รมต.เศรษฐกิจ เริ่มนั่งไม่ติด นายกฯ เผยช่วงครึ่งปีหลังจะพิจารณาปรับเปลี่ยนตัวบุคคลในคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ รับการขยายตัวเศรษฐกิจติดลบร้อยละ 5-8 พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นภาษีบาปอีกเพื่อหารายได้เพิ่ม ขณะเดียวกัน ขอความร่วมมือ ส.ว.ผ่าน พ.ร.ก.เงินกู้
วันนี้ (24 พ.ค.) ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 19 ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยNBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
ขอบคุณสส.-สว. 4 เดือนทำงานหนัก ผ่านหลายโครงการให้รบ.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์ที่สมัยประชุมสภาสามัญ ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นปี ได้สิ้นสุดลง เพราะฉะนั้น ตนอยากจะพูดถึงในช่วงที่ 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสมัยประชุมสภาที่รัฐบาลได้เริ่มทำงานโดยการผลักดันกฎหมาย รวมไปถึงข้อตกลงต่าง ๆ ระหว่างประเทศมากมาย
“ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณท่านสมาชิกรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ที่ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้ทำงานกันอย่างหนักในการที่จะประชุมปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ ๆ หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครับ ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ช่วงแรกก็มีความวิตกกังวลกันมากว่า ตัวเลขในแง่ของ ส.ส. ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล จะทำให้การทำงานในสภาฯ นั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหนอย่างไร แน่นอนในเรื่องของการประชุมสภาฯ ก็เหมือนกับหลาย ๆแห่งในโลก และก็เป็นธรรมชาติของสภาฯ ในวิถีทางประชาธิปไตย ซึ่งบางครั้งก็จะมีการถกเถียง มีความขลุกขลัก อาจจะดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ว่าที่สุดแล้วก็ถือว่างานหลัก ๆ ที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้ดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย”นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า แต่อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลได้ผลักดันในเรื่องของงบประมาณกลางปี หรืองบประมาณเพิ่มเติม เพื่อมาสนับสนุนโครงการสำคัญ ๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนฟรี 15 ปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเบี้ยยังชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ อสม. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเช็คช่วยชาติ รวมไปถึงโครงการชุมชนพอเพียง ซึ่งโครงการเหล่านี้ก็เดินหน้าได้อย่างเต็มที่แล้ว
ขัดข้องทางเทคนิคสัญญาณถ่ายทอดหาย45นาที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากการออกอากาศไป 10 นาที ปรากฏว่าระบบสัญญาณการถ่ายทอดของสถานีโทรทัศน์NBTมีความขัดข้องและรายการได้หยุดไป 45 นาที ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทครนิคของNBTได้ทำการตรวจสอบสาเหตุ พบว่ารถโอบีมีปัญหา จึงมีการแจ้งไปยังสถานีเพื่อส่งรถคันใหม่มาถ่ายทอดสดแทนคันเดิม จากนั้นจึงสามารถถ่ายทอดต่อไปได้ แต่ทั้งนี้เมื่อสัญญาณภาพกลับมาก็เข้าสู่ช่วงที่ 2 ของรายการ โดยช่วงนี้มี นายไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา พิธีกรรายการด้านเศรษฐกิจมาทำหน้าที่พิธีกรรับเชิญสัมภาษณ์นายกฯ
โดยนายไพบูลย์ กล่าวทันทีหลังเริ่มมีการถ่ายทอดสดว่า กลับมาพบกับเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ รายการต้องขออภัยท่านผู้ชมสำหรับความขัดข้องทางเทคนิค ทำให้ภาพหยุดออกอากาศไประยะหนึ่ง ตอนนี้เรากลับมาคุยกันต่อได้แล้ว ท่านนายกฯ ยังอยู่กับเรา จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อกี้เหตุขัดข้อง ซึ่งเกิดเป็นเรื่องปกติ
ย้ำรัฐบาลงานสภาสำคัญ เผยเปิดสมัยประชุมมิ.ย.เดินหน้าพรก.เงินกู้
นายกฯ กล่าวต่อว่า เดิมตั้งใจว่าข้อแรกอยากจะขอบคุณสมาชิกรัฐสภาในการประชุมสมัยสามัญที่เพิ่งสิ้นสุดลงไป และขอยืนยันว่าผลงานของสภาฯ เองในแง่ของจำนวนกฎหมาย จำนวนญัตติ กระทู้ถามต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าน่าพอใจ จริงๆ แล้วก็ดูเหมือนกับว่าเทียบเคียงกับสมัยประชุมก่อนหน้านี้ ก็ทำได้ดีกว่า และก็ตั้งใจที่จะให้ทุกคนในรัฐบาลให้ความสำคัญกับงานสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นไปตามกระทู้ถาม แล้วก็ให้การสนับสนุนงานด้านนิติบัญญัติ กฎหมายที่ออกมา ข้อตกลงที่ผ่านไป หลายเรื่องที่สนับสนุนนโยบายรัฐบาลก็เดินไปได้ด้วยดี และพอกลางเดือนมิถุนายนก็คาดการณ์ว่าจะต้องเปิดสมัยประชุมอีกครั้งหนึ่ง ก็จะขอความร่วมมือเรื่องงบประมาณ ขอความร่วมมือการผ่านพระราชกำหนดในเรื่องของเงินกู้ต่อไป
