นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุม ครม.ไม่มีการ รายงานข่าวกรองเกี่ยวกับการปลุกระดมให้มีการใช้อาวุธขึ้นมาต่อสู้ ของกลุ่มคนเสื้อแดงเหมือนขบวนการคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รับทราบเพียงคณธกรรมการประสานงาน 3 ฝ่ายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาและรับทราบการทำงของคณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ในช่วงวันสงกรานต์ของรัฐบาล ซึ่งจะทำหน้าที่ต่อไป เพื่อให้ข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบ
อย่างไรก็ตามเรื่องการใช้อาวุธขึ้นมาต่อสู้นั้น อาจจะมีแนวคิดของบางคน ซึ่งได้แสดงออกอย่างเปิดเผย แต่ตนเชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่คงไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเคยแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ ที่อาจจะมีพวกหัวซ้ายจัดฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะมีความคิดที่จะไปในแนวทางที่รุนแรง แต่มั่นใจว่า ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของสังคมไทย และประเด็นที่ผู้ที่มาชุมนุมจำนวนมาก ได้ให้ความสำคัญก็เป็นประเด็นที่ขณะนี้ กลไกของสภากับรัฐบาลได้เดินหน้าสะสางอยู่
ส่วนที่นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ให้สัมภาษณ์ผ่านบีบีซี อังกฤษ ย้ำว่าจะมีการจับอาวุธมาต่อสู้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่า อันนี้เป็นตัวบ่งบอกว่า แนวคิดที่จะไม่เคารพกฎหมายโดยใช้ความรุนแรงมีอยู่ชัดเจนและเป็นจริงโดยมีโดยบางคน เปิดเผยแล้ว ฉะนั้นอันนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแน่นอน และเราต้องดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมและแกนนำบางส่วนได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ยึดถือแนวทางนี้
ส่วนที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ผลักดันแกนนำรุ่น 2 ขึ้นมาล้วนแต่เป็นบุคคล ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ 6 ต.ค.19 นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เท่าที่ฟังการให้สัมภาษณ์ขณะนี้เขา ไม่ได้ยึดแนวทางที่จะใช้ความรุนแรงหรือใช้อาวุธ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จะแปรขบวนการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะการปรับบทบาทส่วนนำด้วยการสร้างแกนนำ คนอื่นๆ ขึ้นมาแทนแกนนำ นปช.ชุดเดิม ซึ่งกำลังตกเป็นจำเลยของสังคมกรณีการก่อจราจล
และมีความเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจใช้ฝ่ายซ้ายเก่าที่อยู่แวดล้อมตัวเอง เข้ามามีบทบาทในส่วนนำของ นปช.และเครือข่ายทักษิณมากขึ้น ต้องไม่ลืมว่า บนความผิดพลาดและพ่ายแพ้ในการเคลื่อนไหวก่อจราจลของ นปช.ช่วงสงกรานต์ เป็นชัยชนะของฝ่ายซ้ายบางกลุ่มที่ใช้กระแสทักษิณนิยมและการเคลื่อนไหวของ นปช. เป็นเครื่องมือเพื่อโจมตีสถาบันเบื้องสูงและระบอบอำมาตยาธิปไตยภายใต้ทฤษฎี ชี้นำทุนก้าวหน้าดีกว่าศักดินาล้าหลัง ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับกันว่าอย่างน้อย ฝ่ายซ้ายกลุ่มนี้ก็สามารถปักธงเปิดประเด็นยึดกุมพื้นที่สาธรณะได้มากทีเดียว
นายสุริยะใส กล่าวว่า แต่ในบรรดาฝ่ายซ้ายรอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีแนวทางขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายซ้ายดั้งเดิมที่นิยมความรุนแรง กับฝ่ายซ้ายแนวปฏิรูปที่พยายาม เข้ามาต่อสู้ในแนวทางรัฐสภาและสันติวิธี เพราะในทางสากลกระแสฝ่ายซ้ายแนวปฏิรูป ขึ้นมาบนดินและละทิ้งแนวทางความรุนแรงหมดแล้ว มีการตั้งพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมจนได้รับชัยชนะและเป็นรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ เช่น แถบละตินอเมริกา อย่าง บราซิล อุรุกวัย โคลัมเบีย โบลิเวีย หรือแม้แต่ในแถบยุโรปอย่างสเปน เยอรมัน
