ส.อ.ท.แนะรัฐเร่งใช้เงินกู้กระตุ้น ศก.ทันที หลัง พ.ร.ก.ไม่ขัด รธน.พร้อมหนุน “มาร์ค” ขอเปิดสภาเร่งพิจารณา ลุ้นเม็ดเงิน 4-5 หมื่นล้าน อัดลงระบบ ศก.ทัน Q3 ขณะที่ ม.หอการค้า เชื่อ พ.ร.ก.มีผลต่อความเชื่อมั่นทันที หากเริ่มกู้ได้ ส.ค.นี้ “จีดีพี” Q4 มีโอกาสขยายตัว 4%
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) วินิจฉัย ว่า พ.ร.ก.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท ของรัฐบาลไม่ขัดรัฐธรรมนูญ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลให้มากขึ้น เพราะเรื่องดังกล่าวหลายฝ่ายจับตามองและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว
นายสันติ ยังระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีจะให้มีการประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณา พ.ร.ก.ดังกล่าว นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่อการกู้เงินได้รับอนุมัติ รัฐบาลจะได้รีบวางแผนใช้เงินกู้ ซึ่งคาดว่า รัฐบาลจะสามารถใช้จ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาสที่ 4 ปีนี้
“คาดว่า จะมีการใช้เม็ดเงินได้ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท และจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้พอสมควร แม้ระยะเวลาใช้จ่ายเงินค่อนข้างสั้น เพราะเป็นช่วงไตรมาส 4 ของปี และเมื่อรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของประชาชนจะกลับมาดีขึ้น และกล้าออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น”
ทั้งนี้ ภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกู้เงินออกมาใช้จ่ายโครงการต่างๆ โดยเร็ว หากดำเนินการเร่งรัดการใช้จ่ายได้เร็วเท่าใดจะมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ตามไปด้วย
“ขณะนี้หลายประเทศเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่รัฐบาลจะต้องวางแผนว่าจะใช้เงินไปกระตุ้นส่วนใดก่อน เพราะเงินกู้มีจำกัด เช่น อาจใช้จ่ายเรื่องระบบน้ำ ขณะที่โครงการลงทุนรถไฟฟ้า อาจใช้จ่ายได้ช้ากว่าโดยอาจจะเริ่มลงทุนได้ในปีหน้า”
ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า พ.ร.ก.กู้เงินจำนวน 400,000 ล้านบาท ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และจะทำให้รัฐบาลมีเม็ดเงินที่จะออกมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 นี้
นายธนวรรธน์ ยังประเมินว่า หากพระราชบัญญัติกู้เงินอีก 400,000 ล้านบาท ผ่านการพิจารณาของสภาด้วย และรัฐบาลกู้เงินได้ในเดือนกรกฎาคม 2552 ที่จะถึงนี้ ก็จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในเดือนสิงหาคม 2552 นี้ ก่อให้เกิดการจ้างงานและการซื้อวัสดุก่อสร้างต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 4 ปีนี้เป็นบวกได้ร้อยละ 4 จากที่ช่วงต้นปีเศรษฐกิจไทยติดลบร้อยละ 5-6 และเมื่อมีเม็ดเงินชุดแรกจากการกู้เงินของ พ.ร.ก.จำนวน 100,000 ล้านบาท จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป ก็จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ติดลบร้อยละ 2-3.5