สรุปมติครม.ในรอบสัปดาห์ เล็งให้เบี้ยคนพิการ
นายกฯ กล่าวว่า ประเด็น ที่ 2 อยากจะพูดสั้น ๆ ถึงงานในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีการอนุมัติเรื่องสำคัญ ๆ เช่น กรณีของคนพิการ ได้มีการออกมติคณะรัฐมนตรีเพื่อที่จะให้สถานที่สำคัญที่ทางคนพิการไปใช้ บริการอยู่ เช่น ศาลากลาง ที่ว่าการอำเภอ โรงพยาบาล และสถานีตำรวจ ต้องจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการ คือก่อนหน้านี้เคยมีมติ ครม.บังคับกับเฉพาะอาคารที่สร้างใหม่ แต่อันนี้เราจะย้อนกลับไป เพื่ออาคารที่สร้างก่อนมติ ครม. นั้น จะสิ่งอำนวยความสะดวก และเช่นเดียวกันนะครับ เราก็ได้เห็นชอบแล้วว่า ต่อไปก็จะต้องมีเบี้ยเพื่อที่จะช่วยสนับสนุนรายได้ให้คนพิการ เดือนละ 500 บาทตลอดชีวิต แต่ว่าที่ประเมินตัวเลขและดูขั้นตอนในขณะนี้คิดว่าจะเริ่มต้นได้คงจะเป็น ประมาณเมษายนปีหน้า
แนะช่องทางปชช.ร้องเรียนปัญหาถึงรัฐบาล
“ไหน ๆ พูดแล้วก็เลยขอถือโอกาสเรียนด้วยว่า นโยบายเรียนฟรีของรัฐบาลก็ดี เบี้ยยังชีพของรัฐบาลก็ดี ใครยังมีปัญหากรุณาแจ้งมา 1111 และเรียนฟรีก็ 1579 เรียนฟรีก็ยังมีเสียงที่บอกยังถูกเก็บเงินอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ ขอให้แจ้งเข้ามา ส่วนกรณีเรื่องของเบี้ยยังชีพ ที่จริงขณะนี้ทุกคนที่มาขึ้นทะเบียนไว้ ควรจะได้รับแล้ว ถ้ายังไม่ได้รับกรุณาแจ้งมา แสดงว่ามีปัญหาในการที่ไปดำเนินการแล้ว เพราะว่าเงินได้โอนไปที่ท้องถิ่นต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ตั้งใจจะพูดไว้” นายกฯ กล่าว
แจงแก้ปัญหาสินค้าเกษตร จี้ท้องถิ่นช่วยดูแล แนะคนไทยช่วยซื้อผลไม้
นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของพืชผลเกษตร ตอนนี้ที่ห่วงใยกันมากคือเรื่องผลไม้ วันนี้เราเอามาวางให้ดูด้วยรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เรื่องลิ้นจี่ก็สะสางกันไปสัปดาห์ที่แล้ว ความจริงสัปดาห์ก่อนอนุมัติเงินไปเกือบ 40 ล้าน และต่อมาก็ให้ท้องถิ่นเข้ามาช่วยขาย และสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านมานี้ได้ติดต่อกับทางจังหวัด ให้ช่วยไปดูหน่อยว่าตรงไหนที่ยังเป็นปัญหาอยู่ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอะไรก็มาขอรัฐบาลได้ และพร้อม ๆ กันในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ตอนนี้ก็เรื่องถั่วลิสงร้องมา
“ก็อยากจะฝากสั้นๆ เท่านั้นเองว่า จริงๆ ถ้าหากว่าท้องถิ่นสามารถที่จะดำเนินการได้เลยจะดีที่สุด เพราะเรื่องผลไม้ไม่เหมือนพืชผลตัวอื่นนะครับ ออกมาแล้วมีเวลาไม่มากในการที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาจัดการ และคงจะต้องบอกว่าเชิญชวนทุกคนช่วยกันซื้อและรับประทานผลไม้ไทย”นายกฯ กล่าว
ย้ำให้ความสำคัญปห.เศรษฐกิจ ต้องเป็นหัวหน้าทีมดูแลเอง
เมื่อพิธีกรรับเชิญถามว่าแบ่งแยกเวลาให้กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ใหญ่มาก และถ้าไม่แก้ไขจะกลายเป็นปัญหาสังคม ปัญหาการเมืองด้วย ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ว่าในทุกๆ ประเทศขณะนี้รัฐบาลให้เวลากับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ก็สังเกตดูว่าเรื่องของประชุม ครม. เศรษฐกิจ โดยปกติจะประชุมเป็นประจำทุกสัปดาห์ ระยะหลังจะติดขัดเรื่องของสภาฯ หรืออะไรที่เข้ามาเพิ่ม เลยอาจจะประชุมน้อยลงไปบ้าง แต่ว่าจริงๆ แล้วทุกสัปดาห์โดยปกติ และถ้าไม่มีจะเชิญผู้ที่รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจมาพูดคุยกันอยู่เป็นระยะๆ ในการประชุม ครม. เอง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจก็ยังค่อนข้างเยอะ ไม่นับเรื่องของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เป็นเรื่องการลงทุนบ้าง ภาษีอากรบ้าง อะไรบ้าง ก็มีการทำอยู่ตลอดเวลาซึ่งตนก็พูดตั้งแต่ต้นว่าต้องเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
“ผมเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยครับ เพราะว่าต้องพยายามที่จะให้ทุกกระทรวงทำงานร่วมกัน บางเรื่องอย่างเรื่องท่องเที่ยว เราก็ประกาศเป็น จริง ๆ แล้วต้องเป็นคำว่าระเบียบวาระแห่งชาติ แต่ย่อกันเป็นวาระแห่งชาติ ก็ประกาศไปแล้ว ซึ่งหมายถึงว่ามันไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ผมก็จะต้องช่วยกันดู ขนาดรัฐมนตรีท่องเที่ยวยังบอกว่าผลไม้นี่จะขอไปแจกนักท่องเที่ยวให้ เป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้ามาด้วย”นายกฯ กล่าว
