“อภิสิทธิ์” ยืนยันจะไม่ลาออกตามข้อเรียกร้องเสื้อแดง แต่พร้อมจะใช้ความเด็ดขาดจัดการพวกที่ไม่คารพกฏหมาย เตือนอย่าตกเป็นเหยื่อ “ทักษิณ”คนขายชาติเพียงเพื่อประโยชน์ตัวเอง ระบุต่างชาติเริ่มกีดกัน “แม้ว”ใช้เวทีเป็นฐานโจมตีไทย
วันนี้ (9 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ “เช้าข่าวข้น คนข่าวเช้า” เนื่องในโอกาสครบที่อสมท.ครบรอบ 32 ปี ถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ก็ต้องถือว่าเขาได้ไปชุมนุมในจุดที่นัดกันอยู่ ก็ชุมนุมมาประมาณ 1 วัน ในแง่ของการเข้าไปที่ลานพระบรมรูป และบริเวณที่ใกล้เคียง ผู้สื่อข่าวถามว่า มีแกนนำบางคนไปพูดบนเวทีว่า อาจจะไปที่บ้านพักของนายกฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ไม่ทราบแนวคิดต่างๆ อย่างที่เรียนก็คือว่า ถ้าทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมายก็ทำได้ แต่ถ้าไปก้าวล่วงในเรื่องของกฎหมาย จะเป็นเรื่องบุกรุกความมั่นคงหรืออะไรก็ต้องถูกดำเนินคดีเท่านั้นเอง
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ทีมงานนายกฯมาไม่เกิน 20 คนเท่าที่เรานับได้ แต่ก็มีแกนนำบางคนพูดอีกเหมือนว่า จะใช้ชายฉกรรณ์ประมาณ 500 คนติดตามนายกฯ ตั้งแต่เช้าเจอชายฉกรรณ์บ้างแล้วหรือยัง นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ยังหรอกครับ จริงๆแล้วคิดว่า ก็แปลก ถ้าเราพูดถึงแกนนำ พูดถึงการมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย คำว่าประชาธิปไตยคือการเคราพสิทธิเสรีภาพ คือการเคารพกฎหมาย ไม่ใช้ในเรื่องของการข่มขู่ ไม่ใช้ในเรื่องของใช้กำลัง รัฐบาลในขณะนี้ซึ่งถูกผู้ชุมนุมโจมตี เป็นรัฐบาลซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ใช้อำนาจนั้นบนความเคารพสิทธิเสรี
“แต่ว่าสิ่งที่แกนนำบางคนกำลังพูดกลับสวนทางกับหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง ผมไม่เคยเห็นรักประชาธิปไตยที่ไหนที่ข่มขู่ ทำร้ายคนว่าจะไปก้าวล่วงในสิทธิส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นก็เป็นข้อคิดว่า เราพูดถึงประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือเปล่า และผมก็เรียนว่า ผมอาจเป็นคนสุภาพแต่ผมไม่ยอมในเรื่องของความไม่ถูกต้อง ถ้าคิดว่าใช้การข่มขู่หรืออะไรคงไม่ได้ผล”
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า แสดงว่าสี่โมงเย็นวันนี้ไม่ลาออกแน่นอน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลครับ ตอบเลยว่า จุดยืนของผมไม่ต้องคิดอะไรคิดถึงประโยชน์ของประเทศ ยึดความถูกต้อง ยึดกฎหมายเป็นหลัก ยึดหลักประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นข้อเรียกร้องก็เข้าใจว่า เขาก็เปลี่ยนทุกวัน เมื่อวันก่อนยังเป็นยุบสภาอยู่เลย พ้นมาวันนี้ก็มาเป็นเรื่องลาออก วันนี้ก็อาจจะมาเรื่องกฎหมายปรองดองหรืออะไรก็ตาม ฉะนั้นถึได้เรียนว่า จริงๆ สิ่งสำคัญที่ให้กับผู้ชุมนุมในแง่ของผู้เรียกร้องมีเรื่องเดียวคือ คนจำนวนไม่น้อยที่มาชุมนุมอยากเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น อันนี้รับได้ เพราะถือว่าประชาธิปไตยต้องมีการพัฒนา เพราะฉะนั้นในข้อเสนอนี้หลักจริงๆ ก็คือว่าเข้ามาทำงานในเรื่องของการปฏิรูปการเมืองด้วยกัน
“แต่ข้อเรียกร้องอื่นๆ ไม่ใช่ ข้อเรียกร้องอื่นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยขณะนี้ และผมอยากย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ผมไม่อยากให้คนที่มีความเชื่อเรื่องประชาธิปไตยในเรื่องความเป็นธรรมของสังคม ที่มาชุมนุมโดยสงบ จะต้องไปเป็นเครื่องมือของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องการเห็นความรุนแรง เห็นความวุ่นวายในบ้านเมืองเพื่อที่จะให้เกิดเงื่อนไขบางอย่าง และไปรับใช้ผลประโยชน์ของบุคคลในกลุ่มบุคคลเท่านั้นเอง อยากให้ระมัดระวังตรงนี้ ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ผมเชื่อว่าคนส่วนมากที่ไปชุมนุมมีความเชื่อในเรื่องของบประชาธิปไตย ทางรัฐบาลพร้อมที่จะตอบสนองตรงนั้น แต่เงื่อนไขอื่นๆ ที่เอาประชาธิปไตยมาบังหน้าไม่ใช่ ซึ่งตรงนั้นรัฐบาลได้ยืนยันไปแล้วว่า ถ้ามีอะไรที่เรียกร้องในลักษณะที่ผิดกฎหมาย กระทบต่อความมั่นคง เราก็จะดำเนินการ” นายกฯ กล่าว
ผู้ดำเนินรายการถามว่า นายกฯบอกว่าเป็นคนสุภาพ ถ้าหากเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นนายกฯจะต้องไปสุภาพตอบด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงไม่ใช่ไม่สุภาพต่อ ก็จะทำบนความสุภาพแต่มีความเด็ดขาด แต่เด็ดขาดไม่ได้แปลว่าไม่สุภาพ แปลว่าทำตรงไปตรงมา จัดการให้ได้ผล แต่ผมไม่มีความคิดที่จะไปใช้ความหยาบคายในการตอบโต้ความหยาบคาย ผมยังเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่เหตุที่ผล ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ว่าใครเสียงดังกล่าว ใครใช้กำลังแล้วแปลว่าถูกต้อง ยังไงก็ไม่ถูกต้อง
ส่วนที่มีนักวิชาการชาวสิงคโปร์ศึกษาเรื่องอาเซียน นายกฯไทยที่เจอวิกฤตตอนนี้ น่าจะใช้จุดยืนแห่งความสงบ แต่ก็ต้องไม่แสดงถึงความอ่อนแอ ไม่อย่างนั้นกลุ่มที่เคลื่อนไหวก็จะเหลิง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่อ่อนแอหรอกครับ เพราะใครที่ทำผิดกฎหมายก็ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้ อย่างที่เรียนเรื่องของสิทธิเสรีภาพเราเคารพ เพราะฉะนั้นที่ผ่านมามีการชุมนุม กระทบกระทั่งกันบ้าง มันไม่ได้รุนแรง เช่น ขวดน้ำพลาสติกลอยมาโดนรถใครอาจไม่ได้บอกว่า ต้องเอาเป็นเอาตายกัน แต่พอเป็นเรื่องของระเบิด อย่างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เจอที่จังหวัดปทุมธานีก็จับก็ดำเนินคดีทันที กรณีที่พัทยาก็มีการดำเนินคดีแล้ว
ผู้ดำเนินรายการถามว่า นายกฯยืนยันไปแล้วไม่ออก แต่ในเรื่องขององคมนตรีมีคนบอกว่า รัฐบาลไม่ทำอะไร ไม่ได้ปกป้องสถาบันองคมตรีเลย นายกฯ กล่าวว่า ก็ได้พูดชัดว่า เรื่องของทางองคมนตรีก็เป็นกลุ่มบุคคลที่ทางฝ่ายการเมือง หรือผู้ชุมนุนไม่ควรก้าวล่วงเข้าไปก็ได้พูดมาโดยตลอด ตรงนี้เช่นเดียวกัน ข้อเรียกร้องข้อที่หนึ่งก็ไม่จำเป็นเลยที่ต้องมาสร้างเป็นเงื่อนไข ถึงได้บอกว่า ใครที่รักประชาธิปไตย ได้บอกว่าประชาธิปไตยจะก้าวไปข้างหน้าได้ ก็คือโดยกระบวนการของสภา รัฐบาลเปิดใจกว้างอยู่แล้ว และได้บอกตลอดเวลาว่า ให้มาคุยกันจะเป็นรูปแบบไหน แต่จะตามใจเฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะยังมีคนอีกตั้งหลายกลุ่มในวันนี้ซึ่งเขาอยู่กับบ้าน ไม่ได้มาชุมนุมมีความคิดเห็นอีกอย่าง และก็ได้ขอร้องเองด้วยทางโทรทัศน์บอกว่า ใครที่มีความคิดเห็นแตกต่างก็อย่าเพิ่งออกมาแสดงความคิดเห็นอะไร เพราะเดี๋ยวจะปะทะกัน เพราะต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากได้ประชาธิปไตยจริงๆ ต้องอย่าให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง
“ เพราะเหตุการณ์รุนแรงในเวลาก็แพ้กันทั้งประเทศ อาจจะได้ประโยชน์กับคนบางคนเท่านั้น ที่จะลบล้างความผิดของตัวเองได้”
ผู้ดำเนินรายการถามว่า เรื่องของลอบสังหารองคมนตรี วันนี้ข่าวสารก็มีการไปจับเพิ่มเติม เหตุการณ์ที่จะเชื่อมโยงกันได้หรือไม่กับการชุมนุม นายกฯ กล่าวว่า ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมชื่อของนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี และอดีตประธานศาลฎีกา มาปรากฎในข้อเรียกร้องด้วย หลังจากที่มีความพยายามที่จะลอบสังหาร ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินข่าวเลยว่าจะมามุ่งที่องคมนตรีชาญชัย ผู้ดำเนินรายการถามอีกว่า นายกฯได้ตั้งข้อสังเกตุได้ยังไงตรงนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ไม่ได้ตั้งข้อสัง แต่พอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร มันมีความพยายามที่จะลากกลุ่มบุคคล หรือผู้หลักผู้ใหญ่ หรือสถาบันหลักของบ้านเมืองเข้ามาสู่ความขัดแย้ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของการเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ว่าเป็นความพยายามที่จะทำให้เกิดความสับสน
“ถ้าในที่สุดถ้าประสบความสำเร็จก็คือความวุ่นวายในบ้านในเมือง ซึ่งหวังจะไปลบล้างบางสิ่งบางอย่างในอดีต มันลบล้างไม่ได้ใครทำความผิดก็ต้องรับผิด และขณะนี้คนที่มาพยายามปลุกเร้ามากที่สุดคือคนที่ไม่ต้องมารับผิดชอบ และตัวและครอบครัวไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว” นายกฯ กล่าว
ผู้ดำเนินรายการถามว่า นายกฯต้องเปลี่ยนกำหนดการของตัวเองเพื่อหนีการชุมนุมใหม่หมดเลยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องหนี แต่ว่าสิ่งที่เรายึดหลักในขณะนี้ เพราะรู้ว่ามีความพยายามในการปลุกเร้าและทำให้เกิดความรุนแรง เพราะฉะนั้นก็หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้า ทำให้เสียงาน ดังนั้นงานที่ทำเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาก็ครบถ้วนหมด สภาก็ไปประชุม ทุกอย่างก็เดินหน้า เรื่องไหนที่มีความพยายามทำให้เกิดการปะทะกันเราก็หลีกเลี่ยงซะ
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ในการประชุม กรอ.มีการบอกว่าไม่ต้องการให้การชุมนุมยืดเยื้อง จะทำยังไง นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าคงไม่ยืดเยื้อง แต่ไม่ขอพูดอะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวจะเป็นเงื่อนไขเป็นเรื่องให้ทะเลาะเบาะแวง ปลุกระดมกัน เอาเป็นว่ารัฐบาลจะดูแลไม่ให้ยืดเยื้อง ฝ่ายรัฐบาลไม่ใช้ความรุนแรงก่อนแน่นอน
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ส่วนที่ภาคธุรกิจเป็นห่วงว่าการประชุมอาเซียนบวกสามบวกหกที่ไทยเป็นเจ้าภาพ เป็นห่วงหรือไม่ว่าผู้นำที่เข้ามาจะเกิดความกังวล นายกฯ กล่าวว่า เราจะดูแล และได้มีการประสานงานตลอด ก็ได้เรียนย้ำว่า คนที่จะบอกจะหักภายในวันสองวัน ถามว่าอย่างนี้แล้วใครได้ประโยชน์ อย่างนี้ถ้าเกิดจริงสูญเสียกันทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะไม่หลงกลเข้าไปที่จะนำไปสู่ความรุนแรง แต่รัฐบาลจะบริหารจัดการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนการกระทำความผิดบันทึกไว้หมดเรียบร้อย ภาพและเสียงดำเนินคดีได้ก็จะดำเนินคดี เพราะฉะนั้นส่วนนี้ก็เป็นเรื่องปกติของการรักษาความสงบเรียบร้อย คนที่ไปใช้สิทธิเสรีภาพแสดงออกถ้าเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจ ท่านก็ไม่ต้องกังวลอะไร ถ้าไม่ได้ทำผิดอะไรรัฐบาลก็เคารพการแสดงออกของท่าน
นายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนการประชุมอาเซียนได้ให้รองนายกฯสุเทพและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปปรับแผน เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้มีการประสานไปยังต่างประเทศทำความเข้าใจ เพราะเรื่องเดียวที่เขาตกใจคือเรื่องที่เกิดกับตนเมื่อวันก่อน แต่ก็ได้อธิบายอย่างชัดเจนมาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยเวลาที่มีการประชุมระหว่างประเทศ กับเวลาปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของตนคนละเรื่องกันเลย เพราะว่ามาตรฐานที่เราใช้ในการรักษาความปลอดภัยในระหว่างที่มีการประชุมระหว่างประเทศ และการดูแลผู้นำต่างประเทศจะเข้มเท่ากันทุกที่ในโลก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในส่วนของตนไปปฏิบัติราชการอยู่ก็ไปปกติง่ายๆ เพราะผมเป็นคนอย่างนี้ แต่ว่าในส่วนของผู้นำต่างประเทศระหว่างการประชุมก็เป็นคนละเรื่องกัน
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า การที่นายกฯเจอเหตุการณ์ที่พัทยาทำให้นายกฯยกเลิกกำหนดการเผายาเสพติดที่จังหวัดอยุธยาด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยแจ้งมาว่า ขอเลื่อนไป เพราะว่า ไม่อยากเป็นเงื่อนไขความขัดแย้ง เพราะว่าอยู่ดีๆ ก็มีการประกาศว่า ไม่แน่ใจเพราะไม่ได้ฟังเอง มีการบอกว่าจะทำให้เกิดการเผชิญหน้า และทางกระทรวงก็แจ้งมาว่าไม่สบายใจ ยังบอกไปเลยว่า ความจริงก็จัดได้ แต่เขาบอกว่าขอไม่จัด
ส่วนที่ผู้นำประเทศจีนเองก็ไม่สบายใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเรานั้น นายกฯ กล่าวว่า เราประสานในแง่ของการดูแลการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย ส่วนสถานการณ์ในประเทศก็อย่างที่เรียนว่า คิดว่าคงไม่เป็นปัญหา เพราะรัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่จะไปทะเลาะเบาะแวงเผชิญหน้า รัฐบาลนี้ไม่ใช้ความรุนแรงที่จะสร้างเงื่อนไขให้รุกลามบานปลาย รัฐบาลนี้รักษากฎหมาย และการชุมนุมเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาก็ไม่มีจุดที่นำไปสู่ความวุ่นวาย แต่ว่าการประกาศการยกระดับการชุมนุมตรงนี้ต้องมาดูอีกที คำว่ายกระดับแปลกว่าอะไร เกินขอบเขตของกฎหมายก็ว่ากันไป แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องมีการดำเนินการ
นายกฯ กล่าวว่า ขอให้ความมั่นใจมีความรุนแรงอะไรไม่ได้มาจากฝ่ายรัฐบาลก่อนแน่นอน และนโยบายนี้กำชับไปหลายครั้งหลายหนให้ระมัดระวัง เพราะมีการปล่อยข่าวบ่อยครั้งในลักษณะที่มีการปลุกเร้า เมื่อวานก็มีข่าวเหมือนกันว่า มีการยิงเสียชีวิต แต่ก็ไม่มี หรือการชุมนุมที่เชียงใหม่ก็ได้รับโทรศัพท์จากคนที่สนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมว่า โอ๊ยมีการยิงกันตายร้องห่มร้องให้ทำไมรัฐบาลทำอย่างนี้ ผมก็บอกว่าไม่มี ไปฟังมาจากไหน ก็บอกว่าไปฟังมาจากวิทยุชุมชนศ ซึ่งผมก็บอกว่าให้แยกแยะ พฤติกรรมของรัฐบาลชุดนี้ และประวัติการทำงานของผมพิสูจน์ได้ ผมเป็นคนที่ไม่ต้องการเห็นความสูญเสียเลย แต่ว่าเวลาที่ชุมนุมในหมู่มากเกิดความเข้าใจเกิดขึ้นได้ ก็กำชับเจ้าหน้าที่ไปอย่าให้เกิดความรุนแรง แต่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้นเอง
ผู้ดำเนินรายการถามว่า มาเป็นนายกฯแล้วได้มีโอกาสชมรายการโทรทัศน์บ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า บางครั้ง ซึ่งข่าวจากสื่ออื่นจากสื่อสิ่งพิมพ์ก็ติดตาม ผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า คล้ายๆ กับว่าสื่อไม่ค่อยให้กำลังใจกับรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า ก็ธรรมดาครับ เป็นสิทธิเสรีและเป็นการบ่งบอกว่า ประเทศเป็นประชาธิปไตย ไม่มีหรอกถ้ามีสื่อมวลชนรายไหน ช่องไหนตำหนิติติงวิพากษ์วิจารณ์แล้วส่งคนไปคุกคาม เสนอผลประโยชน์ให้หรอกครับ ก็พยายามชี้แจงเท่าที่ทำได้ แต่ก็เป็นหน้าที่ของหลายๆ ฝ่ายที่จะทำความจริงให้ปรากฎ สิ่งที่ย้ำตั้งแต่วันแรก ที่มีโอกาสพูดนโยบ่ายสื่อว่า สื่อก็มีบทบาทในการเป็นผู้นำทางความคิด ดังนั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวังเสนอข่าวสารว่า กลั่นกรองข้อมูลดีแล้ว แต่ความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องปกติ ก็อ่านวิเคราะห์ที่ตำหนิติติงอะไรมีเหตุผลก็รับฟัง อันไหนที่มีความผิดปกติไม่อยู่บนเหตุและผลข้อเท็จจริงก็พยายามหาทางชี้แจง
ผู้ดำเนินรายการถามว่า นายกฯจะออกทีวีบ่อยขึ้นหรือไม่ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกเกือบทุกคืน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การออกทีวีมากไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเองเสมอไป ถ้าพูดแล้วไม่ควบคุมสติอารมณ์ ไม่ใช้เหตุใช้ผล รับฟังเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นว่าเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นผมยังเชื่อในวิจารณญาณของผม การออกเสียงแล้วปลุกเร้า หรือกระทำอะไรที่กระทบต่อความมั่นคงก็เป็นความผิด
“กรณีของคุณทักษิณก็มีความผิดติดตัวอยู่แล้ว เขาก็อาจจะไม่คิดอะไร เพราะอย่างไรก็ต้องมารับผิดตามข้อหาเดิมที่ศาลได้ตัดสินไปแล้ว และวันนี้เราก็เดินสายบอกประเทศต่างๆ ว่าคุณทักษิณมีคดีที่ถูกพิพากษา และเราก็ต้องการนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย และได้รับการขานรับมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะต่างประเทศก็เริ่มไม่สบายใจมากขึ้นในขณะนี้ว่า มีการใช้ประเทศของเขาในลักษณะที่สร้างปัญหาในทางการเมือง ก็จะมีการดำเนินการต่อไป และก็ไม่ได้แปลกใจอะไรหรอกครับที่เห็นว่ารุนแรงมากขึ้นในขณะนี้ เพราะขณะนี้สถานการณ์ก็บีบรัดคุณทักษิณมากพอสมควร ก็ต้องมีอาการอย่างที่เห็น” นายกฯ กล่าว
