“สนธิ” แฉ ตร.นครบาลช่วยวางแผน แท็กซี่สีแดงไม่กี่คันแต่ปิดอนุสาวรีย์ชัยฯ ป่วนจราจรเมืองกรุงสำเร็จ ระบุแจกไฟแช็กเตรียมเผาเมืองคืนที่ผ่านมา บังเอิญฝนตก และสถานที่ราชการ-เอกชนรู้ตัว วางระบบป้องกันเข้ม ชี้พฤติกรรมหัวโจกเสื้อแดงเข้าข่ายกบฏชัด พร้อมเผยเหตุ “นช.แม้ว” จ้างคนเสื้อแดงป่วนหนัก 8-10 เม.ย. หลังประนีประนอมเอาทรัพย์สินคืน-ลบล้างความผิดไม่สำเร็จ ประกาศสงครามประชาชนหวังชัยชนะ คนตายเป็นร้อยเป็นพันก็ไม่แคร์
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “Good Morning Thailand”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “Good Morning Thailand” ออกอากาศทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 06.00-07.00 น.เช้าวันที่ 10 เม.ย. ถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า เมื่อคืนที่ผ่านมามีแท็กซี่เสื้อแดงจะมาขว้างระเบิดก่อกวนยั่วยุเอเอสทีวี หวังจะให้เราตอบโต้ซึ่งถ้ามีคนตายก็จะเอาศพไปแห่ แต่เมื่อเห็นระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีจึงไปขว้างใส่ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่อยู่ใกล้ๆ กันแทน ทั้งนี้ เพราะเอเอสทีวีผ่านการต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2548 ขอเตือนว่า ถ้าบุกรุกเข้ามาในเขตของเรา เราจะใช้สิทธิป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ ถ้าจะมาเผาแบบที่ประกาศเอาไว้ก็ลองดู และไม่รับประกันว่าถ้าวิ่งออกจากเขตของเราไปแล้ว ชาวบ้านที่อยู่แถวๆ นี้มีปืนกันทั้งนั้น
นายสนธิกล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวานนี้แสดงออกถึงการเป็นกบฏอย่างแน่ชัด ทั้งแถลงการณ์ และคำพูดของแกนนำ โดยเฉพาะนายสุรชัย แซ่ด่าน ที่บอกว่าจะปิดถนนให้เป็นอัมพาตทั่วเมืองเพื่อไม่ให้รถถังออกมา ซึ่งต่างจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ เวลาเราดาวกระจายไปตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศ กกต. เมื่อไปแล้วเราก็กลับ ไม่เคยจงใจไปปิดศูนย์กลางคมนาคมอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
“รู้หรือไม่ว่า เสื้อแดงมีที่ปรึกษาเป็นตำรวจนครบาลที่แอบกระซิบว่าถ้าจะให้กรุงเทพฯ วุ่นวายจะไปที่ไหน ขบวนการนี้วางแผนสนับสนุนโดยตำรวจบางส่วน ซึ่งเป็นจำนวนน้อย ที่ยังฝักใฝ่ระบอบทักษิณ ตำรวจพวกนี้คือตำรวจที่ทำร้ายเราตลอด และตอนนี้ยังมีอำนาจอยู่”
นายสนธิกล่าวต่อว่า ความวุ่นวายทั้งหลายที่เกิด และที่คนเสื้อแดงทำอะไรได้ตามใจนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะรองนายกฯ ที่ดูแลทหาร ตำรวจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มอบอำนาจหน้าที่นี้ให้นายสุเทพดูแล และนายสุเทพก็ดูแลอย่างที่พวกเราเห็น
“ชาติบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤต การบริหารงานในช่วงวิกฤติก็ต้องกล้าตัดสินใจ ให้แท็กซี่ 5-6 คันปิดช่องจราจรบนถนน ปิดตายได้ เกิดมาพึ่งเคยเห็นแท็กซี่ใหญ่กว่าตำรวจก็คราวนี้ แท็กซี่ใหญ่กว่าตำรวจไม่ได้ แต่ตำรวจกลับให้ความร่วมมือแท็กซี่ ทั้งที่เมื่อไหร่ก็ตามที่แท็กซี่จอดขวางถนน ตำรวจมีหน้าที่ยกรถออกไปได้เลย ตำรวจอ้างว่าแท็กซี่จอดแล้วเจ้าของทิ้งรถไป ไม่รู้ไปไหน นั่นยิ่งเป็นสาเหตุที่ต้องยกรถออกไป เพราะเขาจอดในที่ห้ามจอด ยกออกได้ทันที แต่ตำรวจกลับบอกว่าขอเจรจาก่อน เห็นหรือยังว่าคนพวกนี้ รถแท็กซี่ไม่เกิน 100 คัน ทำลายเศรษฐกิจชาติได้ โดยตำรวจนั่งดูบอกว่าขอเจรจาก่อน”
