“สนธิญาณ” ลากไส้ “นช.แม้ว” บงการ “แดงถ่อย” จุดชนวนนองเลือด หวังดึง “ในหลวง” ไกล่เกลี่ยเหมือนเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” จนได้รับอภัยโทษ แฉ “คนเดือนตุลาฯ” เตรียมใช้ “ฝ่ายจัดตั้ง” ล้างสมอง ปชช.ทั่วประเทศ ด้าน “ไชยันต์” ชี้ “แกนนำฯ” ประกาศติดอาวุธ แค่ใช้เป็นข้อต่อรองบีบ รบ.คืน “ดีสเตชั่น-วิทยุชุมชน”
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 28 เม.ย.52 โดยนายเติมศักดิ์ จารุปราน เป็นดำเนินรายการวิเคราะห์กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมกับ รศ.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม นักสื่อสารมวลชนอิสระ ถึงกรณีที่มีการนำคนเดือนตุลาฯ หรือซ้ายเก่ามาเป็นแกนนำเคลื่อนไหวจัดตั้งกลุ่มเสื้อแดงติดอาวุธ เพื่อชิงอำนาจกลับคืนมา แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อต่างประเทศว่าจะใช้สันติวิธี
โดยนายสนธิญาณ กล่าวว่า ขอยืนยันว่า ตนเคยพูดเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้อง มีแนวโน้มว่าจะใช้แนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเข้ามาต่อสู้ เหตุผลที่สำคัญ คือ เราต้องแยกระหว่างแกนนำกลุ่มเสื้อแดง กับมวลชน ออกจากกัน เพราะแกนนำกลุ่มเสื้อแดงทั้งหลาย กำลังนำมวลชนไปด้วยข่าวสารที่บิดเบือน และไม่เป็นความจริง ซึ่งใช้วิธีการดำเนินการแบบคอมมิวนิสต์ โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8-13 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยส่วนตัวเชื่อว่าสงครามครั้งใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะ ต้องการที่ย้ำว่า พร้อมที่จะลุกขึ้นต่อสู้ภายในเมือง
“สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจะทำนั้น เพราะต้องการที่จะขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลงมาคลี่คลายสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยจะเห็นได้จากกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า ความรุนแรงได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยแล้ว จึงขอน้องเกล้าฯ อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ลงมาช่วยแก้ไขความรุนแรง ฉะนั้นสิ่งที่สังคมไทยจะต้องได้รับความกระจ่าง คือ คนที่ทำให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงก็ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะของเขานั่นเอง”นายสนธิญาณ กล่าว
นายสนธิญาณ กล่าวอีกว่า ส่วนที่เราต้องแยกมวลชนออกมา เพราะเราต้องการให้เห็นภาพที่เขาต้องการจะทำ โดยแนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้ทางการเมืองนั้น เขาจะมีการแบ่งส่วน โดยชั้นบนสุด คือ ศูนย์การนำ จากนั้นจะมีการกระจายแบ่งงานกันลงไป แต่จะมีฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายจัดตั้ง ซึ่งเป็นหัวใจที่สุดของการต่อสู้ เพราะจะทำให้เกิดเครือข่าย และส่งข่าวสารเพื่อสร้างความรู้สึก รวมทั้งการชี้นำไปในทิศทางซึ่งนำไปสู่ความต้องการได้ ฉะนั้นมวลชนเมื่อถูกจัดตั้งก็จะไม่รู้สึกตัวว่าถูกจัดตั้ง และในขณะที่ถูกจัดตั้งก็จะมีข่าวสารมากมายซึ่งเต็มไปด้วยตรรกะ ซึ่งมีการอธิบายอย่างสมเหตุสมผล
“เห็นได้จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8-13 เม.ย.ที่ผ่านมา จะมีการพูดจาจะเป็นภาษาเดียวกันทั้งหมด คือ มีการกล่าวอ้างว่าทหารใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มเสื้อแดง มีคนตายแล้วเอาศพไปแอบไว้ ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า สื่อมวลชนไทยถูกซื้อหมดแล้ว แต่ภายใต้จิตวิญญาณของคนทำสื่อ จะต้องมีสักคนที่ไม่ยอมจำนนต่อการโกหก หากทหารเอาศพไปซ่อนจริง เหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นสถานการณ์ก็จะพลิกกลับทั้งหมด รวมทั้งการอภิปรายในสภาซึ่งพยายามนำพาทิศทางข่าวสารให้เป็นไปในทางเดียวกันนั้น ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นการเตรียมการจากศูนย์การนำ”นายสนธิญาณ ระบุ
