“สนธิ”จี้ “อภิสิทธิ์”ใช้ภาวะผู้นำสั่งยุติโครงการรถเมล์ฉาว 4 พันคัน ระบุไม่ว่าเช่าหรือซื้อล้วนแต่เป็นจุดเริ่มต้นการโกง จวกสมุดปกขาว มีแต่การปั้นแต่งตัวเลขเพื่อให้โครงการดูดี ย้ำถึงรักนายกฯ แค่ไหน แต่ถ้าหลับหูหลับตาให้กับการคดโกง ก็รักไม่ลง แนะแนวทางดับไฟใต้ ต้องให้ความยุติธรรม ป.ป.ช.ต้องเร่งชี้ขาดคดีตำรวจซ้อมผู้ต้องหาชาวมุสลิม เผยจะเป็นหัวหน้าพรรคใหม่หรือไม่ ไม่สำคัญ แต่เคยปวารณาตัวไว้แล้วจะทำงานเพื่อชาติ จวก ปชป.ทำงานไม่เป็นปล่อยหวัด 2009 ระบาด
รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.30-22.00 น. วันที่ 12 มิ.ย.ดำเนินรายการโดยนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้มาเป็นแขกพิเศษในรายการ เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญของบ้านเมือง โดยเริ่มจากโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันของกระทรวงคมนาคม ซึ่งนายสนธิกล่าวว่า เรื่องนี้คงจะฝากฝีฝากไข้บ้านเมืองไว้กับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แล้ว เพราะบริหารไม่เป็น ที่สำคัญคือขาดความกล้าหาญที่จะตัดสินใจนำพาชาติไปในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งนายกฯ จะต้องกล้าหาญที่จะชี้ว่า จะเอาหรือไม่เอา จะซื้อหรือจะเช่า ทั้งนี้พันธมิตรฯ มีจุดยืนที่ชัดเจนว่า โครงการนี้พันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะซื้อหรือจะเช่า เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะฉ้อราษฎร์บังหลวง
นายสนธิ กล่าวต่อว่า โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ที่พรรคภูมิใจไทยชี้แจงทางสมุดปกขาวที่แจกกัน 1 ล้านเล่ม เอาแต่ข้อดีมาบอก แต่ไม่บอกว่าส่วนที่สังคมจะเสียมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะเงินไม่ต่ำกว่า 20-30 % จากค่าเช่า 6 หมื่นกว่าล้านนั้น เป็นเงินที่จะถูกคอร์รัปชั่น วิธีการที่พูดถึงแต่ข้อดีของโครงการที่พวกเขาจะคอร์รัปชั่นเป็นวิธีที่การเมืองเก่าชอบใช้ ซึ่งถ้าโครงการนี้ไม่มีการโกงและมีความโปร่งใส ก็เป็นโครงการที่ดีแน่นอน แต่เชื่อว่าถ้าโปร่งใสแล้ว ต้องไม่เช่า เพราะถ้าซื้อจะใช้เงินแค่ 8-9 พันล้าน
นายสนธิ ย้ำว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยที่เป็นเจ้าของโครงการและรัฐบาลมีความบริสุทธิ์ใจจริง ต้องเอาสัญญามาแจกแจงและเปิดประชาพิจารณ์ คำถามที่รัฐบาลและพรรคภูมิใจไทยต้องตอบ คือ 1.ทำไมการซ่อมต้องเริ่มตั้งแต่วันแรก ทั้งที่รถเข้ามาใหม่ วิ่ง 1 กม.ต้องจ่าย 7.5 บาททันที 2.การเช่าทำไมต้อง 10 ปี เพราะไม่มีที่ไหนที่เช่านานขนาดนี้ มีแต่เช่าตามค่าเสื่อมคือ 5 ปีแล้วต้องเอารถใหม่มาแทน แต่โครงการนี้เมื่อครบ 5 ปี ก็ยังจะเอารถเก่ามาซึ่งเป็นซากรถที่ต้องเสียงค่าซ่อมมากกว่าปกติมาให้เช่า
“นี่ยังไม่นับราคาค่าตั๋วที่ตั้งไว้ ที่ว่าเดือนละ 800 บาท มันการันตีว่าจะราคานี้ใช้ตลอด 10 ปีหรือเปล่า คุณตั้งแค่เพื่อให้ดูว่าถูก แล้ววันหนึ่งข้างหน้าคุณจะขึ้นหรือเปล่า แล้วรายได้ที่ ขสมก.จะได้ ทำออกมาบอกว่า 10 ปี กำไร แสนล้าน มันบ้าไปแล้ว เอาตัวเลขมาจากไหน แสดงว่าเขาตั้งกำไรไว้ก่อน เขาต้องการมีผลประโยชน์เท่าไหร่ ก็ตั้งตัวเลขเอาไว้ แล้วทำตัวเลขจากกำไรย้อยหลังมา เช่น ถ้าจะเอา 1 หมื่นล้าน ก็ทำตัวเลขย้อนมาได้ 6.9 หมื่นล้าน พอคนบอกว่าแพงไป ก็ลดลงเหลือ 6.4 หมื่นล้าน มันลดง่ายๆ เหมือนซื้อของแถวคลองถม แถวสวนจตุจักร ที่อ้างว่า ลดลงมาได้ เพราะลดดอกเบี้ยได้ ทำไมมันลดได้รวดเร็วแค่ภายใน 1 วัน”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ถ้าคิดว่าโครงการนี้มีกำไร เป็นโครงการที่ดี หน้าที่รัฐบาลควรให้ ขสมก.เพียงแค่กำกับดูแล และให้เอกชนมาทำ โดยตั้งกรรมการขึ้นมาควบคุมดูแลค่าโดยสารและคุณภาพบริการ คุณภาพรถยนต์ และปันผลกำไรให้ ขสมก. รัฐบาลไม่ต้อลงทุน เพราะถ้ากำไรจริง เอกชนพร้อมลงทุนเต็มที่ แต่ที่ที่นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคมดึงดันว่าจะเช่า ก็เพราะผลประโยชน์ แสดงว่ามีการวางเงินกันแล้ว ถ้าไม่ได้เช่าเงินจำนวนนี้จะหาย อาจมีการเปิดแอลซีเพื่อนำรถเมล์เข้ามาแล้วก็ได้ นี่จึงเป็นมหากาพย์ของการโกงอีกโครงการหนึ่ง เรื่องนี้น่าเห็นใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่ไม่สงสาร ถึงแม้นายอภิสิทธิ์จะทำให้พวกเราพอจะกล้ำกลืนกับการเมืองเก่าได้ แต่อยู่นานวันไป กระบวนการโกงบ้านโกงเมือง ยิ่งมากขึ้น จนไม่มั่นใจว่านายอภิสิทธิ์จะแบกไปได้นานแค่ไหน
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ไม่น่าจะเสียหาย เพราะฉะนั้นจะต้องกล้าตัดสินใจ ไม่ต้องไปรอพึ่งพรรคร่วมเพื่อให้งบประมาณผ่าน หรือรอใช้สภาพัฒน์เป็นตรายาง หรือรอใช้กระแสสังคมเป็นเกราะกำบัง นายอภิสิทธิ์จะต้องความเป็นผู้นำตัดสินด้วยตัวเอง เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิด เป็นเรื่องที่ชาติเสียประโยชน์ และไม่โปร่งใส มีการคดโกงเป็นหมื่นล้าน มีการหมกเม็ดทั้งค่าซ่อม ค่าก๊าซเอ็นจีวี และยังมีเรื่องการขายรถเมล์เก่า 3,500 คันที่จะมีการโกงอีก และทำความฉิบหายให้บ้านเมือง ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ดีเกินไปที่จะหลับตายอมให้กับเรื่องพวกนี้ ต้องทุบโต๊ะเลยว่าไม่เอา
“ถ้าโครงการนี้ผ่าน คุณอภิสิทธิ์จะแบกต่อไปไม่ได้ และจะกระทบกับฐานเสียงของประชาธิปัตย์จนไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป ท่านนายกฯ อาจจะเชื่อว่าประชาชนยังรักท่าน แต่จะรักแค่ไหนก็ตาม เงิน 6.4 หมื่นล้านที่จะเสียไป ผมคงรักไม่ลง”
จวกนักการเมืองต้นตอปัญหาชาติ
นายสนธิ กล่าวถึงภาพรวมของการเมืองไทยขณะนี้ว่า ปัญหาอยู่ที่นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วคิดว่าพวกตัวเอง 400-500 คน เป็นเจ้าของประเทศ ที่จะทำอะไรก็ได้โดยการยกมือในสภา ล่าสุดคณะกรรมการสมานฉันท์ก็จะแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปเลือก ส.ว.100% เพื่อให้ญาติของ ส.ส.เข้าไปเป็น ส.ว.ที่มีหน้าที่ในการแต่งตั้งองค์กรอิสระ การเมืองกำลังย้อนกลับไป 2544 ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งนี้ เพื่อให้พวกเขาได้สืบทอดอำนาจต่อไปแล้วเข้ามากินงบประมาณโครงการต่างๆ เพื่อเอาเงินไปซื้อเสียงอีกครั้ง เพื่อเข้ามาโกงกินต่อ แล้วประเทศไทยจะยืนอยู่ที่ไหน
“มันไม่ได้ มันต้องจบสิ้นเสียที การเมืองเส็งเคร็ง การเมืองไม่โปร่ง ทำลายบ้านทำลายเมือง ต้องหยุดได้แล้ว เพราะว่าลุกหลานเราจะไม่มีอนาคต”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ พลังงาน ปัญหาสินค้าเกษตร ปัญหาภาคใต้ ล้วนแต่แก้ไขได้ทั้งหมด ขอให้ตั้งนะโมไว้ว่า ทำอะไรก็ตามเอา ให้ส่วนรวม เอาชาติบ้านเมือง ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นตัวตั้ง เรื่องส่วนตัวทิ้งไว้ก่อน แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือนักการเมืองไทยในการเมืองเก่าเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ผูกติดกับกลุ่มทุน คิดแต่จะเอากำไรจากการเล่นการเมือง เพื่อเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนทางการเมืองต่ออีกครั้ง คนพวกนี้ไม่ต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่มีมีธุรกิจของตัวเองที่จะหาผลประโยชน์ทับซ้อนจากนโยบายต่างๆ เท่านั้น และอาศัยหาประโยชน์จากโครงการต่างๆ แทน จึงต้องคิดโครงการใหญ่ๆ ที่มีเป็นหมื่นล้าน โดยตั้งเป้าว่าต้องโกงเท่านี้ แล้วจึงคิดตัวเลขย้อนมาว่าจะทำโครงการมูลค่าเท่าไหร่ และอีกประเด็นคือคนพวกนี้อ้างว่าตนเองต่างจากทักษิณตรงที่เทิดทูนพระมหากษัตริย์ แต่ปัญหาคือพวกเขายังโกง ซึ่งถ้าโกงจนชาติล่มจมแล้วสถาบันกษัตริย์ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
ต้องใช้ความยุติธรรมดับไฟใต้
นายสนธิ กล่าวถึงปัญหาภาคใต้ว่า เกิดจากกลุ่มผลประโยชน์ท้องถิ่นกับข้าราชการที่ทุจริตและรังแกชาวบ้าน โดยเฉพาะชาวมุสลิมมลายูที่รู้สึกว่าตนเองไมได้รับความเป็นธรรม ทำให้มีการตั้งกองโจรขึ้นมาสู้ และพัฒนาเป็นขบวนการก่อการร้ายเมื่อเชื่อมโยงกับขบวนการในตะวันออกกลางในเวลาต่อมา เมื่อมีเรื่องความไม่เป็นธรรมต่างๆ มากขึ้น เช่น โต๊ะอิหม่ามถูกซ้อมตาย ชาวมุสลิมถูกอุ้มฆ่า ทนายสมชาย นีละไพจิตร หายตัวไป ความไม่พอใจก็มีมากขึ้นๆ และกำลังจะขยายวงไปสู่ชาวไทยมุสลิมด้วย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เวลานี้รัฐบาลต้องพยายามรักษาน้ำใจชาวไทยมุสลิมไว้ให้ได้ ตรงนี้เป็นโจทย์ที่สำคัญ ที่จะไม่ให้พวกเขารู้สึกว่าคนศาสนาเดียวกับเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อเกิดอะไรขึ้นต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา เช่น คดีตำรวจซ้อมผู้ต้องหาชาวมุสลิม ที่มีการฟ้องต่อ ป.ป.ช.ไปแล้ว และคณะอนุกรรมการมีข้อสรุปว่าตำรวจผิดจริง ป.ป.ช.ชุดใหญ่จะต้องรีบชี้ออกมา อย่างน้อยเพื่อเป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไม่นิ่งนอนใจในการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันผู้ก่อการร้ายที่กระทำการอย่างเหี้ยมโหด เราก็จะสามารถดำเนินการกับเขาได้เต็มที่เช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเงื่อนไขให้ผู้ก่อการร้ายนำไปขยายผลให้กลายเป้ฯสงครามศาสนาให้ได้ อย่างสุดที่มีการยิงมัสยิดแล้ววันต่อมาให้ไปยิงพระเพื่อให้ดูว่าเป็นการแก้แค้นกันระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม
นายสนธิ ย้ำว่ารัฐบาลต้องเลิกพูดคำหวานว่าเรามาถูกทางแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก่อความรุนแรงเพราะกำลังจะแพ้แล้ว หรือคำพูดที่ฮิตกันคือคำว่าการเมืองนำการทหาร แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร เพราะหลักการง่ายๆ ที่จะแก้ปัญหานั้นคือการสร้างความยุติธรรมให้พี่น้องชาวงมุสลิมและชาวพุทธให้ได้ก่อน เรามีแต่การจับชาวมุสลิมขังชาวมุสลิม แต่ไม่เคยจับตำรวจคนไหนเลย จึงเป็นการเปิดช่องให้ผู้ก่อการร้ายใช้เป็นข้ออ้างก่อเหตุ ดังนั้นตั้งแต่เกิดเรื่อง งบประมาณถูกใช้ไปแล้ว 1 แสนกว่าล้านบาท แต่การแก้ปัญหายังไม่ไปถึงไหน นอกจากการตั้งกองบัญชาการขึ้นมาเพิ่ม มีงบประมาณเพิ่ม และนายพลเพิ่มขึ้น ขณะที่หน่วยที่จะทำงานเชิงรุกไม่มี เพราะไม่เข้าถึง ไม่เข้าใจ จึงคิดแบบการเมืองเก่าคือเน้นแต่การทุ่มเงินลงไป ทั้งที่โดยหลักแล้วต้องแก้ที่ความเข้าใจก่อน โดยการให้ความยุติธรรม
“ป.ป.ช.จะต้องเร่งพิจาณาคดีที่เขาฟ้องเจ้าหน้าที่ เราบอกว่ามีอะไรให้พวกเขาพึ่งอำนาจรัฐไม่ใช่หรือ ก็ในเมื่อเขาพึ่ง โดยไปฟ้อง ป.ป.ช. ทั้งที่อนุฯ ชี้แล้วว่าผิด แต่ก็มีการไปวิ่งเต้น ให้ดึงเรื่องเอาไว้ก่อน แล้วเราก็เห็นแก่ความรู้จักกัน ไม่ยอมชี้ออกมาเสียเสีย หารู้ไม่ว่านั่นคือการทำให้คนทางใต้ต้องตายทุกวัน”นายสนธิกล่าว
เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ให้พี่น้องตัดสิน
กรณีที่มีพ่อแม่พี่น้องอยากให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ นายสนธิ กล่าวว่า เรื่องเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ เป็นเรื่องอนาคต ตอนนี้ยังไม่ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าพ่อแม่พี่น้องคิดอย่างไร แต่เป็นอะไรไม่สำคัญ ขอให้จิตวิญญาณเหมือนเดิม จะเป็นนายสนธิที่เป็นพิธีกรเมืองไทยรายสัปดาห์ หรือจะเป็นแกนนำพันธมิตร หรือเป็นพิธีกรรายกู๊ดมอร์นิ่งไทยแลนด์ หรือจะเป็นคนที่ถูกยิง มันไม่สำคัญว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือเปล่า แต่ต้องเป็นนายสนธิที่เคยปวารณากับพ่อแม่พี่น้องเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ว่าจะขอทำเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยเอาชาติเป็นตัวตั้ง เป็นอะไรไม่สำคัญ แต่บทบาทที่จะเป็นสุดแล้วแต่ฟ้าลิขิต แต่ที่อยากจะเป็นแน่ๆ คือ ขณะนี้เอเอสทีวีกำลังลำบากมาก จำเป็นต้องการเงินมาช่วยสนับสนุน เพราะที่ผ่านมาเป็นสื่อที่พูดความจริงมาโดยตลอด ซึ่งเงินเดือนพนักงานก็ยังจ่ายไม่หมด โดยทางเลือกที่มีตอนนี้มีอยู่ 2 ทาง คือ เลือกรับเงินทุนจากนายทุน ซึ่งตนจะไม่เลือกทางเดินนั้น เพราะถ้าเลือกเส้นทางนี้การเมืองภาคประชาชนคงไม่เกิด และวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนคงไม่โดนยิง และก็จะไม่เกิดการเมืองใหม่ สังคมไทยจะไม่มีเทียนที่ส่องสว่าง ขอเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ธรรมนำหน้า ปัจจุบันมีสมัครสมาชิกเอสเอ็มเอสแค่ 50,000 รายเท่านั้น แต่ที่ต้องการจริงๆ คือ 100,000 รายขึ้นไป หรือจะบริจาคส่งตรงเข้าไปในบัญชีของเอเอสทีวีก็ได้ เพื่อรักษาสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ไว้เป็นของประชาชนตลอดไป ถ้าตนต้องเหนื่อยหรือตายแล้วเกิดใหม่ก็ยอม ขอแค่ได้ทำหน้าที่สื่อที่เผยแพร่ความจริงให้พี่น้องประชาชนได้ทราบ โดยสามารถสมัครด้วยวิธี ดังนี้ พิมพ์ R กดส่งเมสเสจมาที่หมายเลข 4321000 ได้ทุกระบบ
ให้กฎแห่งกรรมลงโทษคนลอบยิง
ส่วนกรณีที่พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมากล่าวว่า คนร้ายที่ลอบยิงนายสนธิ ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนมีสี แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า เพื่อความเป็นธรรม พล.ต.อ.ธานีเป็นผู้รับคดีนี้ไป ตนจะไม่กดดัน หลังจากถูกยิงเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้เวลาล่วงเลยไปแล้วกว่าหนึ่งเดือน อาทิตย์หน้าก็ครบสองเดือน เวลาไม่ใช่น้อยๆ และก็ไม่มาก แต่คดีนี้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง คนมีสีเป็นคนยิง ทำให้มีอุปสรรคในการดำเนินคดี โดยเท่าที่ทราบมามีผู้ใหญ่ระดับบิ๊กๆ บอกให้ทีมสอบสวนหยุดสอบสวนเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับตนไม่ได้สนใจว่าจะจับคนร้ายได้หรือเปล่า เพราะได้อโหสิกรรมให้หมดแล้ว และเชื่อในกฎแห่งกรรม ว่าคนที่ทำหรือมีส่วนร่วม เชื่อว่าคนนั้นคงนอนไม่หลับแน่ ตนได้สวดมนต์ กรวดน้ำให้ทุกวัน สุดแล้วกฎแห่งกรรม
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในทางคดีไม่เคยไปกดดัน พล.ต.อ.ธานีแต่อย่างใด บอกให้ทำงานตามสบาย ไม่มีปัญหา ถึงแม้จะมีตำรวจระดับรองผู้บัญชาการซึ่งใกล้ชิดกับผู้มีสีที่สั่งยิง พยายามไปบอกว่ากับลูกน้อง พล.ต.อ.ธานี ซึ่งยศ พ.ต.อ.ว่าไม่อยากได้ยศเพิ่มขึ้นหรือ ทำไมไม่หยุดสอบสวน หรือมีบางครั้งก็ถึงขั้นทำลายหลักฐาน แต่ตนไม่สนใจ มันเป็นบทเรียน ให้ทุกคนตระหนักว่านี่คือสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เห็นว่าต้องมีการเมืองใหม่ เราต้องสู้ต่อ เพราะไม่งั้นบ้านเมืองไม่มีที่ยืน ประเทศไทยไปต่อไม่ได้ สื่อมวลชนคนหนึ่งโดนยิงด้วยอาวุธสงคราม มีคนยิง 14 คน ใช้รถ 4 คัน วางแผนอย่างดี ได้รับความร่วมมือจากนายตำรวจบางคนปิดบังกล้องวงจรปิด แล้วยิงด้วยเอ็ม 79 อาวุธสงคราม ซึ่งหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในต่างประเทศ เขาคงช็อกกันทั้งหมด แต่นี่เกิดขึ้นที่ประเทศไทย ไม่มีใครสนใจทำอะไร ทุกอย่างเงียบหาย ไม่มีใครรับผิดชอบ ถ้าแบบนี้นึกจะยิงใครก็ยิงขอให้มีอำนาจ สมมุติว่าเขานึกจะฆ่า พล.อ.เปรม ก็คงทำได้ เพราะเกิดขึ้นแล้วก็เงียบไป ไม่มีใครทำอะไร ดังนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตน แต่อยู่ที่จะทำอย่างไรให้สังคมเดินได้ ตนเองก็ไม่ต่างอะไรกับพี่น้องมุสลิมใต้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ขนาดเป็นถึงแกนนำพันธมิตรฯ ที่มีคนรู้จัก ยังจับคนร้ายไม่ได้ นับประสาอะไรกับคดีของชาวบ้านธรรมดา เหตุการณ์ภาคใต้มีคนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก มีอีกเท่าไหร่ที่คนข้างนอกไม่รู้
พี่น้องพันธมิตรฯ คือความหวัง
"ผมยังมีความหวัง เพราะเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มอบหมายให้ผมเดินหน้าต่อไป เพื่อทำเรื่องที่ผิดให้มันถูก เข้ามาช่วยชาติบ้านเมือง ผมคิดว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหมด คือ ความหวังของชาติบ้านเมือง ที่ผ่านมามีคนบอกว่าสีเหลือง สีแดงรักชาติทั้งนั้น ผมไม่ขัดข้อง เอาเป็นว่าวันนี้เราไม่มีสี แต่พวกเราต้องพร้อมเอาส่วนรวมเป็นที่ตั้ง จะเริ่มเห็นถึงวิธีแก้ปัญหา จะได้เห็นชัดๆ ว่าการเมืองที่อยู่ในสภา ที่กำลังเป็นอยู่ วิธีการเก่าๆ ไม่มีวันแก้ปัญหาอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม จริยธรรม ภาคใต้ ทหารหรือตำรวจ สังคมไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน การเปลี่ยนแปลงในทางบวก ต้องคิดนอกกรอบ การเปลี่ยนแปลงที่ทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัว นักการเมืองต้องเกิดใหม่หมด ถ้าไม่เกิดใหม่ก็ตายไปให้หมด แล้วเอาคนใหม่ๆ ที่พร้อมทำงานเพื่อส่วนรวม เพราะชาติบ้านเมืองไปไม่ได้แล้ว ต้องการคนกล้า คนเสียสละ และมีความสามารถในการทำงาน"นายสนธิ กล่าว
จวก ปชป.ทำงานไม่เป็น-ปล่อยหวัด 2009 ระบาด
สำหรับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นายสนธิ กล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่อยากก้าวก่าย แต่อยากฝากว่ารู้สึกว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ทำงานไม่เป็น ต้องทบทวนวิธีการทำงานใหม่ เช่น เด็กนักเรียน 4 คน ที่ ร.ร.เซนต์คาเบรียล พอพบว่าติดโรคดังกล่าว ก็มีการสั่งปืด ร.ร. แต่พอรู้ว่าเด็กไปติดมาจากสถาบันกวดวิชา ก็มีการปิดสถาบันกวดวิชาอีก ตนอยากถามว่า ทางการรู้หรือเปล่าว่าเด็กกวดวิชามีกี่คน แล้วไปทำอะไรมาบ้าง ถ้าเจ้าหน้าที่ทางการไม่ทราบ ถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรง เพราะสิ่งที่ควรทำจริงๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คือ ต้องนำเด็กและครอบครัวมากักบริเวณไว้ เพื่อเฝ้าดูอาการ เนื่องจากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงแล้ว ถ้าหากปล่อยไป เด็กอาจจะแพร่เชื้อโรคให้แก่ผู้อื่นได้ การที่นายอภิสิทธิ์ บอกว่าโรคนี้คุมได้ ตนอยากบอกว่าคุมไม่ได้ ถ้ามีผู้ติดเชื้อเยอะขนาดนี้ ต้องขอบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำงานไม่เป็น ถ้าทำเป็นต้องลงมาสั่งการ ไม่ใช่ทำตามที่ข้าราชการบอก ถึงตนจะรักนายกรัฐมนตรีแต่ต้องพูดแบบไม่เกรงใจ ตนอยากให้นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข แสดงความรับผิดชอบเรื่องนี้ โดยต้องเข้าไปดำเนินการด้วยหลักเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยรับสั่ง สามารถนำใช้ได้ทุกเรื่อง