนี้ กำลังมาปรับเปลี่ยน โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา เรื่องของการเมืองนำการทหารอย่างแท้จริง ซึ่งจะต้องใช้เวลา และทราบดีว่าจะต้องถูกทดสอบ ถูกท้าทายจากฝ่ายตรงกันข้าม สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องมีความแน่วแน่ในการที่จะเดินไปในแนวทางนี้ เพราะเป็นแนวทางที่ยั่งยืนแนวทางเดียว ซึ่งเราต้องช่วยกันให้ความร่วมมือ อดทน อดกลั้น แล้วไม่ตกเป็นเหยื่อ ในการที่จะสร้างความรุนแรง ความแตกแยกในรูปแบบต่างๆ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเด็นหลักทำไมกล้าที่จะก่อเหตุในมัสยิด ระหว่างที่ละหมาด ไม่น่าจะเป็นไปได้ มันไม่ปกติ ต้องติดตามตับกุมตัวให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะทำให้ชาวบ้านเกิดความมั่นใจได้
เมื่อถามว่า คิดหรือไม่ว่าทำไมเมืองไทยเล่นกันแรงขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราเคยมีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกปลอมในสังคม ไม่น่าจะขยายวงได้ แต่ความขัดแย้งทางการเมืองมันสูงมากตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาเลยทำให้เป็นวงจร บานปลาย มีความรู้สึกต้องตอบโต้กัน ซึ่งหน้าที่รัฐบาลต้องทำให้มันจบให้ได้ แต่สิ่งที่ต้องจับตาดูคือเหตุการณ์ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้จะส่งผลต่อค่านิยมของเด็กรุ่นใหม่หรือเปล่า มันอาจจะทั้งสองทางคืออาจมีเด็กรุ่นหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาและมองว่าวิธีการแบบนี้เป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่ากลัว อีกด้านหนึ่งเราอาจมีหวังจากไปรษณีย์เด็ดที่มาเข้าข่ายได้เขียนถึงตนบอกไม่พอใจกับความรุนแรงและความแตกแยกที่เกิดขึ้น ตั้งคำถามทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เลิก หากเป็นแบบนี้ก็ยังอุ่นใจ แสดงว่าเด็กรุ่นหลังต้องการเหนความสงบสุข
“นี่คือสิ่งที่ท้าทายมาก และถือเป็นความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องพยายามทำให้มันจบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันไม่เร็วหรอก เพราะแผลมันคงลึก” นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อถามว่า มองกันว่ารัฐบาลไปเน้นแก้การเมืองมากในตอนนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องการเมืองถือเป็นเรื่องที่สภารับไป นโยบายหลักๆทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องภาคใต้ ไม่ได้ทำให้เราเสียสมาธิ เมื่อถามว่ามองขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ว่าเป็นใคร อย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตัวตนเชื่อว่าพอทราบกันบ้าง ลักษณะพิเศษของเหตุการณ์ถ้าเทียบในหลายๆ ประเทศที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน คือการแสดงตัวของความเป็นองค์กร โดยเฉพาะโครงสร้างการบังคับบัญชาในทางดิ่งไม่ได้ปรากฏชัด เราเกิดเหตุรายวันแต่เป็นปริศนาว่าใครทำ หากถามว่ามีตัวตนไหม คิดว่าหลายคนที่ทำงานพอทราบ ถามว่ารัฐบาลมีนโยบายเจรจาไหม รัฐบาลเจรจาไม่ได้ เพราะรัฐบาลถือว่าเราจะแก้ปัญหานี้ซึ่งเป็นปัญหาภายในของเรา สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการมาก คือ การเจรจา เพื่อที่จะดึงประเทศ 2-3-4-5 เข้ามา จะยิ่งเป็นการแสดงออกมาว่าปัญหานี้ต้องยกระดับนานาชาติ ตรงนี้ไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล ถามว่าการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่มีการพูดคุยอยู่แล้ว