นายจักรภพ เพ็ญแข ต้องไปดูเป็นตัวอย่างถ้าคิดจับอาวุธจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นซ้ายไร้เดียงสา และทำลายภาพพจน์อุดมการณ์ฝ่ายซ้ายหมด ตัวอย่างในประเทศฟิลิปินส์ที่เรียกกันว่ากบฎอาบูซายาฟ จริงๆ แล้วคือฝ่ายซ้ายเก่าทั้งนั้น แต่พอจับอาวุธก็ถูกประณามจากสังคมว่าเป็นขบวนการก่อการร้ายทันที เพราะเห็นว่าการจับอาวุธจำเป็นเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเป็นเผด็จการหรือสังคมปิดเท่านั้น
นายสุริยะใส กล่าวว่าฝ่ายซ้ายที่ยังอยู่กับระบอบทักษิณถ้าไม่ระวังจะกลายเป็น ดาบสองคมในคราเดียวกันเพราะสังคมยังมีภาพหลอนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และบรรดาสหายหรือฝ่ายซ้ายเก่า รวมทั้งแนวทางการเคลื่อนไหว ที่ผูกโยงอยู่กับความรุนแรง ฉะนั้นในทางสาธารณะอาจจะเคลื่อนไหวลำบาก แต่คงไป เน้นการปฏิบัติการใต้ดินซึ่งอันนี้น่าเป็นห่วง และฝ่ายซ้ายที่พยายามปรับตัวอาจตกเป็น เป้าของฝ่ายความมั่นคงได้เช่นกัน
ช่วงวิกฤตการณ์การเมือง 3-4 ปีที่ผ่านมาในชุมชนของฝ่ายซ้ายเองก็เห็น ต่างกันมากจนถึงขั้นแตกแยกกันเอง โดยเฉพาะชุดวิเคราะห์ต่อระบอบทักษิณ และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป จนมีฝ่ายซ้ายจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่เข้าร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ เพราะเห็นว่าทักษิณไม่ใช่ทุนก้าวหน้าแต่เป็นทุนผูกขาดล้าหลังและสามานย์ นอกจากนี้ฝ่ายซ้ายที่เข้าร่วมกับพันธมิตรฯ เหล่านี้สรุปบทเรียนเป็นและเห็นว่า ฐานคิดทฤษฏีการต่อสู้ทางชนชั้นต้องทบทวนกันใหม่ และสถาบันพระมหากษัตริย์ยังจำเป็นในการผนึกความเป็นชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ หรือทุนนิยมโลกาภิวัฒน์
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยสันติวิธี ที่มีทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผ่านทางนายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเผยแพร่สื่อมวลชน
โดยมีเนื้อหาระบุว่า ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทย และกลไกของรัฐบาลได้พยายามที่จะโยนความผิดให้หลังเกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในระหว่างการประท้วงทางการเมือง ยิ่งกว่านั้นยังถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่า เป็นผู้สนับสนุนและเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ก่อนอื่นขอปฎิเสธข้อกล่าวหาข้างต้นอย่างสิ้นเชิง เพราะตลอดชีวิตได้เคารพในสันติวิธี เสรีภาพ และความเท่าเทียมกัน ทำในสิ่งที่ได้พูด แม้ได้ให้กำลังใจกระบวนการ เรียกร้องประชาธิปไตย และเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนชาวไทยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ต้องเป็นไปด้วยสันติและกระบวนการต่อสู้ของประชาชนจะไม่ใช้ความรุนแรง พี่น้องประชาชนนับหมื่นนับแสนได้ตอบสนองข้อเรียกร้องและได้พากันชุมนุมประท้วงอย่างสงบและสันติเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพื่อเรียกร้องให้ประชาธิปไตย ที่แท้จริงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย
ขอเรียนย้ำว่า การต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจะต้องไม่ใช้วิถีของความ รุนแรง ตนไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ขอพูดอย่างชัดเจนว่าเราจะไม่ใช้อาวุธ ในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เราต้องสร้างอนาคตของพวกเรา ผ่านความเข้มแข็งทางความคิดและหลักการอันถูกต้องของพวกเรา ต้องอดทนวางเฉย ต่อการยั่วยุต่างๆ จากทางภาครัฐ และขอเรียกร้องให้คนไทยที่รักสันติผนึกกำลังเพื่อบรรลุถึงความปรองดองของคนในชาติ
เราได้ถอยหลังจากการเผชิญหน้า ไปหนึ่งก้าว และเราจะไม่ยอมยุติ การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยของไทย แม้เราถูกหยุดยั้งโดยภาครัฐงานของพวกเราก็จะไม่หยุด เพราะเชื่อมั่นว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คือการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ในท้ายที่สุดนี้ ตนมีความมั่นใจว่า พลังของพี่น้องประชาชนจะต้องชนะและมีชัยด้วยแนวทางสันติ
นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่กลุ่ม นปช.ระบุว่าจะปรับเปลี่ยนการต่อสู้โดยไม่อิงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะเปลี่ยนมาชูคนบ้านเลขที่ 111 เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยะเดช และนายเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์แทน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ในอดีตเคยผ่านการต่อสู้ เป็นทหารป่ามาก่อน พร้อมทั้งจะปรับเปลี่ยน ยุทธวิธีการต่อสู้ โดยจะใช้ทุกรูปแบบ ทั้งแบบกองโจร จรยุทธ์ หรือจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ล้วนเป็นการอธิบายในตัวเองอยู่แล้วว่า เป็นการดำเนินการ ตามแผนตากสิน ที่มีแนวคิดล้มทุน ล้มปืน และล้มเจ้า เพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย ตามปฏิณญา ฟินแลนด์ ที่โยงถึงสถาบัน ทั้งหมดนี้สอดรับกับกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ที่หลบหนีคดีอยู่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ อย่าง บีบีซี ว่า คนเสื้อแดงจะสู้ทุกรูปแบบ เพื่อล้มรัฐบาลให้มีการเลือกตั้งใหม่ให้ได้ จึงชัดเจนแล้วว่า เป็นความต้องการที่จะมีการใช้ความรุนแรงเปลี่ยนโครงสร้างของสังคมไทยเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือกรณีที่ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งเป็นอดีตแนวร่วม ของพลพรรคแนวคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้แต่งชุดทหารป่า ประดับดาวแดงเต็มยศเข้ามอบตัวเพื่อสู้คดีจากเหตุการณ์จลาจลช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมากับ เจ้าหน้าที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เป็นกระบวนการ คอมมิวนิสต์ หลงยุคที่สังคมไทยยอมรับไม่ได้ หรือแม้กระทั่งสังคมโลกเองก็ไม่ยอมรับเพราะ มีการพิสูจน์แล้วว่าการปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม สุดท้ายก็ไปไม่รอด และก็มีการปรับเปลี่ยน ดังนั้นการต่อสู้ของคนเหล่านี้จึงเป็นเพียงการต่อสู้ของพวก ไดโนเสาหลงยุค การแต่งชุดทหารป่าของ นายสุรชัย เป็นการแสดงความเหิมเกริม ท้าทายอำนาจรัฐ ซึ่งจำเป็นที่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และฝ่ายความมั่นคงจะต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเรื่องการใช้อาวุธขึ้นมาต่อสู้นั้น อาจจะมีแนวคิดของบางคน ซึ่งได้แสดงออกอย่างเปิดเผย แต่ตนเชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่คงไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเคยแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ ที่อาจจะมีพวกหัวซ้ายจัดฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะมีความคิดที่จะไปในแนวทางที่รุนแรง แต่มั่นใจว่า ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของสังคมไทย และประเด็นที่ผู้ที่มาชุมนุมจำนวนมาก ได้ให้ความสำคัญก็เป็นประเด็นที่ขณะนี้ กลไกของสภากับรัฐบาลได้เดินหน้าสะสางอยู่
ส่วนที่นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ให้สัมภาษณ์ผ่านบีบีซี อังกฤษ ย้ำว่าจะมีการจับอาวุธมาต่อสู้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่า อันนี้เป็นตัวบ่งบอกว่า แนวคิดที่จะไม่เคารพกฎหมายโดยใช้ความรุนแรงมีอยู่ชัดเจนและเป็นจริงโดยมีโดยบางคน เปิดเผยแล้ว ฉะนั้นอันนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแน่นอน และเราต้องดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมและแกนนำบางส่วนได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ยึดถือแนวทางนี้
ส่วนที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ผลักดันแกนนำรุ่น 2 ขึ้นมาล้วนแต่เป็นบุคคล ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ 6 ต.ค.19 นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เท่าที่ฟังการให้สัมภาษณ์ขณะนี้เขา ไม่ได้ยึดแนวทางที่จะใช้ความรุนแรงหรือใช้อาวุธ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่ม นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จะแปรขบวนการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะการปรับบทบาทส่วนนำด้วยการสร้างแกนนำ คนอื่นๆ ขึ้นมาแทนแกนนำ นปช.ชุดเดิม ซึ่งกำลังตกเป็นจำเลยของสังคมกรณีการก่อจราจล
และมีความเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจใช้ฝ่ายซ้ายเก่าที่อยู่แวดล้อมตัวเอง เข้ามามีบทบาทในส่วนนำของ นปช.และเครือข่ายทักษิณมากขึ้น ต้องไม่ลืมว่า บนความผิดพลาดและพ่ายแพ้ในการเคลื่อนไหวก่อจราจลของ นปช.ช่วงสงกรานต์ เป็นชัยชนะของฝ่ายซ้ายบางกลุ่มที่ใช้กระแสทักษิณนิยมและการเคลื่อนไหวของ นปช. เป็นเครื่องมือเพื่อโจมตีสถาบันเบื้องสูงและระบอบอำมาตยาธิปไตยภายใต้ทฤษฎี ชี้นำทุนก้าวหน้าดีกว่าศักดินาล้าหลัง ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับกันว่าอย่างน้อย ฝ่ายซ้ายกลุ่มนี้ก็สามารถปักธงเปิดประเด็นยึดกุมพื้นที่สาธรณะได้มากทีเดียว
นายสุริยะใส กล่าวว่า แต่ในบรรดาฝ่ายซ้ายรอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีแนวทางขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายซ้ายดั้งเดิมที่นิยมความรุนแรง กับฝ่ายซ้ายแนวปฏิรูปที่พยายาม เข้ามาต่อสู้ในแนวทางรัฐสภาและสันติวิธี เพราะในทางสากลกระแสฝ่ายซ้ายแนวปฏิรูป ขึ้นมาบนดินและละทิ้งแนวทางความรุนแรงหมดแล้ว มีการตั้งพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมจนได้รับชัยชนะและเป็นรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ เช่น แถบละตินอเมริกา อย่าง บราซิล อุรุกวัย โคลัมเบีย โบลิเวีย หรือแม้แต่ในแถบยุโรปอย่างสเปน เยอรมัน
นายจักรภพ เพ็ญแข ต้องไปดูเป็นตัวอย่างถ้าคิดจับอาวุธจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นซ้ายไร้เดียงสา และทำลายภาพพจน์อุดมการณ์ฝ่ายซ้ายหมด ตัวอย่างในประเทศฟิลิปินส์ที่เรียกกันว่ากบฎอาบูซายาฟ จริงๆ แล้วคือฝ่ายซ้ายเก่าทั้งนั้น แต่พอจับอาวุธก็ถูกประณามจากสังคมว่าเป็นขบวนการก่อการร้ายทันที เพราะเห็นว่าการจับอาวุธจำเป็นเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเป็นเผด็จการหรือสังคมปิดเท่านั้น
นายสุริยะใส กล่าวว่าฝ่ายซ้ายที่ยังอยู่กับระบอบทักษิณถ้าไม่ระวังจะกลายเป็น ดาบสองคมในคราเดียวกันเพราะสังคมยังมีภาพหลอนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และบรรดาสหายหรือฝ่ายซ้ายเก่า รวมทั้งแนวทางการเคลื่อนไหว ที่ผูกโยงอยู่กับความรุนแรง ฉะนั้นในทางสาธารณะอาจจะเคลื่อนไหวลำบาก แต่คงไป เน้นการปฏิบัติการใต้ดินซึ่งอันนี้น่าเป็นห่วง และฝ่ายซ้ายที่พยายามปรับตัวอาจตกเป็น เป้าของฝ่ายความมั่นคงได้เช่นกัน
ช่วงวิกฤตการณ์การเมือง 3-4 ปีที่ผ่านมาในชุมชนของฝ่ายซ้ายเองก็เห็น ต่างกันมากจนถึงขั้นแตกแยกกันเอง โดยเฉพาะชุดวิเคราะห์ต่อระบอบทักษิณ และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป จนมีฝ่ายซ้ายจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่เข้าร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ เพราะเห็นว่าทักษิณไม่ใช่ทุนก้าวหน้าแต่เป็นทุนผูกขาดล้าหลังและสามานย์ นอกจากนี้ฝ่ายซ้ายที่เข้าร่วมกับพันธมิตรฯ เหล่านี้สรุปบทเรียนเป็นและเห็นว่า ฐานคิดทฤษฏีการต่อสู้ทางชนชั้นต้องทบทวนกันใหม่ และสถาบันพระมหากษัตริย์ยังจำเป็นในการผนึกความเป็นชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ หรือทุนนิยมโลกาภิวัฒน์
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยสันติวิธี ที่มีทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผ่านทางนายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเผยแพร่สื่อมวลชน
