รัฐบาลอัดงบ 500 ล้าน ชูโครงการต้นกล้าอาชีพ หนุนเอกชนให้จ้างแรงงานต่ออย่างน้อยอีก 1 ปี คาดชะลอตัวเลขว่างงานได้ถึง 50,000 คน เผยมีเอกชนกว่า 763 ราย ขอรับการสนับสนุนโครงการดังกล่าว พร้อมจัดสรรงบฯ อีก 6,900 ล้าน ขับเคลื่อนโครงการช่วยเหลือไม่ให้เกิดปัญหาว่างงาน ชี้เงินที่อัดเข้าสู่ระบบมาจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านที่กำลังเข้าส่งที่ประชุมสภาอนุมัติ ด้านประธาน ส.อ.ท.ชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยับตัวดีขึ้น ส่อแววฟื้นตัว เหนือ-อีสานมีความต้องการแรงงานมากขึ้น คาดจนถึงสิ้นปีนี้ตัวเลขว่างงานพุ่งไม่ถึงล้านคนแน่นอน
วันนี้ (8 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังจากที่เป็นประธานในการลงนามความร่วมมือการรักษาสภาพการจ้างงานและชะลอการเลิกจ้างกับ 80 บริษัท ภายใต้โครงการต้นกล้าอาชีพว่า รัฐบาลได้มีการจัดสรรเงินงบประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อนำไปให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมได้ว่าจ้างแรงงานของตนอย่างน้อยอีก 1 ปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถชะลอการว่างงานได้มากถึง 50,000 คน จนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ โดยจะเน้นไปที่อุตสาหกรรมส่งออก อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเอสเอ็มอีเป็นหลัก ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้การสนับสนุนเอกชนเพื่อทำให้เกิดปัญหาการว่างงานให้น้อยที่สุด ซึ่งขณะนี้มีภาคเอกชนถึง 763 แห่งที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการดังกล่าว โดยในส่วนของความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นโครงการเริ่มต้นที่ร่วมมือกับผู้ประกอบการจำนวน 78 แห่ง ดำเนินการร่วมกัน ภายใต้งบประมาณจำนวน 81 ล้านบาท และมีพนักงานเข้าร่วมฝึกอบรม 7,721 คน ใน 30 หลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดสรรเงินงบประมาณจำนวน 6,900 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการต้นกล้าอาชีพ ในการช่วยเหลือแรงงานไม่ให้ตกงานประมาณ 240,000 คน และจะจัดสรรเงินอีก 7,000 ล้านบาท ซึ่งได้มาจากการใน พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ที่กำลังจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ โดยเงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปช่วยเหลือแรงงานไม่ให้ตกงานอีก 260,000 คน ภายในสิ้นปี 2552
ด้าน นายโสภณ อัศวานุชิต ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการต้นกล้าอาชีพกล่าวว่า สำหรับโครงการดังกล่าว สามารถจัดสรรเงินให้กับผู้เข้าร่วมโครงการใน 3 ส่วน คือ โครงการปกติ โครงการที่ร่วมกับภาคเอกชน และโครงการพิเศษที่ร่วมกับส่วนราชการ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,800 ล้านบาท โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมจำนวน 65,500 คน ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้จะจัดสรรเงินได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท
“เชื่อว่าเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2552 จะช่วยอบรมแรงงานได้มากกว่า 300,000 คน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพราะได้มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันยังได้ปรับแผนมาให้ความร่วมมือกับภาคเอกชนมากขึ้น หลังพบว่าแรงงานที่ว่างงานไม่ต้องการกลับไปทำงานที่ภูมิลำเนาของตนเอง นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับเอกชน เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวให้สัมฤทธิผล เพราะมีความเป็นรูปธรรมมากกว่า เนื่องจากอย่างน้อยแรงงานจะได้ไม่ตกงานไปอีก 1 ปี”
ขณะที่ นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว ประกอบกับมีคำสั่งซื้อกลับเข้ามาแล้วในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า อาหารแปรรูป และสิ่งทอ โดยเฉพาะในแถบภาคเหนือและอีสาน มีความต้องการแรงงานเป็นจำนวนมากขึ้น จึงเชื่อว่าจนถึงสิ้นปีสถานการณ์การว่างงานจะมีไม่ถึง 1 ล้านคนแน่นอน