นายสนธิกล่าวต่อว่า กลุ่มแท็กซี่เสื้อแดงจงใจปิดจราจรและโดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์กลางจราจร อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นขั้วหัวใจที่ทุกเส้นทางต้องผ่าน และจะไปเปรียบเทียบกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้ เราไปชุมนุมเฉพาะด้านหน้าสนามบิน เราไม่ได้ห้ามเครื่องบินขึ้นลง แต่คนที่ห้ามคือ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยาน คู่เขยนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง เราไปใช้สิทธิประท้วง แต่ไม่ได้เอารถไปขวางเครื่องบินไม่ให้ขึ้นลง เราไม่เคยเอารถไปปิดถนนตายตัว การตั้งมั่นของเราอยู่ในที่หลัก อยู่สะพานชมัยมรุเชฐ หรืออยู่ทำเนียบก็อยู่แต่ในจุดนั้น แล้วให้ตำรวจจัดเส้นทางจราจรใหม่ ช่วงชุมนุม 193 วัน การจราจรจึงเป็นไปตามปกติ จะอ้อมบ้างเล็กน้อย แถวๆ ทำเนียบรัฐบาล เท่านั้น แต่เมื่อวานนี้เป็นการจงใจให้เกิดความวุ่นวายทั้งกรุงเทพฯ
นายสนธิกล่าวต่อว่า เจตนารมณ์ของคนเสื้อแดงจึงเห็นได้ชัดว่า เข้าหลักทฤษฎีของฝ่ายซ้ายที่เรียกว่าการปฏิวัติโดยประชาชน และสังเกตว่ารูปร่างหน้าตาของคนที่ถ่ายภาพออกมา 99 % เป็นชาย ลักษณะมาจากชุมชนแออัด กินเหล้าเมายา เอามาเพื่อจงใจหาเรื่อง เทียบกับพันธมิตรฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุมาก วัยกลางคน วัยสาว คนทำงาน แม้แต่คนที่เก็บขยะทุกเช้ากับกองทัพธรรมก็มีทั้งนายแพทย์ พยาบาล หมอฟัน ลักษณะโหงวเฮ้งของพวกเสื้อแดง เป็นลักษณะของคนเกเรที่พร้อมหาเรื่อง หรือว่าจ้างมา ส่วนที่เหลือคือชาวบ้านนั่งรถบัสมาจากต่างจังหวัด นั่งรถปิกอัพมาหัวละ 2 พัน 3 วัน คนขับปิกอัพได้ 1 หมื่น ถึงเวลาก็กลับบ้าน ไม่รู้เรื่องอะไร
นายสนธิระบุว่า เมื่อคืนที่ผ่านมามีการวางแผนเผาบ้านเผาเมือง มีการแจกไฟแช็ก แต่ไม่สำเร็จ เพราะอย่างแรกฝนตก และฝ่ายรัฐบาล-ประชาชนรู้ตัว วางรักษาความปลอดภัยไว้อย่างดี ถ้าเอเอสทีวียังเข้มงวดอยู่ก็ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่าสถานที่ราชการที่อื่นจะไม่เข้มงวด
**แฉเหตุ “นช.แม้ว” ป่วน หลังแผนประนีประนอมไม่สำเร็จ
นายสนธิได้อธิบายถึงที่มาของการชุมนุมคนเนื้อแดงวันที่ 8-9-10 เม.ย. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ระหว่างหนีโทษจำคุก ได้พุ่งเป้าโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างหนักหน่วงและเปิดเผยว่า ความจริงแล้วมีความพยายามประนีประนอมจาก พ.ต.ท.ทักษิณมีมานาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยความพยายามประนีประนอมนั้น มีทั้งพยายามประนีประนอมกับ พล.อ.เปรมโดยตรง หรือผ่าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี รวมทั้งผ่านนายปีย์ มาลากุลฯ ซึ่งถือเป็นตัวกลางในการติดต่อกับเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะตัว พ.ต.ท.ทักษิณเองและคนของเขาหลายๆ คนเคยไปหานายปีย์