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ทำไมนายกฯไม่ชี้แจงบางประเด็นที่คุณทักษิณพูด อย่างเช่นการกู้เงิน หรือเรื่องเงินคงคลัง ทำไมไม่ใช้สื่อชี้แจงบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความจริงก็ชี้แจงเกือบทุกโอกาส ก็ต้องขอความกรุณาสื่อให้ข้อเท็จจริงด้วย ว่าการกู้เงินที่ผ่านมา การกู้เงินต่างประเทศถือว่าน้อยมาก และที่กู้เงินจากต่างประเทศมาในขณะนี้เพื่อคลี่คลายปัญหาเศรษฐกิต ซึ่งทุกประเทศก็ต้องทำกัน บังเอิญก็ไปเห็นโพลล์ที่เขาสำรวจมา ถามว่าเชื่อไหมว่าถ้าคุณทักษิณเป็นนายกฯแล้วจะไม่กู้ คนส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อ ก็คิดว่าคนก็เข้าใจดีอยู่ ความจริงก็คือความจริง ไม่ได้กังวลตรงนั้น คำพูดของคนถ้าย้อนไปตรวจสอบมันก็จะบอกเอง อย่างที่ผมบอก มาพูดอะไร เคยพูดอะไร จุดยืนก็เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อความสะดวก ของตัวเองในทางการเมือง ตรงนี้ความมั่นคง คือความเข้มแข็ง คนที่ไม่มีจุดยืนที่แน่นอน คิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองไม่มีทางความเข้มแข็ง
ผู้ดำเนินรายการถามว่า วันนั้นเห็นน้ำตาของนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย รู้สึกมั่นคงทางการเมืองขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าววว่า ไม่ได้ดูรายละเอียด ฟังแต่ข่าวว่า มีแถลงข่าวว่าอย่างไร
ผู้ดำเนินรายการถามว่า การเมืองรุมเร้านายกฯยังนอนหลับสบายดีหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หลับสบายครับ ผู้ดำเนินรายการถามว่า แสดงว่าการชุมนุมเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้ นายกฯ กล่าวว่า อย่าใช้คำว่าคาดหวัง ใช้คำว่าคาดการณ์ คือว่า เราได้ประเมินสถานการณ์มาตลอด ขณะนี้ก็ยังไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือความคาดหมาย และยังตั้งใจว่าแผนที่ได้วางเอาไว้มีการปรับบ้างตามสถานการณ์ ข้อมูลที่ได้เพิ่มเติมมาก็จะดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมืองผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ และจะก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ไม่เสียสมาธิในการทำงานในเชิงนโยบาย
ช่วงท้ายของรายการ ผู้ดำเนินรายการได้ขอให้นายกฯอวยพรครบรอบ 32 ปี อสมท.และถามนายกฯว่ามีอะไรที่จะวิพากษ์วิจารณ์สื่อหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนให้แนวทาง แต่ไม่ได้แทรกแซง เพราะใช้นิสัยของรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยจะแทรกแซง ก็เพียงแต่ย้ำว่า ถ้าเป็นโลกของข่าวสารจริงๆ สื่อมวลชนก็มีอำนาจมากขึ้น มีอิทธิพลมากขึ้น ซึ่งอำนาจอิทธิพล ก็ควรต้องมาพร้อมกับความรักผิดชอบ เพราะฉะนั้นคุณภาพการนำเสนอข่าวสารและข้อมูล การนำเสนอบทวิเคราะห์ต่างๆ เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้สังคมของเราเป็นสังคมที่มีคุณภาพ และเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกคนขอให้ดำรงคุณธรรม และจริยธรรมในวิชาชีพ จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง ส่วนการวิเคราะห์วิจารณ์สื่อในการทำงานก็จะมีบ้างเป็นครั้งเป็นคราว แม้ลักษณะของการชี้นำมีมากขึ้นแต่ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพียงแต่บอกว่าสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุก็ควรที่จะมีเสนอข้อมูลควบคู่ไปด้วยเท่านั้นเอง และคนดูก็ใช้วิจารณญาณ