“วันนี้ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าเป็นเหยื่อของฝ่ายที่ต้องการให้เราขัดแย้งกันเอง อย่าเป็นเหยื่อของฝ่ายที่ต้องการให้เกิดวงจรของความรุนแรงใหม่ ขอให้ทุกคนอดทน อดกลั่น ผมยืนยันว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมีการสะสางตรงไปตรงมา หากสงสัยเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้องอะไร ผมไม่เคยตัดประเด็นทิ้ง ผมจะดูตามข้อเท็จจริง จากหลักฐาน แต่ยืนยันว่าไม่ใช่นโยบาย ไม่ใช่แนวทางที่รัฐบาลและหน่วยหลักมอบให้ไปใช้ความรุนแรงที่ไหนทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ยิงที่มัสยิดยังคาใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตราบใดที่เรายังตัวพิสูจน์ไม่ได้ เราไม่ควรสรุป ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายแบบนี้ หากพบใครทำก็ต้องจับมาลงโทษ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นอะไร
เมื่อถามว่า มีรายงานว่ามีนักการเมืองกลุ่มเก่าเข้ามาเกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนมีคนรายงานข้อมูลมาหลายๆด้าน ตราบใดท ยังไม่มีข้อพิสูจน์อย่าพูดดีกว่า ตอนนี้ยังไม่ตัดประเด็นใดทั้งนั้น แต่ต้องเร่งรัดทางตำรวจให่สะสางเรื่องนี้ให้ได้ ในแง่นโยบายชัดเจน ในแง่การขอความร่วมทือดี่น้องประชาชนที่จะทำให้เหตุการณ์สงบคงต้องขอความร่วมมืออย่างตอ่เนื่องและทางเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องไปขอความรน่วมมืออย่างต่อเนื่อง ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกกรณีที่เกิดขึ้นและขอบคุณมิตรประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ที่มีบทบาทต่อเนื่องชัดเจน เขาไม่แทรกแซง ยินดีให้การช่วยเหลือ เขาเข้าใจสถานการณ์บ้านเรา
เมื่อถามว่า พอใจบทบาทการทำงานของคงกองทัพแค่ไหน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คิดว่าประการแรกต้องเห็นใจนทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงนั้น อันที่สองเราต้องยอมรับตราบเท่าที่ยังมีเหตุการณ์ ยังมีความสูญเสีย ทุกคนสต้องปรับปรุง สามตนรู้ส่าเมื่อรัฐบาลพยามหมุนมาเรื่องการพัฒนา การเมืองนำการทหาร มันคงไม่สามารถที่จะทำให้เกิดการความเข้าใจใมนการปฏิบัติได้ทันทีทันใดกับทุกคน ต้องอาศัยเวลาและเกี่ยวเนื่องกับเรื่องการทบทวนกฎหมายที่จำนำไปใช้ในพื้นที่ด้วย กำลังขอให้มีการประเมินกัน
เมื่อถามว่า พอเปลี่ยนรัฐบาลมักมีการเปลี่ยนแปลงตัวแม่ทัพต่างๆที่ดูแลภาคใต้ รัฐบาลนี้มีนโยบายอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องหลักคตือเรื่องนโยบาย เรื่องการโยกย้ายจะมีต่อเมื่อชัดเจนผู้ที่อญุ่ตรงนั้นไม่สามารถนำนโยบายไปปฏิบัติได้ ขณะนี้คิดว่ามันคงเร็วเกินไปที่จะไปทำอะไรตรงนั้น ต้องให้โอกาสคนทำงาน ยิ่งภาวะสังคมแตกแยกมีคนกล่าวหาหน่วยงานนั้นหยน่วยงานนี้เกียร์ว่าง แต่เราเพิ่มเข้ามาเพิ่งให้นโยบาย ต้องดูเขาทำตามนโยบายหรือเปล่า ถ้าไม่ทำไม่ได้