แยกงานการเมืองเข้าสภาได้แล้ว รบ.มีเวลาให้เศรษฐกิจมากขึ้น
เมื่อถามว่าให้ความสำคัญกับประเด็นทางเศรษฐกิจ ถ้าเทียบกับประเด็นทางการเมือง นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าประเด็นทางการเมืองตอนนี้เป็นเรื่องของความขัดแย้ง การแก้ปัญหาส่วนหนึ่งก็คือการแสดงออกถึงท่าทีและก็ติดตามงาน ซึ่งอาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็นงานนโยบาย แต่เป็นงานของการปฏิบัติตามกฎหมาย คดีความต่างๆ ต้องว่าไปตามกฎหมาย ใครร้องมาก็เร่งรัดให้ ส่วนตัวเรื่องของการที่จะแก้ปัญหาใหญ่ในทางการเมือง ขณะนี้เราจัดสภาฯ เป็นเวทีใหญ่ เขามีคณะกรรมการอยู่ ฝ่ายค้านจะได้ร่วมด้วย วุฒิสมาชิกจะได้ร่วมด้วย เปิดกระบวนการให้กว้างเข้า เพราะฉะนั้นตรงนั้นจริง ๆ แล้วถือว่าสภาฯ เป็นเจ้าภาพอยู่ รัฐบาลก็มีเวลามาทำเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น ส่วนสังคมนั้น ตนว่านับวันก็แยกยาก อาทิ งานการศึกษาคืองานเศรษฐกิจหรือสังคม เมื่อก่อนเขาบอกงานศึกษาเป็นเรื่องงานทางสังคม แต่จริงๆ ขณะนี้การเสริมความเข้มแข็งของประเทศจะอยู่ที่งานการศึกษา การพัฒนาคนค่อนข้างมาก
ฝ่ายค้านมีสิทธิ์ตรวจสอบพรก.เงินกู้
เมื่อถามว่ากรณีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 4 แสนล้านอันนี้เป็นประเด็นเศรษฐกิจ แต่ว่าโดนประเด็นการเมืองเข้ามาเบียดไป นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คือมันเป็นเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตย การถ่วงดุลอำนาจ ฝ่ายค้านเขาก็มีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบ และเขาก็ต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจของเขา แต่ตนก็ยืนยันว่าเราทำทุกอย่างถูกต้อง และอยากจะให้มันรวดเร็ว แต่ว่าเมื่อมันเป็นไปตามกติกาเราก็ต้องยอมรับ เมื่อเขามีสิทธิ์ที่จะเสนอตีความเขาก็ว่ากันไป
การเมืองวุ่นเศรษฐกิจก็วุ่น ยันต้องจัดการไม่ให้ซ้ำเติม
“การเมืองกับเศรษฐกิจก็ผูกพันกัน เพราะว่าเหตุการณ์ทางการเมืองก็ส่งผลกระทบด้วยในแง่ความเชื่อมั่น คือประเทศไทยนอกจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความวุ่นวายทางการเมือง เรียกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเดือนเมษายน ก็กระทบแน่นอน เพราะฉะนั้น ผมก็พยายามที่จะบริหารจัดการในทางการเมือง ไม่ให้กระทบหรือเข้ามาซ้ำเติมเศรษฐกิจ แต่ว่าปัญหาที่อยู่ในใจประชาชนจริง ๆ ผมเชื่อว่าขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาการเมือง เป็นปัญหาเศรษฐกิจ เป็นความเดือดร้อน โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงว่าจะตกงานไหม และคนที่รายได้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในปัจจุบัน”นายกฯ กล่าว
อีก2วันเห็นตัวเลขไตรมาสแรก เชื่อหนักกว่าช่วงสิ้นปี51แต่เบากว่าญี่ปุ่น
เมื่อถามว่าถ้ารู้สึกอย่างไรกับแนวโน้มของเศรษฐกิจในเมืองไทย สบายใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สบาย ใจคงไม่ได้เพราะวิกฤตนี้มันแรง และมันก็แรงมาจากข้างนอก ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรก เข้าใจว่าเป็นทางการคงจะออกมาวัน 2 วันนี้
“ก็คิดว่าคงจะหนักกว่าไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว ติดลบไปเกือบ 5 ครั้งนี้อาจจะลบ 5 ลบ 6 ลบ 7 ลบ 8 เป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะผมเห็นแล้วว่าที่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ที่ผมเห็นในภูมิภาคนี้ขณะนี้มีตั้งแต่ลบ 8 ถึงลบ 11 เพราะฉะนั้น ของเราคงจะไม่เบา”นายกฯ กล่าว
ชี้เลิกจ้างลดส่งสัญญาณดีในระบบ เชื่อไตรมาส2ดีขึ้น
นายกฯ กล่าวอีกว่า แต่ว่าขณะเดียวกันเราก็ตามตัวเลขดู ก็มีบางส่วนที่ดูว่ามันก็เป็นสัญญาณที่เราอาจจะพอมองเห็นว่า มันไม่ได้หนักหนา จนเรียกว่ามองไม่เห็นทางข้างหน้า เช่น เรื่องของปัญหาการเลิกจ้าง การลาออกจากงาน ดูว่ามีนาคม เมษายน ตัวเลขดีขึ้นกว่าเดือนกุมภาพันธ์ การใช้กำลังการผลิตจากที่ตกลงมาต่อเนื่อง ผงกขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 แต่ตนก็ระมัดระวัง เพราะว่าเรื่องตัวเลขการเลิกจ้างส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายรัฐบาลเอง ที่เข้าไปเจรจาค่อนข้างใกล้ชิดกับผู้ประกอบการว่า ขอให้ชะลอการเลิกจ้าง โดยเรามีมาตรการในการที่จะจูงใจ แลกเปลี่ยนกันไป เช่น มาตรการเรื่องประกันสังคม มาตรการเรื่องอื่นๆ และขณะเดียวกันการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่ามีการระบายสต็อกของสินค้าไปค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน
“แต่ว่าอย่างน้อยที่สุด ดูตัวเลขมีนา เมษา แล้ว มันดีกว่ากุมภา เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ยังมั่นใจว่า ไตรมาส 2 จะดีกว่าไตรมาสที่1 และมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าไปแล้วเงินเพิ่งลงก็คือไตรมาส2 มีเงินที่ออกไปไตรมาส1 อยู่ 4-5 วันก็คือตอนเช็คช่วยชาติ2,000 บาท เริ่มออกเท่านั้นเอง”นายกฯ กล่าว
ไตรมาส3อัดแผนกระตุ้นรอบ2 กลับเป็นบวกไตรมาสสุดท้าย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้น เมษานี้คิดว่าแม้จะมีผลกระทบทางการเมือง จากเหตุการณ์เมษา พฤษภา มิถุนา น่าจะดีขึ้น และก็แน่นอนพอเราไปถึงไตรมาสที่ 3 ตนว่าก็จะมีแผนกระตุ้นรอบ2 ที่เป็นการลงทุนก็จะช่วยได้อีก และยังตั้งเป้าว่า พอถึงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อัตราการเจริญเติบโตก็จะกลับมาเป็นบวก และทั้งหมดนี้จะพยายามดูแลในเรื่องของการที่จะลดตัวเลขในเรื่องของการว่าง งานให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
รับท่องเที่ยวยังน่าห่วง ติดลบ15%
เมื่อถามว่ามีประเด็นไหนทางเศรษฐกิจที่มองแล้ว ไม่สบายใจเลย เป็นห่วงมาก นายกฯ กล่าวว่า ก็ยังไม่สบายใจอยู่ก็คือ ส่งออก ท่องเที่ยว ก็ยังหนักอยู่ คือทั้งภูมิภาค ส่งออกไตรมาสแรกลบไม่ต่ำกว่า20 ซึ่งหนักหนาสาหัสมาก เมื่อก่อนนี้ตัวเลขส่งออกขยายตัวน้อยกว่า10 เราก็ผิดหวังแล้ว อันนี้หดตัวร้อยละ 20 นักท่องเที่ยวเอง
“ตอนนี้ตัวเลขที่ผมมีล่าสุด ลบอยู่ประมาณ 14-15 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าในหลายพื้นที่พอเข้าสู่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว ก็หนักหนาสาหัสอยู่ในแง่ของโรงแรม หรือในแง่ของกิจการอื่น ๆ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ไม่สบายใจ และก็ห่วงที่สุดคือทำอย่างไรที่จะไม่ให้นำไปสู่เรื่องของการว่างงาน เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เรายังกังวลอยู่”นายกฯ กล่าว
ติดตามค่าเงินใกล้ชิด ยอมรับว่าแข็งแต่ยังดีกว่าหลายประเทศ
เมื่อถามถึงปัญหาการส่งออกที่ค่าเงินบาทเราแข็งขึ้นมาอย่างมาก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คือ เรื่องค่าเงินเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่เป็นประจำ ต้องขอเรียนอย่างนี้ว่ารัฐบาลติดตามใกล้ชิด จะให้มีการรายงานในเรื่องของแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนมาโดยตลอด ทีนี้ถามว่าเงินแข็งขึ้นไหม ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ ในช่วงเดือนหนึ่งที่ผ่านมาก็ได้ ตีรวม ๆ ค่อนข้างที่จะแข็งขึ้นมาพอสมควร แต่ว่าดูตัวเลขเทียบเคียงกับประเทศในภูมิภาคทั้งหลาย และโดยเฉพาะถ้าดูตั้งแต่ต้นปีก็ดี หรือดูมาตั้งแต่ประมาณปี2 ปีที่แล้วก็ดี การเคลื่อนไหวของเงินบาท ไม่ได้แตกต่างจากค่าเงินในภูมิภาคประเทศอื่น ๆ มากนัก ถ้าดูยาวไปนิดหนึ่งด้วยซ้ำ เรียกว่าเราอยู่ตรงกลางเลย ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าชอบให้เงินแข็ง เพียงแต่บอกว่าอย่าไปพูด หรือไปเข้าใจกันว่า มันเป็นเรื่องที่ของเราแข็งอยู่คนเดียว จริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น
มอบธปท.ดูแลค่าเงิน ยันรัฐบาลไม่แทรกแซง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อในประเด็นค่าเงินว่า ประเด็น ที่ 2 ที่น่าสนใจ คือเงินที่อ่อนลงมากที่สุด ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเกาหลี กับอินโดนีเซีย ก็พบว่าตัวเลขส่งออกของเขา ไม่ได้ดีกว่าเราเท่าไหร่ ที่พูดอย่างนี้ก็เป็นการยืนยันอีกครั้งว่า ปัญหาการส่งออกขณะนี้เป็นปัญหาของกำลังซื้อของคู่ค้าของเรามากกว่าเรื่องราคา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ได้ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย
“ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก็ยืนยันกับผมว่า 1. เขาจะดูแลไม่ให้ค่าเงินผันผวน 2. เขาจะดูแลว่าค่าเงินของเรา เมื่อเทียบเคียงกับประเทศในภูมิภาคแล้ว มันไม่ไปหลุดออกมาจากแนวโน้มหลัก เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็เป็นหน้าที่ที่เขาดูแลอยู่ และก็ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลพึงจะไปแทรกแซงเรื่องการเงินกับเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ธปท.ดูแลและเขาทราบดีว่าภารกิจของการบริหารจัดการในขณะนี้คือการฟื้นเศรษฐกิจ การฟื้นการส่งออก แต่ว่าการจะเข้าไปทำอะไรกับค่าเงินก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังตามสมควร ไม่ให้เป็นเหยื่อของผู้ที่เป็นนักเก็งกำไร ที่จะเข้ามาแสวงประโยชน์ด้วย”นายกฯ กล่าว
