xs
xsm
sm
md
lg

อ.นิด้าเผย 4 ทางเลือกการเมืองไทย “นักโทษหนีคดี” มุ่งเป็นสาธารณรัฐ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักวิชาการนิด้าฉายภาพ 4 ทางเลือกการเมืองไทยในอนาคต ระบุอดีตนักการเมืองหนีคุกยังเกาะแน่นแนวทางการเมืองเก่า ในระบอบสาธารณรัฐ เดินแผน “ตากสิน” เพื่อบรรลุเป้าหมาย ส่วนพันธมิตรฯ เป็นกลุ่มต้องการการเมืองใหม่ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขณะเสื้อน้ำเงินยังเป็นพวกการเมืองเก่าและยังเอาระบอบกษัตริย์ “บุรณัชย์” ชี้ “แม้ว”เดินเกมมวลชนหนักข้อ หวั่งป่วนรัฐบาล กดดันพระราชอำนาจให้พระราชทานอภัยโทษ



รายการ “คนในข่าว” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และ ผศ.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้สัมภาษณ์กับ น.ส.รัตน์ติกรณ์ จารุเกษตรวิทย์ ในหัวข้อ “เจาะศึกซักฟอก เปิด 4 แนวรบล้มรัฐ” โดย นพ.บุรณัชย์ ได้กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะขัดขวางการทำงานของรัฐบาล เพราะมีการพูดกันตั้งแต่ก่อนตั้ง ครม.ด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็มีการเปิดเกมมวลชน ใช้ความรุนแรง ทำสงครามจิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การทำงานทางสภาก็ไม่ปกติ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ และเอาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า คนว่างงาน ไปเป็นมวลชนเคลื่อนไหว ซึ่งหลายครั้งก็พาดพิงถึงสถาบัน หรือเลยถึงไปถึงว่าจะให้เกิดสงครามประชาชน

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดพรรคเพื่อไทยหันมาใช้ยุทธศาสตร์ที่ว่า ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก แต่ให้เกิดความรุนแรงไว้ก่อน ก็จะเป็นข่าว คือระหว่างคนมาชุมนุมกันเป็นหมื่นเป็นแสนอย่างพันธมิตร กับคนไม่กี่คนที่ไปปาไข่ ก็เป็นข่าวเหมือนกัน รายการข่าวเช้าบางรายก็เอาไปขยายความ เป็นการขยายงานมวลชนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับสถาบันทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่าที่หัวหินนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ไปสร้างความรุนเแรงเพราะไม่ต้องการให้พระองค์ท่านปวดหัว และบอกว่าถ้าได้รับอภัยโทษก็จะทำให้คนที่สนับสนุนเขาเป็นสุข และไม่ต้องออกมาชุมนุมต่อต้าน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจต่อรองทางมวลชนเป็นเงื่อนไขกดดันพระราชอำนาจ ทั้งที่ไม่ควรจะนำพระองค์มายุ่งกับทางการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังพูดออกมาอย่างชัดเจน

ด้าน ผศ.พิชายกล่าวว่า การเปิดแนวรุกทางมวลชนเป็นยุทธวิธีที่จะไปสู่เป้าหมายสูงสุดสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณคือกลับมามีอำนาจทางการเมืองใหม่ภายใต้ระบอบอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจไม่คุ้นเคยในสังคมไทยก็ได้ หรืออาจเป็นระบอบเดิม แต่นั่นคือเป้าหมายของเขา

สำหรับ 4 แนวทางจะเห็นความเข้มข้นมากขึ้น เช่น แนวทางรัฐสภา ใช้การก่อกวนอย่างเข้มข้นดุเดือดทุกวิถีทาง ให้รัฐบาลทำงานไมได้ รวมทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ซึ่ง 3 เดือน มันยังไม่ควรมีประเด็นที่เป็นสาระมาอภิปรายได้ และบางเรื่องก็เป็นเรื่องเก่า แต่เป้าหมายคือต้องการดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นตัวค้ำยันให้รัฐบาลอยู่ได้ ถ้านายอภิสิทธิ์ด่างพร้อย ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็จะลดลง