นายสนธิระบุอีกว่า นายปีย์เคยเชิญตนไปพบและเสนอให้ยุติชุมนุมในช่วงการชุมนุม 193 วัน โดยบอกว่ายังไงก็ไม่ชนะ และขอให้เลิก แต่ตนได้ตอบไปว่าเลิกไม่ได้เพราะประชาชนที่มาชุมนุมนั้นมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ และตนได้บอกพี่น้องไว้แล้วว่าชนะหรือไม่ชนะไม่สำคัญเท่ากับที่เราได้ยืนหยัดด้วยความเชื่อมั่น ซึ่งนายปีย์ได้บอกว่า ไม่ต้องกลัว ถ้าเลิกชุมนุมแล้วจะคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณให้ ซึ่งแสดงว่านายปีย์ก็รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ และถูก พ.ต.ท.ทักษิณใช้เป็นเครือข่าย เพราะฉะนั้นจึงไม่ผิดที่จะเรียกนายปีย์ว่านกหลายหัว แต่นายปีย์ก็อาจจะปรารถนาดีก็ได้ จึงเสนอตัวมาไกล่เกลี่ย
นายสนธิกล่าวต่อว่า อีกคนที่ทำตัวเป็นคนไกล่เกลี่ยให้ พ.ต.ท.ทักษิณคือ พล.อ.อู้ด เบื้องบน ที่เป็นคนใกล้ชิด พล.อ.เปรม และได้เป็นปลัดกระทรวงกล่าโหม เพราะบารมีของ พล.อ.เปรม ขณะที่ ลูกชาย พล.อ.อู้ด ก็ทำงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังการปฏิวัติ 19 ก.ย. พล.อ.อู้ดจึงพาคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าพบ พล.อ.เปรม ทำให้คนทั่วไปคิดว่า พล.อ.เปรมรู้เห็นเป็นใจ แต่คนใกล้ชิด พล.อ.เปรมบอกว่า พล.อ.เปรมไม่รู้เรื่องมาก่อน นั่นคือความพยายามประนีประนอม และอีกครั้งคือตอนงานศพมารดาของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปร่วมงาน แล้วเข้าไปไหว้ขอขมา พล.อ.เปรม รวมทั้งตอนที่พรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งใหม่ๆ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็บอกว่าคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว เข้าใจกันแล้ว เป็นพี่น้องกัน
เช่นเดียวกับอีกหลายคนในช่วงที่พรรคพลังประชาชนมีอำนาจ หลายคนที่ภาพดูเหมือนเป็นศัตรูกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน ก็ออกมาพูดในทำนองเห็นใจ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องทรัพย์ที่ทรัพย์สินถูกยึด บางคนก็บอกว่าเขารวยมาก่อน ทั้งที่ในอดีตไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะแอบตกลงกันเพื่อประนีประนอม
นายสนธิกล่าวต่อว่า การเจรจากับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง บางคนไม่เอาด้วย โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ท่านปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพราะท่านไม่ยุ่งการเมือง และท่านรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของรัฐบาล เรื่องทางกฎหมายที่ต้องว่ากันตามกระบวนการ ด้วยเหตุนี้ พล.อ.เปรมจึงเป็นที่จงเกลียดจงชัง
“ท่านจะไปรับได้ไง ก็พวกคุณพาม็อบไปบุกบ้านท่าน ด่าว่าท่านเสียๆ หายๆ พอพวกคุณได้เป็นรัฐบาล ก็จะประนีประนอม แต่บังเอิญท่านความจำดี ท่านไม่เคยลืมว่าเคยช่วยนายวีระ มุสิกพงศ์เอาไว้ และท่านไม่ลืมว่านายวีระเรียนกท่านว่าอะไรบนเวทีเสื้อแดง”
นายสนธิกล่าวต่อว่า ถนนทุกสายที่หวังได้ประโยชน์จาก พ.ต.ท.ทักษิณก็วิ่งเข้าไปหาทางประนีประนอม และพยายามจะช่วย โดยจะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ได้คืน แต่พอเห็นเงื่อนไขว่าต้องทำอะไรก็ต้องอึ้ง เพราะเงื่อนไขคือขอคืนทรัพย์ที่ถูกอายัด 7.6 หมื่นล้าน คนที่จะช่วยก็คิดในใจว่าจะการจะได้คืนหรือไม่อยู่ที่ศาล ซึ่งบางคนอาจคุยได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ว่าตามเนื้อผ้า เพราะฉะนั้นคงลำบาก เรื่องที่ 2 คือ ยกโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นผิด ซึ่งมีทางเดียวคือต้องขออภัยโทษ แต่ต้องมาติดคุกก่อน ก็ไม่ได้อีก
แต่ละคนฝันหวานว่าจะได้เศษส่วนของเงิน 7.6 หมื่นล้าน หลายคนพยายามแล้วทำไม่ได้ ก็หันไปใช้อำนาจทางการเมืองนั่นคือพรรคพลังประชาชน จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกการกระทำของ คมช. ยกเลิกการอายักทรัพย์ ฟอกความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และให้ไม่ยุบพรรคพลังประชาชนจากคดีซื้อเสียง นี่คือจุดที่พวกเราพันธมิตรฯ ไม่ยอม จึงต้องกลับมา เรารวมตัวกันในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และในเดือนพฤษภาคมวันที่ 25 เราทนไม่ไหว หลังจากที่เราตักเตือนไปว่า อย่าแก้รับธรรมนูญ อย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และต้องบริหารบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์ ซึ่งสิ่งที่เรียกร้องไปไม่ได้ทำให้แกนนำแต่ละคนได้ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เราทำเพื่อส่วนรวม ไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำลายหลักนิติรัฐ ยกโทษทุกอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำผิด ซึ่งสังคมโลกไม่มีใครรับได้
นายสนธิกล่าวว่า ส่วนข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ข้อแรกที่ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ถือว่าเข้าข่ายกบฏแล้ว ส่วนการเรียกร้องให้ปลด พล.อ.เปรม และองคมนตรีอีก 2-3 ท่าน ก็เป็นการก้าวล่วงประราชอำนาจ ส่วนการด่าว่า พล.อ.เปรม ก็เปรียบเสมือนการตีวัวกระทบคราด เพราะท่านได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ส่วนข้อเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมานั้น จะกลับมาได้อย่างไร เพราะมีคดีติดตัว เพราะฉะนั้นต้องล้างคดีก่อน คนเสื้อแดงจึงทำทุกทาง โดยการสนับสนุนเงินมาให้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายสนธิกล่าวอีกว่า หากไม่มีพันธมิตรฯ มาขวางเมื่อปี 2551 ป่านนี้ พ.ต.ท.ทักษิณคงเตรียมตัวเลือกตั้ง เพราะแก้รัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเอาเงินมาทุ่มลงอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เมืองไทยจะไม่มีอะไรเหลือเลย แม้กระทั้งสถาบันกษัตริย์ และจะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลในขณะนี้ ไม่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาเป็นรองนายกฯ ซึ่งเป็นคนที่เกลียดพันธมิตรฯ แต่มาได้ดี บุญมาวาสนาส่ง หล่นทับตีนจนบวมเพราะพันธมิตรที่ตายไป แต่เขาเป็นคนที่รังเกียจ ลับหลังก็ด่าพันธมิตร
**ยุบ พปช.-พรรคร่วมเปลี่ยนขั้ว จุดเริ่มแผนสงครามประชาชน
นายสนธิกล่าวต่อว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณถูกพิพากษากลายเป็นนักโทษหนีคดีออกไปอยู่ต่างประเทศนั้น ตามข่าวที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างประเทศนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีเงินรวมแล้วประมาณ 413,000 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดมาตลอดเขาบอกว่ามี 7.6 หมื่นล้านตามที่ถูกอายัดไว้ เพราะฉะนั้น เมื่อหักจำนวนเงินที่ถูกอายัดออกไป ก็เหลือประมาณ 340,000 ล้านบาท ตรงนี้คือเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ในการทำม็อบเสื้อแดง เหมือนภาษิตจีนที่ว่า มีเงินจ้างผีโม่แป้งได้