เมื่อถามว่า รัฐบาลมองอย่างไรกับข้อเสนอเขตปกครองพิเศษที่มองกันว่าจะแก้ปัญหาได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากใช้คำว่าเขตปกครองพิเศษเพราะมันสับสน เดี๋ยวบางคนไปเรียกเขตปกครองตนเองยิ่งไปกันใหญ่ หลักแรกทุกอย่างต้องยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รูปแบบการจัดการที่เป็นพิเศษในบางเรื่องรับได้ กรุงเทพฯ พัทยาก็เป็น ส่วนรูปแบบเลือกตั้งยังเป็นคำตอบหรือเปล่าอันนี้ยังไม่แน่ใจ แต่บางเรื่องความพิเศษต้องมี อย่างเรื่องเศรษฐกิจ โครงการพัฒนาที่ ครม.ใต้กำลังดำเนินการ เพื่อยกระดับรายได้ ต้องมีแผนพิเศษให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น อาหารฮาลาน ท่องเที่ยว ปาล์ม ประมง ยางพารา รวมทั้งระบบการศึกษาที่ต้องมีความเป็นพิเศษ และเรื่องกฎหมาย หากความหมายของคำว่าเขตพิเศษเป็นแบบนี้ไม่มีปัญหา คิดว่าจำเป็นเพื่อตอบสนองความหลากหลาย ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกไหมตอนนี้คนอาจรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ เพราะตั้งความหวังไว้มาก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเองเข้าใจความรู้สึก ไม่มีใครอยากให้สถานการณ์มันยืดเยื้อรุนแรง ไม่มีใครอยากเห็นความสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้แต่ตนเองไม่ต้องการเห็นความสูญเสีย เพราะเข้าใจความรู้สึก อยากเห็นปัญหามันจบ แต่ตนก็เป็นคนที่พูด ไม่ใช่เพิ่งมาพูดหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ พูดมาตั้งแต่วันแรกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และเราจะเปลี่ยนแนวทาง และขอบอกเลยว่าระหว่างที่เปลี่ยนแนวทาง ต้องอดทน เพราะจะถูกท้าทาย เราต้องไม่ตกเป็นเหยื่อ คืออยากจะยืนยัน ตอนนี้ก็ไปเขียนกันว่าตกลงมันผิดหมดเลยหรือเปล่า แม้กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งตนบอกวันที่เข้ามา พูดชัดไตรมาสแรกจะหนักกว่า 3 เดือนสุดท้ายปีที่แล้ว คือขณะนี้มันอยู่ในช่วงที่ยากลำบาก ซึ่งได้อธิบายไปแล้วว่าแนวทางรัฐบาลคืออะไร เดินตามแนวทางนั้น และตนต้องรับผิดชอบแน่นอน สำเร็จหรือล้มเหลว คนที่ต้องรับผิดชอบคือตนเอง คือรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนปรามาสว่าประชาธิปัตย์แก้ไม่ได้หรอกปัญหาภาคใต้ นายอภิสิทธิ์กล่าวยอมรับว่า เป็นปัญหาที่ยาก แต่ยืนยันว่าแนวทางที่กำลังเดิน จะเป็นแนวทางที่น่าจะยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาที่สุด ปัญหาที่ท้าทายเวลานี้คือ หนึ่ง ในส่วนรัฐบาลปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพไหม กับสอง สังคมเชื่อเหมือนที่รัฐบาลเชื่อไหมว่าต้องแก้ด้วยการพัฒนา ถ้าเชื่อต้องอดทน ต้องร่วมมือ ถ้าไม่เชื่อก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าถ้าไม่เชื่อความหมายว่าจะกลับไปใช้ความรุนแรง
“ผมบอกว่าไม่ใช่ผม ไม่ใช่รัฐบาลผม ถ้าสังคมต้องการกลับไปใช้ความรุนแรง ผมต้องไม่อยู่ตรงนี้ ผมจะไปทำตรงนั้น เพราะผมคิดว่าการกลับไปตรงนั้น คือหนทางที่จะนำไปสู่การลุกลามบานปลาย และความสูญเสียสำหรับประเทศโดยส่วนรวมในที่สุด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว