“พล.อ.สนธิ” เชื่อเป็นเรื่องยากแก๊งหางแดงหวังฟื้นคอมมิวนิสต์ หวังต่อกรรัฐบาล ชี้สถานการณ์จากอดีตถึงปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว ย้ำประชาชนเข้าใจมากขึ้น ปัดฝากถึง “นช.แม้ว” ยันไม่ได้คุยกันนานแล้ว หนุนกองทัพส่งเสริมรัฐบาลสร้างความมั่นคง พร้อมเตือนแก้รัฐธรรมนูญให้ฟังเสียงประชาชนก่อน
วันที่ 30 เม.ย.ที่โรงแรมเฟิร์ส พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) กล่าวก่อนร่วมงานสัมมนาหัวข้อเรื่อง “พบบุคคลผู้ประสบความสำเร็จในการทำงาน” จัดโดยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื่อแดงว่า ปัญหาทุกอย่างต้องใช้เวลาในการแก้ เชื่อว่ารัฐบาลต้องมีแนวทางในการบริหารประเทศ และรัฐบาลคงต้องการความสงบเรียบร้อยอยู่แล้ว รัฐบาลคงมีกุศโลบายในการวางแผน
เมื่อถามถึงแนวทางเสื้อแดงใช้คนเดือนตุลาและผู้มีแนวคิดคอมมิวนิสต์มาเคลื่อนไหว พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เวลาเปลี่ยน เรื่องคน 14 ตุลาฯ ทุกท่านมีอุดมการณ์และการเข้าป่าเพราะความไม่เป็นธรรมในสังคม ขณะนี้ชาติบ้านเมืองในเรื่องความเป็นธรรม ถือว่าได้ม้วนกลับมาอีกยุคหนึ่ง คิดว่าเขาเหล่านั้นมีแนวคิดและมีข้อพิจารณาใหม่แล้ว ทั้งนี้ เชื่อว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่แนวคิดดังกล่าวจะกลับมา เพราะประชาชนภูมิประเทศ สถานการณ์เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนนี้
เมื่อถามว่า เสื้อแดงระบุว่าไม่เป็นธรรมจึงออกมาเคลื่อนไหว พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ความไม่เป็นธรรมเป็นเหตุเป็นผลของมัน สมัยก่อนความไม่เป็นธรรมเข้าไปในรากหญ้า แต่ขณะนี้จะมองความไม่เป็นธรรมบางกลุ่มเท่านั้น เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจปัญหา ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมเริ่มจัดกำลังเข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งคงไม่ใช่ปัญหายาก
เมื่อถามว่า มีข้อคิดฝาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีที่ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ไม่มีคนละส่วนกัน ไม่คุยกัน
เมื่อถามว่า มองบทบาทกองทัพขณะนี้อย่างไร พล.อ.สนธิ กล่าวว่า คิดว่ากองทัพทำถูกต้องแล้ว เพราะต้องฟังนโยบายรัฐบาล อะไรที่นำไปสู่ความมั่นคงของประเทศกองทัพพร้อมสนับสนุนอยู่แล้ว
อดีตประธาน คมช.กล่าวถึงบทบาทของกองทัพต่อสถานการณ์ทางการเมืองด้วยว่า กองทัพ ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งสิ่งใดที่ทำให้ประเทศชาตินำไปสู่ความมั่นคงของประเทศนั้น ฝ่ายกองทัพต้องให้การสนับสนุน
นอกจากนี้ พล.อ.สนธิ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังมีความขัดแย้งว่า คิดว่าสถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะอย่างน้อยรัฐบาลสามารถพูดคุยกับทุกพรรคได้ แม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้านที่มีการเจรจาและตกลงได้ในหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเรื่องการปรองดองก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองเสนอแก้รัฐธรรมนูญ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เวลาเปลี่ยนไปตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป รัฐบาลมีประสบการณ์มากคิดว่าการตัดสินใจคงเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง คิดว่ารัฐบาลเห็นปัญหาอยู่แล้ว และการตัดสินใจของรัฐบาลต้องเป็นผลประโยชน์ต่อบ้านเมือง ซึ่งการปรับแก้รัฐธรรมนูญประชาชน ส.ส. ส.ว.ต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณา ดังนั้น รัฐบาลทำอะไรต้องฟังเสียงทุกส่วน
เมื่อถามว่า เป็นการแก้กฎหมายเพื่อตนเองโดยเฉพาะการนิรโทษกรรม พล.อ.สนธิ กล่าวว่า รัฐบาลต้องพิจารณาเรื่องนี้เช่นกัน เพราะประชาชนเฝ้ามองอยู่ หากการตัดสินใจของรัฐบาลผิดพลาด รัฐบาลก็ต้องแก้ปัญหาของตนเองเช่นกัน ทั้งนี้ คงไม่แนะนำรัฐบาล เพราะรัฐบาลมีประสบการณ์มากกว่า เชื่อว่ารัฐบาลเข้าใจ
เมื่อถามว่า เชื่อมั่นรัฐบาลจะบริหารประเทศนานหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ต้องดูภายหลังการปรับแก้รัฐธรรมนูญที่จะบ่งชี้ว่าการบริหารประเทศจะอยู่ได้ยาวแค่ไหน เมื่อถามว่า เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เวลาเปลี่ยนและรัฐบาลต้องมีเหตุมีผล ซึ่งรัฐบาลมีประสบการณ์อยู่
เมื่อถามว่า แสดงว่าสิ่งที่ คมช.ทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สูญเปล่าไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “เวลาเปลี่ยนสถานการณ์ก็เปลี่ยน เวลานั้นอาจจะเหมาะสม วันนั้นกลับวันนี้คนละวาระ คนละเวลากัน สถานการณ์ไม่เหมือนกัน ต้องแยกเวลากัน ถึงตอนหน้าหนาวก็ใส่หน้าหนาว ถึงตอนหน้าฝนก็หาเสื้อกันฝนใส่”
เมื่อถามว่า ถึงเวลาตัดสินใจที่จะเล่นการเมืองจริงจังหรือยัง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้คิด”
พล.ต.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี มีความปราถนาที่จะให้พรรคการเมืองทุกพรรคได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ในบางมาตราที่เห็นว่าไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อเป็นการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ ในฐานะที่กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานทางด้านความมั่นคง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงสั่งการให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงหระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพติดตามความเคลื่อนไหววิเคราะห์สถานการณ์และผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้น รวมทั้งทำความเข้าใจกับกำลังพล ให้ตระหนักถึงผลดีผลเสียของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบ่างเรื่องบางประเด็นเพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยเกิดขึ้นอีกในอนาคต
"ประวิตร"ไม่รู้โจรแดงเตรียมจับอาวุธ
ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มม็อบเสื้อแดงจะใช้กลุ่มคนเดือนตุลาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวว่า ตนไม่ทราบ ยังไม่มีข้อมูล เมื่อถามว่า ด้านความมั่นคงได้มีการประเมินหรือไม่ว่า คนที่มีแนวคิดในลักษณะดังกล่าวยังมีอีกหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้จะตอบอย่างไร เป็นเรื่องของหน่วยข่าวกรองให้เขาไปวิเคราะห์
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หากมีการใช้แนวทางคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจริงจะแก้ไขอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในอดีตเราก็เคยต่อสู้มา โดยใช้แนวทางนโยบาย 66/23 ในการแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องนี้จะนำกลับมาใช้หรือไม่นั้น ยังพูดคุยกันได้ในเรื่องของความไม่เข้าใจกัน และนายกรัฐมนตรีก็เปิดโอกาสในสภาให้มีการดำเนินการได้อยู่แล้ว คงเป็นเรื่องของทางสภาที่จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา ทั้งนี้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงทางตำรวจยังไม่ได้มีการประสานขอกำลังทหารไปสนับสนุน ตอนนี้อยากให้ปล่อยเป็นเรื่องของสภาให้นายกรัฐมนตรีได้ทำงาน ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางด้าน 3 ฝ่าย
เมื่อถามว่า มีแนวคิดจะพูดคุยกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนยังไม่ได้คุยกับใครเลย ส่วนที่มีกำลังทหารลงพื้นที่ภาคอีสานนั้น เขาลงไปแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นเรื่องของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นอำนาจของ กอ.รมน. ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเหล่าทัพได้พยามชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองอยู่แล้ว ตนไม่ต้องกำชับถือเป็นเรื่องปกติในการดูแลความมั่นคงของชาติ เพราะทุกคนจะต้องพยายามทำให้เกิดความมั่นคงในทุกระดับเพื่อประเทศชาติจะได้เกิดความสงบสุขรวมทั้งสื่อมวลชนด้วยที่จะต้องช่วยกัน
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เตรียมใช้กลไกของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภายราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ยังคงมีกลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเตรียมผลักดัน พ.ร.บ.ด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2551 มาใช้ในพื้นที่ที่มีการประเมินสถานการณ์ว่าจะภัยต่อความมั่นคง โดยจะเป็นลักษณะในการป้องกัน แลtระงับยับยั้งไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่มีการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
“ต่อไปนี้การแก้ไขปัญหาความมั่นคงของประเทศ จะใช้เพียง พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาใช้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เพราะ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ถือเป็นกฎหมายที่เบาที่สุด นอกจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ กฎอัยการศึก ทั้งนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการประเมินแล้วว่า การนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันน่าจะเหมาะสมที่สุด อีกทั้งการนำ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมาใช้ก็เป็นเพียงเลือกใช้ในพื้นที่ที่มีแนวโน้มสถานการณ์รุนแรงเพื่อป้องกันยับยั้ง และควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย อีกทั้งการเลือกใช้เจ้าหน้าที่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น” แหล่งข่าวระบุ
ไม่รู้ทหารโดนจับคดียิง"สนธิ"
อนึ่ง เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 เม.ย. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เป็นประธานการประชุมสภากลาโหมประจำเดือน เม.ย.2552 โดยมี พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง พล.อ.ประวิตร ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมสภากลาโหมถึงกรณีที่มีข่าวว่าทางตำรวจสามารถจับกุมทหาร 4 นาย และ พลเรือน 3 นาย ที่ลอบยิงนาย สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ยังไม่ได้รับรายงาน และกองทัพก็ยังไม่ได้มีการตรวจสอบ หรือได้รับรายงานว่ามีกำลังพลเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
เมื่อถามว่า เหตุใดถึงพุ่งเป้ามาที่กองทัพ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ตอบไม่ได้ต้องให้ตำรวจดำเนินการไป ทั้งนี้ตนไม่ได้ห่วง ต้องว่าไปตามรูปคดี ส่วนเรื่องกระสุนที่ใช้ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนของกองทัพนั้น ตนไม่ทราบ และไม่อยากลงไปในรายละเอียด เป็นเรื่องของเหล่าทัพ และขณะนี้ยังไม่ได้รายงานเลย