“ผบ.ทบ.” ยอมรับกระสุนเอ็ม 16 ที่คนร้ายยิงถล่ม “สนธิ” เป็นกระสุนมาจาก “กองพลทหารราบที่ 9” อยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของ “กองทัพภาคที่ 1” เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิง แต่ได้มีการรั่วไหลออกมา ขณะเดียวกัน รีบออกตัวค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบว่ากระสุนมาจากหน่วยใด แต่หากตรวจสอบได้ต้องสอบสวนผู้รับผิดชอบตามกฎระเบียบกองทัพ
วันนี้ (23 เม.ย.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่ากระสุนที่คนร้ายใช้ลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อนประชาธิปไตย (พธม.) เป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 จากกองทัพภาคที่ 1 ว่า เป็นเรื่องของการประสานงานกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกองทัพ ซึ่งรายละเอียดหนังสือตนยังไม่ได้รับ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทหารบก และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้คุยกัน และรู้ว่ามีกระสุน 20 นัดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยเป็นกระสุนจากปืน เอชเค จำนวน 17 นัด และกระสุนปืนจาก เอ็ม 16 จำนวน 3 นัด ทั้งนี้จากการตรวจสอบทราบกระสุนปืนเอ็ม 16 ทั้ง 3 นัด เป็นกระสุนที่แจกจ่ายจากกองทัพภาคที่ 1 ที่แจกจ่ายให้กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร. 9) อย่างไรก็ตาม กองพลทหารราบที่ 9 มีหน่วยทหารมาก ซึ่งขณะนี้เมื่อรับทราบรายละเอียดจะตรวจสอบภายในว่ามีกระสุนเล็ดรอดออกมาได้อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะกระสุนที่จ่ายไปมีจำนวนเป็นพัน เป็นหมื่นนัด หากสมมติว่าแจกจ่ายกระสุนไป 10 หน่วยการเล็ดรอดจึงยากต่อการตรวจสอบว่า เป็นหน่วยไหน และเท่าที่ทราบเป็นกระสุนที่มาจากการฝึกของกองพลทหารราบที่ 9
เมื่อถามว่ามีโอกาสเล็ดรอดออกมาได้ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนี้จากหลักฐานก็ยืนยันได้ว่า แสดงว่ามีการรั่วไหลออกไป เมื่อถามว่าจะดำเนินการกับกำลังพลที่นำกระสุนออกไปอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีกฎระเบียบอยู่แล้วในการดำเนินการ ซึ่งผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับโทษตามระเบียบ
เมื่อถามว่า การอภิปราย 2 สภาเกี่ยวกับสถานการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในฐานะที่ทหารลงไปปฏิบัติหน้าที่การสลายการชุมนุม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนอยากเรียนว่าขั้นตอนการปฏิบัติทางรัฐบาล ได้กำหนดกรอบการปฏิบัติก่อนการปฏิบัติให้ทหาร และได้มีการกำหนดกรอบการปฏิบัติตามขั้นตอนให้กำลังพลโดยละเอียด และทางกองทัพได้เรียนให้กับฝ่ายการเมืองเพื่อนำไปชี้แจงในสภาแล้ว ซึ่งเป็นส่วนของทางการเมืองที่จะต้องแสดงความจริงให้กับสาธารณชนให้ทราบว่าขั้นตอนนั้นมีอย่างไร แต่ตนขอยืนยันว่า ขั้นตอนต่างๆ ไม่ได้ทำให้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บทางโรงพยาบาลยืนยันว่า ไม่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนเอ็ม 16 ซึ่งขั้นตอนการปฏิบัติก็ได้ชี้แจงไปแล้ว กระสุนแบ็ง ยิงอย่างไร และกระสุนจริงจะใช้ในโอกาสใด