นักสื่อสารมวลชนอิสระ กล่าวอีกว่า ความพ่ายแพ้ของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 8-13 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ศูนย์การนำไม่ได้ถูกทำลาย เพราะศูนย์การนำไม่ได้ออกหน้า ซึ่งไม่เหมือนกับ 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งตัดสินใจร่วมกันว่าจะทำอะไร หรือจะเอาอะไร แต่แกนนำเสื้อแดงที่ไปยืนคุมกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจว่าจะให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำอะไร ฉะนั้นกลุ่มซ้ายเก่าก็คือศูนย์การนำ ซึ่งกำหนดยุทธวิธีอยู่เบื้องหลัง โดยจะเห็นได้จากทิศทางการสร้างกระแสข่าว นั่นก็คือการรักษาความรู้สึกของมวลชน ทำให้บางคนน้ำตาไหลเพราะไม่เข้าใจในการบิดเบือนข่าวสาร
“ที่ผมพยายามย้ำให้เห็นถึงเหตุผลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการความรุนแรง เพราะเขาต้องการขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลงมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์เหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ วาดหวัง คือ จะมีการนิรโทษกรรม เพราะทุกคนต้องน้อมรับแนวทางพระราชดำริ และที่ผมตอกย้ำเหตุผลนี้ เนื่องจากก่อนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะเจรจาต่อรองกับบุคคลหลายระดับ เพื่อที่จะขอเงิน 5 หมื่นล้านบาทคืน โดยยอมจ่ายภาษี 2.6 พันล้านบาท และขอให้มีการปลดพันธะทางข้อกฎหมายทั้งหมด ซึ่งผมยืนยันว่าข่าวดังกล่าวมีมูลความจริง แต่ไม่มีใครกล้าที่จะรับไปเจรจา ที่สำคัญสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดออกมานั้น ถือเป็นการจับเอาประชาชนเป็นตัวประกัน เพื่อต่อรองกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นายสนธิญาณ กล่าว
ส่วนมือที่ 3 ซึ่งก่อความรุนแรงในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8-13 เม.ย.นั้น นายสนธิญาณ กล่าวว่า ตนยืนยันว่ามีมือที่ 3 แน่นอน แต่มือที่ 3 ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ถามว่าใครจัดตั้ง ที่น่าสังเกตคือการจับคนที่พยายามเผาธนาคารกรุงเทพฯ และบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ ถามว่าถ้าจะทำเรื่องเช่นนี้ จะใช้คนเพียง 1-2 คน เท่านั้นหรือ แล้วที่จับไม่ได้มีอีกจำนวนเท่าใด นอกจากนี้เขายังใช้จิตวิทยารวมหมู่ เพราะเขาต้องการใช้กระแสความต่อเนื่องในการจุดความรุนแรง โดยจะเห็นได้จากเหตุการณ์บุกโรงแรมที่พัทยา หรือการจัดการกับนายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงมหาดไทย
“ที่สำคัญ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ซึ่งสนุกสนานกับการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศถึงเหตุการณ์ความรุนแรง นั่นคือการสร้างภาพความรุนแรงให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนในสังคม โดยนายจักภพ ได้ตอกย้ำว่า สงครามประชาชนกำลังจะเกิดขึ้น ส่วนสิ่งที่จะขึ้นในระยะต่อไปนั้น จะเกิดกลุ่มมือที่ 3 ที่จะสร้างความรุนแรง โดยกลุ่มเสื้อแดงอ้างว่า หากมีความรุนแรงเกิดขึ้น จะไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ คณะ หรือกลุ่มเสื้อแดงเป็นอันขาด นั่นถือเป็นการสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเขาจะใช้สถานการณ์ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อเอาทรัพย์สมบัติของเขาคืน”นายสนธิญาณ ระบุ
นายสนธิญาณ กล่าวอีกว่า จากนี้ไป ตนเชื่อว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นการชุมนุมกลุ่มย่อย ในเกือบทุกจังหวัด โดยจะไม่มีการรวมตัวขนาดใหญ่เหมือนวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา เพราะเขาต้องการที่ทำให้เห็นว่า รัฐบาลไม่สามารถที่จะจัดการกับพวกเขาได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นภายในใจ โดยเขาจะระดมกำลังขับไล่นายกฯ หรือรัฐมนตรี ที่จังหวัดโน้น จังหวัดนี้