ส่วนการเคลื่อนไหวนอกสภา จะใช้การเคลื่อนไหวที่จำนวนคนไม่มาก แต่เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเวลาและรุนแรงมากขึ้น เป็นการกวนให้ปั่นป่วน เพื่อให้รัฐบาลตกหลุมพรางใช้กำลังเข้าปราบปราม และอาจมีการสร้างความปั่นป่วนถึงขั้นเกิดจลาจล เช่นเอาคนมาล้อมสภาไม่ให้มีการลงมติการอภิปราย ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา

ส่วนการใช้สื่อและเวทีต่างประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณใช้เป็นประจำอยู่แล้ว เพื่อชิงพื้นที่ต่างประเทศกับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งขณะนี้เครดิตในต่างประเทศสูงกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะขณะนี้นี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแค่นักโทษหนีคุก แม้มีเครือข่ายสื่อต่างประเทศ แต่ความน่าเชื่อถือก็มีไม่มากเมื่อเทียบกับตอนเป็นนายกฯ ยิ่งเมื่อเทียบภาษาอังกฤษกับนายอภสิทธิ์แล้เวคนละเรื่อง ที่สำคัญคือ นายอภิสิทธิ์ได้รับการอบรมจิตวิญญาณทางประชาธิปไตยมามากกว่า เพราะจบที่ออกซฟอร์ด เดินเข้าสู่การเมืองตั้งแต่แรก ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณมาจากตำรวจ และเคยเป้นพ่อค้าสัมปทานผูกขาดเหมือนนักการเมืองเก่า ซึ่งคนพวกนี้ไม่มีสำนึกประชาธิปไตย ยิ่งเมื่อมองในแง่สิทธิมนุษยชน พ.ต.ท.ทักษิณมีคำถามเรื่องนายสมชาย นีละไพจิตร เหตุการณ์ที่กรือเซะ ตากใบ การฆ่าตัดตอน ขณะที่นายอภิสิทธิ์สนับสนุนหลักการสิทธิมนุษยชน มีการจัดให้เอ็นจีเข้าพบผู้นำอาเซียนแต่ลฃะประเทศ และออกมาพบตัวแทนกัมพูชาและพม่าที่ผู้นำของเขาไม่ให้พบ ดังนั้นภาพในเวทีสากล นายอภิสิทธิ์โดดเด่นกว่า พ.ต.ท.ทักษิณมาก

“ดังนั้น แนวทาง 4 แนวที่เขาพยายามใช้อยู่เรื่อยๆ อาจเกิดผลในแง่เกิดความนุแรง เกิดความปันป่วน แต่ไม่เกิดเผลในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล”

ผศ.พิชาย กล่าวต่อว่า ในสังคมไทยขณะนี้มีแนวคิดทางการเมืองเสนอให้เป็นทางเลือก 4 แนวทางหลักๆ แนวทางแรกคือ การเมืองเก่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นอยู่ ปัจจุบัน มีแกนนำที่ชัดเจน คือ พรรคภูมิใจไทยที่เป็นแกนนำการเมืองแบบเก่า อาศัยระบบอุปถัมภ์เป็นกลไกการมาสู่อำนาจและบริหารอำนาจ มีการจัดตั้งมวลชนเสื้อสีนำเงินขึ้นมา ได้ทุนมาจากสัมปทานผูกขาด พรรคการเมืองอื่นๆ เช่น ชาติไทยพัฒนา ปชป.บางส่วนก็ยังคิดแบบนี้อยู่ และสื่อกระแสหลักก็ให้ความร่วมมือ