ยันเงินเฟ้อยังไม่มี แนะธปท.ช่วยดูเรื่องสินเชื่อ-ดอกเบี้ย
นายกฯ กล่าวอีกว่า การมอบให้กับธปท.ดูแลโดยระบบของเราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าวิธีที่เราทำคือว่าตนกับทางธปท.จะมาคุยกันในเชิงเป้าหมายการบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ก็ยังเหมือนกันอยู่ก็คือชัดมากว่าเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด สองถ้าดูอัตราเงินเฟ้อทุกเดือนมานับถึงปัจจุบันปีนี้ติดลบ เพราะฉะนั้นความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อยังไม่มี แต่เรื่องอัตราดอกเบี้ย ทางธปท.ก็ปรับลงมา น่าจะแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ต่อเนื่องมาในช่วง 4 - 5 เดือนที่ผ่านมา และคิดว่าขณะนี้เขาก็ได้ประเมินแล้วว่าปัญหาเรื่องสินเชื่อก็เหมือนกัน คงไม่ได้ผูกพันกับเรื่องอัตราดอกเบี้ย ก็ถือว่าส่งสัญญาณปรับลงมาชัดเจน แต่เรื่องสินเชื่อก็ต้องไปดูมาตรการอื่น โดยเฉพาะในเรื่องของปัญหาการที่สถาบันการเงินไม่พร้อมที่จะเสี่ยง ไม่พร้อมที่จะปล่อย บางโครงการเราก็เข้าไปช่วย เช่น กรณีของท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้ก็ได้รับการตอบสนองค่อนข้างดี อาจจะต้องมีการขยายโครงการเพิ่มขึ้น แต่นอกจากนั้นก็คงจะเป็นเรื่องที่ต้องไปดูสถาบันของรัฐเอง จะมีบทบาทนำได้อย่างไร
เล็งใช้ช่วงหวัดใหญ่ระบาดฟื้นท่องเที่ยว
เมื่อถามว่ารัฐบาลจะจริงจังแค่ไหนกับการฟื้นการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการเราชัดมากที่จูงใจได้ เช่น ค่าวีซ่า ค่าจอดอากาศยาน เรื่องของมาตรการที่เป็นการกระตุ้นในลักษณะนี้ ประกันภัยอะไรให้หมดแล้ว สินเชื่ออย่างที่บอก 5 พันล้านนี้ถ้าหมดสงสัยอาจจะต้องมาพิจารณาดูว่า จะขยายเพิ่มช่วยเหลือผู้ประกอบการได้อย่างไร แต่ว่าขณะเดียวกัน ขณะนี้ก็เป็นโอกาสสำคัญในการที่รัฐบาลกำลังทำแผนกระตุ้นการลงทุน
“ผมเพิ่งไปสมุยมา คุยกับผู้ประกอบการ ก็เป็นโอกาสที่เขาต้องมานั่งจัดลำดับความสำคัญเหมือนกันตอนนี้ ระบบไฟฟ้า น้ำ กำจัดขยะ ถนนหนทาง หรือแม้กระทั่งอย่างสนามบินสุราษฎร์ฯ หรือสนามบินอะไรต่าง ๆ อยากจะให้มีการปรับปรุงการลงทุนตรงไหน ที่สำคัญก็คืออย่างสมุยนี้เขากำลังพยายามผลักดันความคิดว่าเขาจะเป็นการท่อง เที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะต้องลงทุนอะไร จังหวะนี้ละครับคือจังหวะที่จะทำ ที่เรากำลังทำเรื่องของประเทศไทยเข้มแข็งนี้ ก็คือต้องการที่จะมาปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานตรงนี้ เพราะฉะนั้นแหล่งท่องเที่ยวที่จะมีการปรับปรุงนี้เป็นหัวใจสำคัญของแผน กระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง ในภาวะซึ่งคนยังเดินทางน้อยลง ยิ่งมาเจอไข้หวัดใหญ่ด้วย คนยังเดินทางน้อยลง เราใช้โอกาสตรงนี้ปรับปรุงเรื่องของเรา ทำของเราให้ดี และเวลาฟื้นขึ้นมาจะได้ประโยชน์มากครับ”นายกฯ กล่าว
ย้ำสงกรานต์เลือด-ล้มอาเซียนยิ่งซ้ำเติม
เมื่อถามว่าปัญหาความวุ่นวายเมื่อปลายปีเรื่องสนามบินและเดือนเมษายนจะสร้างความเชื่อมั่นให้เขากลับมาเที่ยวอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงหลังจากที่เข้ามาไป Road Show ประเทศแล้วก็เริ่มดีขึ้นมา แต่ว่าพอเกิดเหตุเมษายนนี้ก็ต้องยอมรับว่าเหมือนกับถอยหลังมา ก็ต้องตั้งหลักกันใหม่ และเราก็พยายาม มาตรการในประเทศของเราเองก็สำคัญ ในที่สุดแล้วเขาก็ต้องมองว่ามันมีคำตอบทางการเมืองไหม ขณะเดียวกันมาตรการ มาตรฐาน ในแง่ของการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นอย่างไร
“ช่วงที่ถือว่ากระทบมากก็คือช่วงที่อาเซียนที่พัทยาต้องเลื่อนไป แต่ผมคิดว่าหลังจากนั้นเขาก็ได้เห็นความชัดอย่างหนึ่งว่า รัฐบาลก็มีความตั้งใจอย่างสูงที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย แก้ปัญหาในช่วงสงกรานต์กลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น”นายกฯ กล่าว
ย้ำคนไทยพร้อมต้อนรับชาวต่างชาติ
นายกฯ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าพอทำตรงนั้นเป็นเรื่องที่จะไปเพิ่มหรือไปลุกไล่ทาง การเมือง ไม่ใช่ ให้ทุกอย่างกลับไปอยู่บนโต๊ะในเรื่องของความสมานฉันท์ ความปรองดองที่สภาฯ และขณะเดียวกันก็ยืนยันกับชาวโลกมาตลอดว่า เหตุการณ์วุ่น ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับชาวต่างชาติเลย เป็นเรื่องปัญหาภายในของเรา และคนไทยก็ยังอยากจะต้อนรับ อยากจะให้คนต่างชาติเดินทางมา หลังจากเหตุการณ์นี้ ตนก็เพิ่งไปฮ่องกงมา แต่ว่าก็กำลังจะมีโอกาสได้ไปอีกหลายประเทศในอาเซียน และประเทศในภูมิภาคต่อไป
ยันขึ้นภาษีน้ำมันไม่กระทบปชช. ชี้บางประเทศกำลังกักตุน
เมื่อถามถึงการเก็บภาษีน้ำมัน ภาษีบาปว่าไปกระทบกับอุตสาหกรรมและประชาชนมากน้อยแค่ไหน นายกฯ กล่าวว่า คือขณะนี้ไม่มีผลกระทบ เพราะราคาน้ำมันที่เคลื่อนไหวขณะนี้เป็นเรื่องของตลาดโลก เป็นเรื่องของปัจจัยอื่น ๆ เพราะว่าแนวที่เราทำก็คือว่าภาษีน้ำมันที่เราเก็บเพิ่มขึ้นนี้เราเอากองทุนน้ำมัน ซึ่งก็มีเงินสะสมขึ้นมาส่วนหนึ่งนี้เข้าไปชดเชย เพราะฉะนั้นที่รัฐบาลเก็บจากประชาชนนี้มันเท่าเดิม เพียงแต่ว่าการที่เงินจะไปเข้ากองทุน เงินมาเข้าในส่วนของคลัง คือเรื่องของภาษี เพราะฉะนั้นน้ำมันเราระมัดระวังอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าเป็นต้นทุนที่สำคัญขอให้ทำความเข้าใจ ขณะเดียวกันเราก็ต้องดูโครงสร้างในระยะยาวที่เหมาะสมในเรื่องของภาษีน้ำมันด้วย
“ผมคิดว่าก่อนหน้านี้ที่เราต้องยกเว้นหรือเลิกหรือเก็บต่ำมากนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้นไปมาก และตอนนั้นเรากำลังพูดถึงน้ำมัน 30 - 40 ซึ่งมันก็คงจะเป็นภาระที่ประชาชนรับไม่ไหว แต่ตอนนี้ราคาน้ำมันก็ลดต่ำมา ก็มีช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ที่ต้องเริ่มจับตาดูนิดหน่อย เพราะว่ามีบางประเทศค่อนข้างที่จะซื้อเข้าไปเก็บเยอะ เราก็จับตาดูอยู่ ถ้าสถานการณ์ของน้ำมันของโลกมันเปลี่ยนแปลงไปมาก ๆ อันนั้นก็คงต้องมาทบทวนกัน ก็ค่อยว่ากันไป แต่ในสถานการณ์นี้เราไม่ได้ไปเพิ่มภาระให้ประชาชน ตรงกันข้ามกับเหล้ากับบุหรี่ อันนี้เรายืนยันว่าเป็นสิ่งที่ควรจะต้องเก็บเพิ่ม ทีนี้ก็มีเสียงเหมือนกันว่าเอ๊ะอยากให้เก็บมากกว่านี้ก็มี”นายกฯ กล่าว
เผยคลังชงรีดภาษีบาป-น้ำมันมากกว่านี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ทีนี้ก็อยากจะบอกว่ากรณีของเหล้า บางตัวมันชนเพดานตามกฎหมายไปแล้ว ตัวที่ไม่ชนตอนนั้นที่เราทำก็คือเบียร์ก็เลยทำให้ชนเพดาน แล้วพอเก็บเบียร์นี้ก็ต้องเก็บเหล้าขาว ทีนี้เหล้าขาวมันติดปัญหาตรงที่ว่ามันไปโดนเหล้าชุมชน ซึ่งก่อนหน้าที่มีนโยบายของรัฐบาลซึ่งไม่ใช่ชุดนี้ แต่ว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมกิจการในเรื่องของสุราชุมชน ถ้าเราเพิ่มมากตรงนั้นมันก็ไปกระทบกับสุราชุมชน เพราะฉะนั้นเราก็เพิ่มได้เพียงระดับหนึ่ง แต่ก็ได้เห็บเพิ่มเช่นเดียวกัน ส่วนบุหรี่นี้ความจริงชนเพดานไปแล้ว เลยต้องออกเป็นพระราชกำหนดขยายเพดาน แล้วก็เก็บ “จริง ๆ ก็บอกได้เลยนะครับ ตอนที่กระทรวงการคลังเสนอมา ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ เหล้าขาว หรือบุหรี่ในครั้งแรกนี้ไม่ได้มากเท่านี้ ผมเป็นคนขอบอกว่าไหน ๆ จะเก็บแล้วก็เก็บให้มากเท่าที่คิดว่าตลาดพอจะรับไหว”นายกฯ กล่าว
หนุนรีดภาษีบาปหนักๆ ไม่รับรองว่าจะไม่ปรับขึ้นอีก
เมื่อถามว่าภาษีที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเช่น น้ำมัน ภาษีเงินได้เป็นภาษีที่เก็บให้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภาษีบาปที่เกิดโทษบางอย่างกับสังคมโดยรวม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นด้วย แต่ขอแยกนิดหนึ่งว่า ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม อันนี้เราไม่คิดจะเพิ่มเลย ภาษีเงินได้ความจริงในเชิงนโยบายนี้อยากจะลด เพื่อให้แข่งขันได้มากขึ้น คงต้องรอดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม
“ส่วนภาษีบาปนี้ก็อย่างที่บอกก็คือขึ้น และอนาคตอาจจะขึ้นอีกก็ได้ ทีนี้น้ำมันคงจะไปรวมอยู่กับตรงนั้นเสียทีเดียวก็ไม่ได้เหมือนกัน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าระยะหลังนี้หลายประเทศมีแนวคิดว่าภาษีสรรพสามิตน้ำมันเก็บเพื่อที่จะดูแลเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย จะเห็นว่าในส่วนของแก๊สโซฮอล์กับไบโอดีเซลนี้เราหลีกเลี่ยง ในการที่จะไปเพิ่มภาระให้กับประชาชนตลอดเวลา มันก็จะตกอยู่ที่เบนซินกับดีเซล ทีนี้ดีเซลก็ยังเป็นต้นทุนสำคัญ บังเอิญเรามีกลไกที่จะไปชดเชย แล้วก็มีกลไกที่เข้าไปช่วยดูแลชดเชยให้อยู่ เพราะฉะนั้นยังยืนยันว่าน้ำมันขณะนี้ไม่มีผลกระทบต่อประชาชน และถ้าน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นมากๆ ก็จะมาดูอีกทีว่าจะทำอย่างไร
เมื่อถามถึงราคาน้ำมันของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆพบว่าของไทยราคาถูกกว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่จริงก็ต่ำ แต่ว่าไม่อยากพูด เพราะว่าเดี๋ยวจะถูกต่อว่า คนของเราที่ฐานะไม่ดีต้องใช้น้ำมันเยอะ แล้วมันก็กระทบเรื่องปุ๋ยเรื่องอะไรด้วย ตนถึงไม่ได้ไปอ้างอิงตรงนั้น ความเป็นจริงก็คือว่าตนคิดว่าโครงสร้างเราไม่ใช่เป็นโครงสร้างภาษีที่สูง ซึ่งขณะนี้ก็ยังดูแลไม่ให้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีน้ำมันให้ไปกระทบประชาชน