โดยมีเนื้อหาระบุว่า ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทย และกลไกของรัฐบาลได้พยายามที่จะโยนความผิดให้หลังเกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในระหว่างการประท้วงทางการเมือง ยิ่งกว่านั้นยังถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่า เป็นผู้สนับสนุนและเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ก่อนอื่นขอปฎิเสธข้อกล่าวหาข้างต้นอย่างสิ้นเชิง เพราะตลอดชีวิตได้เคารพในสันติวิธี เสรีภาพ และความเท่าเทียมกัน ทำในสิ่งที่ได้พูด แม้ได้ให้กำลังใจกระบวนการ เรียกร้องประชาธิปไตย และเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนชาวไทยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ต้องเป็นไปด้วยสันติและกระบวนการต่อสู้ของประชาชนจะไม่ใช้ความรุนแรง พี่น้องประชาชนนับหมื่นนับแสนได้ตอบสนองข้อเรียกร้องและได้พากันชุมนุมประท้วงอย่างสงบและสันติเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพื่อเรียกร้องให้ประชาธิปไตย ที่แท้จริงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย
ขอเรียนย้ำว่า การต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจะต้องไม่ใช้วิถีของความ รุนแรง ตนไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ขอพูดอย่างชัดเจนว่าเราจะไม่ใช้อาวุธ ในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เราต้องสร้างอนาคตของพวกเรา ผ่านความเข้มแข็งทางความคิดและหลักการอันถูกต้องของพวกเรา ต้องอดทนวางเฉย ต่อการยั่วยุต่างๆ จากทางภาครัฐ และขอเรียกร้องให้คนไทยที่รักสันติผนึกกำลังเพื่อบรรลุถึงความปรองดองของคนในชาติ
เราได้ถอยหลังจากการเผชิญหน้า ไปหนึ่งก้าว และเราจะไม่ยอมยุติ การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยของไทย แม้เราถูกหยุดยั้งโดยภาครัฐงานของพวกเราก็จะไม่หยุด เพราะเชื่อมั่นว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คือการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ในท้ายที่สุดนี้ ตนมีความมั่นใจว่า พลังของพี่น้องประชาชนจะต้องชนะและมีชัยด้วยแนวทางสันติ
นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่กลุ่ม นปช.ระบุว่าจะปรับเปลี่ยนการต่อสู้โดยไม่อิงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะเปลี่ยนมาชูคนบ้านเลขที่ 111 เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยะเดช และนายเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์แทน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ในอดีตเคยผ่านการต่อสู้ เป็นทหารป่ามาก่อน พร้อมทั้งจะปรับเปลี่ยน ยุทธวิธีการต่อสู้ โดยจะใช้ทุกรูปแบบ ทั้งแบบกองโจร จรยุทธ์ หรือจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ล้วนเป็นการอธิบายในตัวเองอยู่แล้วว่า เป็นการดำเนินการ ตามแผนตากสิน ที่มีแนวคิดล้มทุน ล้มปืน และล้มเจ้า เพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย ตามปฏิณญา ฟินแลนด์ ที่โยงถึงสถาบัน ทั้งหมดนี้สอดรับกับกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ที่หลบหนีคดีอยู่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ อย่าง บีบีซี ว่า คนเสื้อแดงจะสู้ทุกรูปแบบ เพื่อล้มรัฐบาลให้มีการเลือกตั้งใหม่ให้ได้ จึงชัดเจนแล้วว่า เป็นความต้องการที่จะมีการใช้ความรุนแรงเปลี่ยนโครงสร้างของสังคมไทยเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือกรณีที่ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งเป็นอดีตแนวร่วม ของพลพรรคแนวคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้แต่งชุดทหารป่า ประดับดาวแดงเต็มยศเข้ามอบตัวเพื่อสู้คดีจากเหตุการณ์จลาจลช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมากับ เจ้าหน้าที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เป็นกระบวนการ คอมมิวนิสต์ หลงยุคที่สังคมไทยยอมรับไม่ได้ หรือแม้กระทั่งสังคมโลกเองก็ไม่ยอมรับเพราะ มีการพิสูจน์แล้วว่าการปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม สุดท้ายก็ไปไม่รอด และก็มีการปรับเปลี่ยน ดังนั้นการต่อสู้ของคนเหล่านี้จึงเป็นเพียงการต่อสู้ของพวก ไดโนเสาหลงยุค การแต่งชุดทหารป่าของ นายสุรชัย เป็นการแสดงความเหิมเกริม ท้าทายอำนาจรัฐ ซึ่งจำเป็นที่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และฝ่ายความมั่นคงจะต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปอย่างเด็ดขาด