ด้าน รศ.ไชยันต์ กล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 เม.ย.นั้น ตนเชื่อว่าจะต้องมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมมีนับแสนคน ประกอบกับแกนนำฯ ที่ปราศรัยบนเวทีกลุ่มเสื้อแดงนั้น มีการปลุกระดมเพื่อจะให้มีการนำไปสู่ความรุนตลอดเวลา โดยเฉพาะ ส.ส.อีสาน ที่ขึ้นปราศรัยว่า ศึกครั้งนี้อาจจะถึงขั้นต้องใช้ระเบิดพลีชีพ และชักชวนให้พี่น้องประชาชนเข้าร่วม แต่ประโยคที่มีความชัดเจน คือ อย่ากลับบ้านมือเปล่า ทำให้เห็นว่ากระบวนการการดำเนินงานมีหลายขั้นตอน
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้คนเดือนตุลาฯ เพื่อกลับมาต่อสู้อีกครั้งนั้น รศ.ไชยันต์ กล่าวว่า คนเดือนตุลาฯ ตามกระแสข่าวนั้น เป็นที่รู้กันว่าเป็นศูนย์บัญชาการอยู่แล้ว โดยแกนนำฯ ตัวจริงไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ประกอบกับแกนนำฯ บนเวที ไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเหมือนแกนนำพันธมิตรฯ ฉะนั้นจึงมีช่องว่างระหว่างการสื่อสาร ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ฉะนั้นเมื่อเขาเรียนรู้ความพ่ายแพ้ เขาจึงพยายามที่จะเอาแกนนำฯ ตัวจริงออกมาเพื่อจัดตั้ง และเคลื่อนไหว ซึ่งอาจจะขับเคลื่อนกลุ่มมวลชนได้ไม่น้อยหน้า หรืออาจจะมากกว่าพันธมิตรฯ ด้วยซ้ำไป
“ส่วนกระแสข่าวเรื่องแกนนำกลุ่มเสื้อแดงประกาศติดอาวุธนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลขณะถูกปราบราบคาบ ก็จะต้องลงใต้ดินเพื่อจับอาวุธขึ้นต่อสู้ แต่กรณีของกลุ่มเสื้อดังกล่าวนั้น พยายามที่จะสร้างภาพเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเสรีสื่อให้กับเขา ทั้งดีสเตชั่น และสื่อวิทยุชุมชนต่างๆ เพราะถ้าเขาได้สื่อกลับมา ก็ไม่จำเป็นต้องติดอาวุธ เพราะสื่อถือเป็นอาวุธที่ร้ายแรงกว่าการติดอาวุธ”รศ.ไชยันต์ ระบุ
รศ.ไชยันต์ กล่าวต่อว่า การที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงประกาศถอยห่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น จะทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงมีความชอบธรรมมากขึ้น รวมทั้งเขาอาจจะได้ชนชั้นกลางเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักศึกษา หรือสหายเก่าที่เข้าป่าร่วมกัน ขณะเดียวกันคนที่จะได้ประโยชน์จากความรุนแรงคงไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว เพราะกลุ่มเสื้อเหลืองคงต้องออกมาหากรัฐบาลเกิดเพลี่ยงพล้ำ เนื่องจากกลุ่มเสื้อเหลืองไม่ต้องการให้อำนาจรัฐตกไปอยู่ในมือของกลุ่มเสื้อแดง จนอาจถึงขั้นนองเลือด
“เมื่อถึงเวลานั้น ทหารก็จะเข้าไปยึดอำนาจ ซึ่งมีกลุ่มพลังเงียบ 30-40 ล้านคน ให้การสนับสนุนเพราะต้องการให้บ้านเมืองสงบ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะเห็นภาพ “เย็นศิระ เพราะพระบริบาล” ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ คงจะได้อะไรไปบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด หลังจากนั้นทิศทางการขับเคลื่อนไปในทิศทางนั้น และการที่เสื้อเหลือเสื้อแดงหมดไป ก็จะทำให้ความมั่นคงของสถาบันสูงสุดอาจจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องมีฐานที่พันธมิตรฯ และไม่ต้องกังวลว่ากลุ่มเสื้อแดงจะคอยโจมตี ฉะนั้นการลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ นั้น ผมเชื่อว่าเป็นมือที่ 3 จริงๆ เพราะเขาต้องการที่จะทำให้เสื้อเหลืองลุกขึ้นมาปะทะกับเสื้อแดงตามแผน ที่สำคัญนายสมยศ ขึ้นเวทีที่สนามหลวง โดยระบุว่า เวลานี้กลุ่มเสื้อแดงอาจจะต้องจับมือกับเสื้อเหลือง เพราะศัตรูเฉพาะหน้าครั้งนี้มีอะไรที่จะต้องร่วมมือกัน”รศ.ไชยันต์ กล่าว