แจงรายละเอียดรีดภาษีที่ดิน ไม่ใช้ที่ถือเป็นโทษ
เมื่อถามว่ามีรายละเอียดเรื่องภาษีที่ดินที่กระทรวงการคลังกำลังมีการจัดทำขึ้นมาหรือไม่ว่าจะมีผลกระทบอย่างไร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล กล่าวว่า หลักของมันนก็คือว่าตอนนี้เรามีภาษีที่เรียกว่าภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือน 2 ตัว แต่ว่าถ้าดูตามเหตุตามผลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ อัตราการจัดเก็บอะไร ตนคิดว่าถือว่าล้าสมัยมาก เราก็คิดว่าเป็นการเก็บ ถ้าเรามารวมเป็นฐานภาษีที่เรียกว่าทรัพย์สินและที่ดิน
“หนึ่ง มันจะเป็นภาษีที่มีเหตุมีผลมากขึ้น ก็คือเก็บเป็นสัดส่วนตามมูลค่าของทรัพย์สินนั้น ซึ่งก็จะเป็นส่วนช่วยในการทำให้สังคมมีความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ประการที่สอง ภาษีตัวนี้จะเป็นภาษีสำคัญที่เป็นรายได้ของท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามหลักของสากล คือจริง ๆ แล้วท้องถิ่นนี้ ฐานภาษีที่ดีที่สุดคือสิ่งที่มันเคลื่อนย้ายไม่ได้ เพราะว่าของใครของคนนั้น มันก็จะไปช่วยในเรื่องท้องถิ่น อันที่สามนี้เราก็คงจะต้องมีการวางระบบ ซึ่งกระทรวงการคลังก็เตรียมอยู่ เช่น เราก็ต้องยกเว้นให้คนที่อาจจะมีรายได้น้อย แต่บังเอิญมาอยู่ในที่ดินซึ่งมีมูลค่าสูง เช่น คนจนในเมืองอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ควรจะมีมาตรการในการลงโทษคนที่สะสมที่ ที่ดินปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าไม่ใช้ประโยชน์”นายกฯ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า มีที่ดินแล้วไม่ใช้ ก็จะต้องมีการลงโทษ อันนี้ก็คือลงโทษโดยเงินภาษี ในความหมายก็คือเก็บภาษีสูง ไม่ใช่ไปลงโทษอย่างอื่น อันนี้ก็คือแนวที่กำลังวางไว้สำหรับภาษีที่ดินและทรัพย์สิน ซึ่งตนคิดว่าเพิ่มความเป็นธรรม ช่วยเหลือท้องถิ่น และจะทำให้การใช้ทรัพยากรของประเทศมีเหตุมีผลมากขึ้น เพราะฉะนั้นจะเดินต่อเรื่องนี้
แย้มรีดภาษีสถานบันเทิงเพิ่ม ชี้กำลังประเมิน
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการเก็บภาษีแหล่งเริงรมย์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่จริงภาษีนี้เก็บอยู่แล้ว ส่วนที่จะให้เก็บหนักๆก็ให้เขาประเมินอยู่ว่าจริง ๆ แล้วนี้อัตราที่เก็บสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร จริง ๆ ตอนนั้นทางกรมสรรพสามิตก็ดูตัวนี้ด้วย เคยดูเรื่องกาแฟกระป๋องอะไรต่างๆ เสร็จแล้วก็มีคนมาร้องเรียนบอกว่าจริง ๆ เดี๋ยวไปกระทบพี่น้องที่ทำไร่ ปลูกชาปลูกกาแฟอะไรต่าง ๆ ก็เลยไม่ได้จัดเก็บ
มึนหาความพอดีเรื่องออกหวยยาก
เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่รัฐบาลเป็นเจ้ามือพนันที่ใหญ่ที่สุดรายก็คือสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหานี้ก็เถียงกันมาทุกยุคทุกสมัย เราก็พยายามหาความพอดี ตนก็ให้แนวทางไว้ จริง ๆ ก็มีคนยังอยากเสนอให้ทำมากกว่านี้ ก็คือเรื่องหวยบนดิน หวยออนไลน์อะไรเพื่อจะเป็นรายได้เข้าหารัฐ
“เข้าสู่รัฐ ผมก็บอกว่าก็คงจะต้องดูเพราะว่า ถามว่ารัฐบาลอยากได้เงินไหม อยาก แต่ไม่อยากให้มีการส่งเสริมในเรื่องของการพนันด้วย สลากกินแบ่งผมก็ถือว่าก็ทำกันมานาน บังเอิญสลากกินแบ่งก็เป็นที่มาของหวยใต้ดินซึ่งเราก็ไม่อยากให้มีนะครับ แต่ว่าก่อนหน้านี้ที่ไปทำหวยบนดินนี้ก็บังเอิญเป็นลักษณะกินรวบไม่กินแบ่ง ซึ่งผิดทั้งกฎหมายและผมคิดว่าอันนั้นความเป็นเจ้ามือ แทบจะเรียกว่ากลายเป็นคู่พนันไปเลยก็ว่า อันนั้นก็จะไม่ทำนะครับกินรวบ”นายกฯ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนสัญญาที่ค้างอยู่ ตอนนี้มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายในสัญญาต่อว่า สัญญานี้มันค้างอยู่กับบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ไปทำเรื่องของหวยตู้ ตอนนี้กำลังมีการพิจารณาอยู่ ตนจะพยายามดูความพอดีไม่ให้ประเทศชาติเสียหาย แต่ว่าก็ยังยืนยันว่าไม่อยากทำอะไรที่เป็นการส่งสัญญาณให้คนมาเล่นการพนัน เพิ่มขึ้น และบังเอิญเรื่องนี้ก็ไปกระทบหลายสลับซับซ้อนมาก คนพิการเองก็มีการเคลื่อนไหวคัดค้าน เรื่องของหวยตู้อยู่ด้วย
เมื่อถามว่าการเปิดคาสิโนในประเทศอะไรมีนโยบายหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ผมไม่มีนโยบายแน่นอนครับ”
เผยหุ้นขึ้น20% ลั่นห้ามนักการเมืองปั่นหุ้น
เมื่อถามว่า2-3 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยขยับสูงขึ้นค่อนข้างมากเงินต่างประเทศไหลเข้ามาคิดว่าเป็นของจริงหรือของปลอม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคงไม่อยู่ในฐานะที่จะไปพูดเรื่องค่าเงินกับเรื่องราคาหุ้น ขณะนี้เรามาดูแลตรงนี้ เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือว่า ดูว่าการซื้อขายเป็นไปตามกติกา ไม่มีความผันผวนอะไรที่ผิดปกติ หุ้นสำหรับประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีดูเหมือนจะขึ้นมาประมาณสัก 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้
“สำหรับคนไทยเวลาหุ้นขึ้นก็ดีใจกัน และเงินไหลเข้ามา มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เราก็ต้อนรับ แต่ว่าก็ไม่อยากให้หวือหวาจนเกินไป แต่ว่าอันนี้ก็เป็นเรื่องของผู้ 1. ก็คือตัวนักลงทุนเองที่จะต้องตัดสินใจ กับ 2. ผู้กำกับดูแล แต่อย่างน้อยผมก็ติดตามนะครับ เพราะว่าผมก็พูดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาว่า ในแง่ตลาดทุน สิ่งที่เราต้องไม่ให้มีคือเรื่องการปั่นหุ้น เรื่องการไปใช้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งผลประโยชน์ของนักการเมืองอะไรต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่มีใครร้องเรียนมา เพราะฉะนั้น ก็ยังอุ่นใจตรงนั้นอยู่”นายกฯ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า แล้วก็สำหรับอนาคตคงจะต้องดูกันต่อไป แต่ว่าหุ้นขึ้นแล้วพอเงินไหลเข้ามาก็มากระทบค่าเงินบาทด้วย ทุกอย่างจะพันกันอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเราก็คิดว่า ถ้าเราหาความพอดี และขณะนี้จะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็น ก.ล.ต. หรือแม้กระทั่งตัวตลาดหลักทรัพย์เอง ตนคิดว่า เขาก็ดูแลและเข้าใจนโยบายรัฐบาลเป็นอย่างดีในเรื่องของเสถียรภาพและการส่ง เสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ฝันอยากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
เมื่อถามว่าถ้าเลือกได้อยากจะมีเสียงข้างมากในสภาฯ ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลพรรคเดียว จะได้เลือกคณะรัฐมนตรีตามใจชอบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หัวหน้าพรรคทุกพรรค ถ้าเลือกได้ก็เลือกอย่างนั้น
แย้มปรับทัพรมต.เศรษฐกิจ พูดชัดให้ผ่านปักครึ่งค่อนปี
เมื่อถามว่ามีรัฐมนตรีเศรษฐกิจในฝันหรือในอุดมคติอย่างไร นายก กล่าวว่า ตนว่าเราอยู่กับความเป็นจริงดีกว่า ฝันก็ฝันได้กันทั้งนั้น แต่ว่าอยู่กับความเป็นจริงว่า ตนได้ทำงานกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดนี้มาก็ 4-5 เดือน บางเรื่องก็เห็นตรงกันบ้าง บางเรื่องอาจจะเห็นไม่ตรงกันบ้าง บางทีก็ดูขลุกขลักบ้าง แต่ขณะนี้มีความเข้าใจดีว่าตนและรัฐบาลต้องการอะไร สำคัญกว่านั้น ตราบเท่าที่เราเข้าใจว่าประชาชนต้องการอะไร และก็ทำงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ
“ผมก็ยังยืนยันว่าการทำงาน ขณะนี้ก็ทำงานต่อไปได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพอเวลาผ่านไปอีกระยะ สมมติว่าผ่านไปสักครึ่งค่อนปีแล้ว แล้วเราเห็นว่าสามารถที่จะปรับปรุงอะไรได้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในชั้นนี้ผมคิดว่าอยากจะให้ได้มีโอกาสที่จะเดินหน้าทำงานกัน เพราะว่า เอาง่ายๆ นะครับ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แรกที่เพิ่งปิดสมัยประชุมสภาฯ เพราะฉะนั้นภาระงานด้านนิติบัญญัติก็ลดลง ก็มีเวลาในการที่จะมาสะสาง เร่งงานอะไรมากขึ้น”นายกฯ กล่าว
แจงงานเศรษฐกิจสัปดาห์หน้า เชื่อเกาเหลาโครงการระบายสินค้าจบแน่
เมื่อถามว่าเรื่องราวที่อยากจะเข้าไปใช้เวลาในช่วงสัปดาห์หน้า เพื่อแก้ปัญหาโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ เป็นเรื่องอะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าแผนที่จะทำให้ประเทศไทยเข้มแข็ง มีความชัดเจน มีความพร้อม100เปอร์เซ็นต์ในการนำเสนอต่อสาธารณะ ต่อสภา ในสัปดาห์หน้าก็จะเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันเรื่องหลักๆ ทางเศรษฐกิจที่รอการสะสางได้ข้อยุติ ก็มี 1. เรื่องของการแก้ปัญหา โดยเฉพาะการระบายสินค้าเกษตร หลังจากที่เราเข้าไปแทรกแซง 2. มีโครงการขนาดใหญ่ซึ่งยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่ ก็อยากจะเร่งได้ข้อยุติในเรื่องเหล่านั้น 3. ตัวเลขส่งออก ตัวเลขการท่องเที่ยว ซึ่งยังเป็นปัญหาอยู่ มีอะไรเพิ่มเติม ที่รัฐบาลจะทำได้อีก อันนี้คงจะเป็นจุดหลักสำคัญของการทำงานในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า