อีกแนวทางหนึ่ง คือ การเมืองเก่าในระบอบสาธารณรัฐ ซึ่งอยู่ในแผนตากสิน แกนหลักของแนวทางนี้คืออดีตนักการเมืองที่หนีโทษบางคน ไม่บอกว่าใคร ตอนนี้หนีไปต่างประเทศแล้ว มีพรรคการเมืองที่สนับสนุนอดีตนักการเมืองหนีโทษคนนี้ให้การสนับสนุน มีข้าราชการ นักธุรกิจบางส่วนที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองคนนี้ ได้รับประโยชน์ บางส่วนอาจถูกศาลพิพากาในคดียุบพรรค บางส่วนเป็นพวกซ้ายออกหักที่เข้ามาอยู่ มีมวลชนเสื้อแดง ที่ถือว่าเข้มแข็งมาก ซึ่งมวลชนส่วนหนึ่งมาเพราะเงิน แต่ส่วนหนึ่งมาเพราะชื่นชอบอดีตนักการเมืองคนนี้ พวกนี้ไม่ต้องมากก็ได้ 200-300 คนก็สร้างความปั่นป่วนได้ ส่วนทุนของแนวทางนี้มาจากอดีตนักการเมืองหนีโทษ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มหลักที่จะต่อสู้กับกลุ่มการเมืองเก่าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ผศ.พิชาย กล่าวต่อว่า ส่วนอีกซีกหนึ่งเป็นพวกการเมืองใหม่ ซึ่งมี 2 ขั้วเช่นกัน ขั้วหนึ่งเป็นการเมืองใหม่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แกนหลักคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชนธิปไตย อุดมการณ์คือไม่เอาการเมืองระบบอุปถัมภ์แบบเดิม ไม่เอาการคอร์รัปชั่น แต่ยังเอาสถาบันกษัตริย์ ผู้สนับสนุน แนวทางนี้เป็นนักธุรกิจ ข้าราชการบางส่วน ส.ส.ปชป.ส่วนใหญ่ มีมวลชนเป็นชนชั้นกลาง นักธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง และประชาชนทั่วไปที่จงรักภักดี

ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นการเมืองใหม่บวกระบอบสาธารณรัฐ กลุ่มนี้กำลังหลักเป็นพวกนายใจ อึ๊งภากรณ์ และเพื่อนพ้องนักวิชการ เอ็นจีโอ พวกนี้ไม่เอาการเมือเก่า แต่จะเอาสาธารณัฐมากกว่า มวลชนของแนวทางนี้เป็นชนชั้นกลางรุ่นใหม่ ใช้สื่อกระแสรอง เช่น อินเทอร์เน็ต เป็นหลัก และเกาะกระแสคนเสื้อแดง พยายามพึ่งพิงการเมืองเก่าในระบอบสาธารณรัฐ

“นี่คือ 4 ภาพที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางเลือกอื่น อาจจะมีแต่เป็นเผด็จการ ถ้ามีจลาจล เป็นไปได้อาจมีเผด็จการทหารมาดูแลความสงบสักระยะหนึ่ง และตอนนี้เราตกอยู่ภายใต้การเมืองเก่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นช่วงทางแยกที่ให้เราเลือกว่าจะเดินไปทางไหนต่อไปในอนาคต”

สำหรับแผนตากสิน ผศ.พิชาย กล่าวว่า เป็นแผนของกลุ่มการเมืองเก่าที่ต้องการสาธารณรัฐ ต้องการประมุขมาจากการเลือกตั้ง มีการจัดตั้งมวลชน มีการตั้งพรรค มีการใช้นโยบายประชานิยม เพื่อคงสภาพมวลชนที่ชื่นชมเขา ซึ่งถ้าไม่มีพันธมิตร ในปี 49 แผนนี้อาจจะสำเร็จ แต่ตอนนี้ถูกตัดไปแล้ว จะมารื้อฟื้นก็คงลำบาก เข้าใจว่าแผนนี้คงไม่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น เพราะมีอุปสรรค ยากจะบรรลุได้