อย่างไรก็ตาม นายสนธิกล่าวว่าสงครามประชาชนของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เกิดตอนที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องออกจากตำแหน่งนายกฯ เพราะคดียุบพรรค ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณโกรธ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ตอนนี้เขาเรียกว่าไอ้ป๊อกซื้อบื้อ แม้ว่าตอนเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.51 ประชาชนถูกฆ่าตาย พล.อ.อนุพงษ์อยู่เฉยๆ ไม่ยอมทำอะไร แต่จู่ๆ พ.ต.ท.ทักษิณก็กล่าวหา พล.อ.อนุพงษ์ว่าเป็นตัวการบีบพรรคร่วมรัฐบาลให้ย้ายมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ตรงนีเป็นจุดที่ทำให้เขาเริ่มวางแผนสงครามประชาชน เริ่มตั้งแต่ตอนที่นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายก และเผอิญเอานายกษิต ภิรมย์ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย เพราะว่า งูนั้นเวลาเจอคนปราบงูจะกลัวมาก เพราะนายกษิตทำงานเป็น รู้วิธีตามเช็กบิล พ.ต.ท.ทักษิณ นี่คือที่มาว่าทำไมคนเสื้อแดง และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จึงพยายามถล่มให้นายกษิตเสียผู้เสียคน เพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ต้องเปลี่ยนตัวนายกษิตออกไป
“สำหรับนายสุเทพนั้น นักโทษชายทักษิณไม่กลัว เพราะสนิทกันมาก นั่นคือที่มาว่าทำไมนายสุเทพจึงบอกว่าพร้อมเจรจาทุกเมื่อ เมื่อเขาโค่นท่านกษิตไม่ได้ และท่านกษิตก็มีความกล้าหาญ และปฏิบัติเป็น เขาพูดชัดว่าคุณทักษิณคือนักโทษ คุณจะมาเรียกร้องอะไรอีก เมื่อท่านกษิตออกมาสวนหมัด เขาก็รู้แล้วว่า ถ้าไม่รบเด็ดขาด เขาก็จะไม่มีทางถอย และตกเหวแน่นอน”
นายสนธิกล่าวต่อว่า ที่คนเสื้อแดงรวมพลกันเป็นครั้งคราวก่อนหน้านี้ ก็เพื่อกดดันและแอบเจรจากับนายสุเทพ โดยหวังว่านายอภิสิทธิ์จะกลัว แต่นายอภิสิทธิ์ไม่กลัว แถมยังมีความหนักแน่น เขาจึงต้องขนม็อบเสื้อแดงมาอีก ซึ่งถ้าจะมีคนตายสัก 100-200 คน หรือเป็นพันคน พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่สนใจ ขอให้เขาได้ประโยชน์
นายสนธิวิเคราะห์ว่า การต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งเป้าไว้ 3 ระดับ ระดับสุดยอด คือ ชนะ จากการระดมคนออกมาได้แล้วเปลี่ยนประเทศไทย ปฏิวัติประเทศโดยคนเสื้อแดงที่จ้างมา ถ้าเขาชนะตรงนี้ถือว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่ถ้าเกิดการปะทะ ทหารออกมาปราบ มีการนองเลือดและปราบปรามการชุมนุมสำเร็จ เขาก็มีข้อต่อรองกับต่างประเทศ ขอลี้ภัยการเมือง สถานภาพของเขาจะเปลี่ยนจากการเป็นนักโทษหนีคดีกลายเป็นผู้ลี้ภัยการเมือง ก็เท่ากับถูกหวย 2 ตัว รองลงมาคือสามรารถเสนอกฎหมายปรองดองที่ ส.ส.ของเขายื่นไว้ก่อนแล้ว ซึ่งจะมีผลในการนิรโทษกรรมให้การกระทำผิดล่วงหน้าไปถึงวันที่ 5 พ.ค.2552 ที่เขาจะทำให้ทุกอย่างฉิบหายหมด เพื่อให้คนกลัว แล้วยอมรับกฎหมายนี้ โดยอ้างว่าพันธมิตรฯ ก็จะได้รับผลดีด้วย ซึ่งความจริงแล้วพวกเราไม่ต้องการนิรโทษกรรม เราพร้อมที่จะต่อสู้ทุกคดี