เมื่อถามว่า ทางฝ่ายค้านออกมาระบุว่าใช้กระสุนจริงยิงกลุ่มคนเสื้อแดง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นในสภาว่าเขาชี้แจงอย่างไร อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติกระสุนจริง กำลังพลสามารถใช้ได้ หากถูกคุกคามโดยตรงต่อชีวิต ทหารเขาสามารถที่จะใช้ได้ โดยจะมีการสั่งการจากผู้ที่ใช้ และกำลังพลที่ใช้ก็จะอยู่ในรูปขบวนที่ไม่ใช่เข้าไปและดำเนินการโดยใช้กระสุนจริงเลยคงไม่ใช่ เมื่อถามว่า มีการใช้กระสุนจริงยิงใส่รถเมล์ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าคุกคามโดยตรงต่อชีวิตก็น่าที่จะใช้ได้ แต่อยู่ที่เหตุการณ์ในขณะนั้นว่า คุกคามโดยการนำรถมาชนโดยตรงก็น่าจะใช้ได้ และจะต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง
เมื่อถามว่า สถานการณ์จะยุติอย่างไรเมื่อฝ่ายค้านนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงและรัฐบาลก็ชี้แจงกลับไป พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ผมไม่คิดอย่างท่านเลย ผมถือว่าเวทีสภาเป็นเวทีฝ่ายใช้อำนาจรัฐถูกกล่าวว่า ได้ปฏิบัติอย่างไร ก็ไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับสังคมว่าเป็นอย่างไร ให้เกิดข้อเท็จจริงแก่สังคม การดำเนินการในขณะนี้ และยุติปัญหาได้โดยไม่สูญเสียน่าจะเป็นสิ่งที่สังคมได้รับ ทุกฝ่ายพยายามทำอย่างดี ก็ไปชี้แจงกันให้เกิดความเข้าใจ ถ้าใครคิดไปโต้ไปเถียงกัน หรือไปกล่าวหาเลื่อนลอยไม่เกิดประโยชน์กับสังคม ทุกคนจะต้องดูเอาเองว่าการดำเนินการเป็นอย่างไร”
เมื่อถามว่า ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะยุติกันในสภาใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ทุกคนก็หวังอย่างนั้น การที่จะสามารถพูดคุยกันได้ตามกลไกปกติก็น่าจะลดความสับสน หรือความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น ถ้าทุกอย่างพูดกันในสภาที่มีกฎ มีระเบียบ ต่างคนต่างก็ยอมรับได้ ถ้าออกมาข้างนอกอย่างน้อยที่สุดก็จะมีผลกระทบต่อมิติอื่น เช่นทางด้านเศรษฐกิจ
เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ที่จะมีกลุ่มใต้ดินที่จะสร้างความปั่นป่วนหลังจากนี้ ตามที่นายจักรภพ เพ็ญแข ให้สัมภาษณ์ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คิดเหมือนกันกับท่านทั้งหลาย เมื่อถามถึงการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองดีกว่า มันจะได้ไม่สับสน เพราะผู้ที่ตัดสินใจใช้ และเลิกใช้นั่นคือทางการเมือง ดังนั้นการเมืองจะมีข้อพิจารณาว่าจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกและเพื่อไม่ให้เกิดความสับสบต้องให้ผู้รับผิดชอบเป็นผู้ตัดสินใจ
เมื่อถามว่า การนิรโทษกรรมจะทำให้เสื้อแดงเสื้อเหลืองเกิดความขัดแย้งกันหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่ขอพูด เพราะพูดไปจะทำให้เกิดความขัดแย้ง เพราะมันเยอะคน และคนที่พูดมีแต่ความเห็น คนที่ตัดสินคือคนที่อยู่ในสภา ถ้าตัดสินแล้วคนก็จบ
เมื่อถามถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญในฐานะคนไทยเห็นอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนอยากพูดเต็มที่ แต่จะต้องคุยกันส่วนตัว และไม่ออกเป็นข่าว แต่ถ้าพูดในฐานะนี้คงไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะไปพาดหัวข่าวและเป็นคนละเรื่องกัน ตนสามารถพูดได้หมดเลย แต่ไม่สามารถลงข่าวได้