นพ.บุรณัชย์กล่าวเสริมว่า การเคลื่อนไวของมวลชนเสื้อแดง เนื้อแท้แล้วไม่มีอุดมการณ์มากนัก ส่วนใหญ่พูดถึงแต่ตัวบุคคล และเอาอุดมการณ์มาอ้าง เพื่อสร้างความปั่นป่วน การจัดตั้งมวลชนขึ้นมาเพื่อกดปุ่มสั่งการจะนำไปสู่การเพิ่มความรุนแรง เพิ่มความถี่ให้สอดรับกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ซึ่งข้อกล่าวหาไม่ได้มีความประสงค์ที่จะให้ได้ข้อยุติในสภา แต่เป็นความประสงค์ที่จะพูดเพื่อให้ผูกโยงไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยจะถูกนำไปขยายผลในการชุมนุมใหญ่ปลายเดือนนี้

ผศ.พิชาย กล่าวถึงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มีบ่อยขึ้นว่า เป็นเหมือนละคร ที่ต้องเล่นบ่อยๆ ให้ดูเหมือนว่าตัวเองต้องพลัดพรากจากบ้านเมือง มีการบ่นให้คนเห็นใจ เสร็จแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์คนที่ทำให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมแบบนั้นว่าเป็นคนไม่ดีเป็นคนเลว แล้วอ้อนวอน ให้พ่อยกแม่ยกหาทางให้เขากลับมา ทั้งหมดเป้าหมายหลักๆ เขาต้องการรักษบทบาทบนเวทีละครการเมืองไม่ให้ถูกลืม

การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นละครอีกบทหนึ่ง การโฟนอินเป็นบทขอความเห็นใจ แต่ในสภาเป็นบทบาทเชิงรุกในทางที่จะทำให้เกิดผลทางการเมือง เช่น พรรคร่วมรัฐบาลยอมเปลี่ยนใจหันไปจับขั้วกับพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม เวลานี้ยังไม่เชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนใจได้

ผศ.พิชาย กล่าวเพิ่มเติมาถึงกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินว่า เป็นตัวแทนของ ส.ส.ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ และการเมืองเก่า ไม่มีอุดมการณ์ คาดหวังแค่เป็น ส.ส.เพื่อเข้าไป มีอำนาจรัฐ แล้วเป็นรัฐมนตรี ใครก็ตามมาเป็นรัฐบาลก็พร้อมเข้าร่วม กลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มใหญ่ของการเมืองไทยอยู่ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นมา ก็ไปรวมเข้ามาอยู่ใน ทรท. พอทักษิณทำท่าไม่ไหวก็ถอยออกมา มารวมกลุ่มกันใหม่ ทำให้การเมืองไม่พ้นจากวงจรอุบาทว์

ผศ.พิชาย กล่าวว่า เราจะก้าวพ้นการเมืองเก่าได้นั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องกล้าหาญ ไม่กลัวอิทธิพล นายอภิสิทธิ์ตอนนี้ เอาภาพของตัวเองไปแบกนักการเมืองในระบอบเก่าอยู่ ถ้าแบบกไม่ไหวในอคตต้องสลัดทิ้ง เพื่อทำให้การเมืองไทยเดินต่อไปข้างหน้าได้ ถ้าการเมืองเก่าต่อรองมาก คอร์รัปชั่นมาก โดยที่ตัวเองไม่ทำอะไร ตัวเองก็จะเสียด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องเลือก

ในตอนท้าย นพ.บุรณัชย์ ได้ตอบคำถามที่ว่าไม่อยากให้ ปชป.แตกกับพันธมิตรว่า ยืนยันว่า พันธมิตรฯ ออกมาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ประชาธิปัตย์เองก็เชื่อในแนวทางการต่อสู้กับระบอบทักษิณ มีการกล่าวหาว่า ปชป.เป็นแนวร่วมกับพันธมิตร ถ้าเป็นแนวร่วมในการต่อต้านระบอบทักษิณ เราก็พร้อมเป็นแนวร่วมด้วยความภูมิใจ เพื่อให้หลุดพ้นจากวิกฤติการเมือง เพื่อผ่าทางตัของการเมือง


กำลังโหลดความคิดเห็น