นายสนธิกล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายระดับสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณคือให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา โดยเขาหวังว่าทั้งเงิน ทั้งเครือข่าย ทั้งตำรวจที่นายสุเทพไม่ยอมทำอะไร จะสามารถจัดการให้เขาเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง และสามารถแทรกแซงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบองคมนตรี ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นแค่สัญลักษณ์
นอกจากนี้ ล่าสุดทราบว่ามีการแอบเจรจากับ พล.อ.อนุพงษ์ เพื่อขอยกเลิกการอายัดทรัพย์ รวมทั้งให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้ยุบสภา แต่ พล.อ.อนุพงษ์ คงซื่อบื้อต่อไปไม่ได้ เพราะอำนาจการยุบสภาอยู่ที่นายกฯ ซึ่งพูดชัดเจนว่าไม่ยุบสภาไม่ลาออก ส่วนเรื่องยกเลิกอายัดทรัพย์ พล.อ.อนุพงษ์ จะไปพูดกับศาลได้อย่างไร ฉะนั้นที่ขอมา พล.อ.อนุพงษ์จึงทำให้ไม่ได้ การสร้างความปั่นป่วนขณะนี้ มีความพยายามเจรจาตลอด เพราะไม่มีบันไดลงแล้ว
“ด้วยเหตุนี้ถึงต้องสร้างความวุ่นวายปั่นป่วน เพื่อสร้างความฉิบหาย อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งหมดนี้ทำเพื่อคนๆ เดียว นี่คือที่มาของเหตุการณ์วันที่ 8-9-10 เมษายน ผมถึงบอกว่า 3 วันนี้ เราต้องลางานไปพักผ่อน รัฐบาลมีหน้าที่จัดการปัญหานี้ ทหารมีหน้าที่รักษาความมั่นคง ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ถ้าทหารไม่ทำ พันธมิตรฯ จะไปทำแทนได้อย่าไร เราทำแทนแล้ว ตอนขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนเราถูกยิงตายไป 10 กว่าคน โดนแก๊สน้ำตาจนต้องแซวกันว่าเขายิงจนหมดแล้ว เรายังพิการไป 20 กว่าคน บาดเจ็บ 700 กว่าคน พันธมิตรได้ทำหน้าที่ประชาชนผู้รักบ้านเมือง รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เต็มที่แล้ว ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของนายสุเทพแล้ว และพรรคร่วมรัฐบาลทำอะไรอยู่ มานั่งผมสาก เพื่อรอที่จะคอร์รัปชั่นกันต่อไปใช่ไหม ด้วยเหตุนี้ เราถึงต้องปล่อยให้เขา ทำหน้าที่ให้จบเสียก่อน”
นายสนธิกล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคยแจ้งว่า มีเงิน 7.6 หมื่นล้าน แต่เขาไปให้สัมภาษณ์นิตยสารซีอีโอมิดเดิลอิสต์ เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ยอมรับว่าอังกฤษอายัดเงินเขาไว้ 4 พันล้านเหรียญ หรือ 1.5 แสนล้าน เมื่อบวกกับ 7.6 หมื่นล้านที่ถูกอายัด เท่ากับมี 2 แสนกว่าล้านแล้ว แต่ต่อมาหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกและการเก็งกำไรราคาน้ำมัน 5,000 ล้านเหรียญ จนเหลือเงินเหลือเพียง 500 ล้านเหรียญ แสดงว่าก่อนนั้นเขามี 5,500 ล้านเหรียญ หรือ 192,500 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จมี 413,000 ล้าน ดังนั้น เงิน 3 แสนล้านบาทที่โผล่มาจากที่เคยแจ้งไว้มาจากไหน ทำธุรกิจอะไรถึงมีรายได้ 4 แสนล้านช่วงปี 44-49 ถ้าไม่ใช่การโกงกินบ้านเมือง
นายสนธิย้ำว่า คนเสื้อแดงกำลังตกเป็นเครื่องมือของนักโทษชายทักษิณ ถ้าคนเสื้อแดงตายบนถนน 100 200 หรือ 1,000 คนก็ไม่มีความหมายสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ
“คิดหรือว่าเขาจะนั่งอีแต๋นมาสู้ร่วมกับพวกคุณ ถ้าเขาจริงใจ เขาต้องให้ลูกให้หลานมาสู้ร่วมกัน มาขึ้นเวทีตลอด ก็ไหนเขาเรียกลูกหลานคนอื่นให้มาร่วมชุมนุมไม่ใช่หรือ” นายสนธิกล่าว