“กษิต” ยันมีข่าว “นช.แม้ว” แวะเขมร 1 วัน ก่อนเกิดเรื่องปะทะที่ชายแดน เผยส่งหนังสือประสานเพื่อนบ้าน แจ้งสถานะภาพนักโทษชายแล้ว ใช้เป็นฐานลอบเข้าไทยไม่ได้แน่ พร้อมส่งทีมไปดูไบ มอบทูตเม็กซิโก คุยนิคารากัว ให้ข้อมูลความผิด ยันพร้อมเลิกพาสปอร์ตน้ำตาล แค่รอกฤษฎีกาตอบกลับ ด้าน “ประสงค์” เชื่อ “นช.แม้ว” ไม่มีทางชนะ พฤติกรรมเข้าข่ายกบฏ ติง สตช.แอบช่วย ไม่ยอมถอดยศ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังคำสนทนา นายกษิต ภิรมย์ และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
รายการ “รู้ทันประเทศไทย” ออกอากาศทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 18.30-20.00 น.วันที่ 6 เม.ย. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี ดำเนินรายการ โดยในช่วงสนทนา มี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาร่วมรายการ
นายกษิต กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ว่า กรณีล่าสุดที่ฝ่ายกัมพูชาวางระเบิดแสวงเครื่องจนทหารไทยได้รับบาดเจ็บนั้นจะต้องมีการสอบสวนว่าผิดสนธิสัญญากรุงออตตาวาหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ทำไว้ก่อนว่าจะไม่มีการเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ทางดินแดน ซึ่งถ้าเขาเข้ามาวางก็เป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องเคลียร์ออกไป
กรณีการยิงกันตามแนวชายแดนโดยมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้หลบหนีคดีเข้าไปอยู่ในกัมพูชานั้น นายกษิต กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ได้ไปที่กัมพูชา คู่ขนานการที่เราส่งหนังสือทางการทูตและคณะเจรจาทางทหาร ก็สรุปว่าเป็นการเข้าใจผิด และต่อจากนี้การแก้ปัญหาจะเน้นการเจรจาด้วยสันติวิธี
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายกษิต กล่าวว่า จากการข่าวทราบว่าเข้าไปอยู่ 1 วัน ส่วนจะไปยุแหย่อะไรหรือไม่นั้น ไม่ทราบ และไม่คิดว่าจะไปยุแหย่ได้ เพราะภาพใหญ่ของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งใหญ่กว่าความรักที่ใครก็ตามที่จะมีต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่ามิตรประเทศจะไม่เอาความรักที่มีต่อบุคคลคนเดียว มาทำลายความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย และตอนนี้ ก็ได้รับการยืนยันอย่างแน่นอนว่า ต่อไปนี้การปรากฏตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามประเทศเพื่อนบ้านของเราคงเป็นไปได้ยาก และอาจเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราได้ย้ำไปแล้วว่า การเข้าออกและการมีพฤติกรรมทางการเมืองของอดีตนายกฯ มันไม่งามต่อความมั่นคงของประเทศไทย และไม่มั่นคงต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายกษิต ระบุอีกว่า ข่าวการปรากฏตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในกัมพูชานั้น เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการข่าวที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ แต่เป็นการเข้าไปประเดี๋ยวประด๋าว แล้วออกไป
อย่างไรก็ตาม จากการประสานกับประเทศเพื่อนบ้านไว้แล้ว เชื่อว่า ปรากฏการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าไปประเทศเพื่อนบ้านแล้วเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางภาคอีสาน ทางหนองคาย อุดรธานี แล้วร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงนั้นคงไม่เกิดขึ้น และไม่ควรเกิด เราสบายใจได้ ไม่ต้องเชื่อข่าวลือ เราเชื่อมั่นต่อตัวผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านของเรา เพราะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมันสำคัญกว่าความรักส่วนตัวที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
นายกษิต กล่าวต่อว่า ที่เชื่อมั่นเช่นนั้น เพราะเรามีเอกสารเวียน เป็นคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินให้ พ.ต.ท.ทักษิณติดคุก 2 ปี ส่งไปให้ประเทศต่างๆ ให้เขาทราบก่อนว่าสถานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอย่างไร และประเด็นต่อมา มันเป็นหลักปฏิบัติของการเมืองระหว่างประเทศว่าจะไม่ปล่อยให้บุคคลคนหนึ่งไปใช้อีกประเทศหนึ่งเพื่อโจมตีประเทศแม่ของเขา เช่น พม่าพลัดถิ่น ลาวเสรี ทะไล ลามะ เราก็จะไม่ให้มาใช้ประเทศไทยโจมตีประเทศแม่ของเขา ซึ่งเชื่อว่าประเทศต่างๆ รับแล้ว
ส่วนประเทศห่างไกล เช่น นิคารากัว เราไม่มีสถานทูต แต่เราได้ให้สถานทูตไทยที่เม็กซิโก และที่สหประชาชาติพูดกับตัวแทนของนิคารากัว ว่า ในกรณีที่อดีตนายกฯ ของไทย ที่ไปมีข่าวที่นั่น เช่นเดียวกันตะวันออกกลาง เช่น ดูไบ เราก็บอกเขาไว้หมดแล้วว่าสถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างไร
สำหรับการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ก็ทำได้ แต่โดยเอกเทศของกระทรวงการต่างประเทศมันมีนัยทางกฎหมายเล็กน้อย เพราะคนที่มีหน้าที่ตามผู้ร้ายกลับมา คือ อัยการ ซึ่งน่าจะทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศให้ช่วยตามอดีตนายกฯ กลับมา แต่ตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุดก็บอกว่าไม่ทราบที่อยู่ที่แน่นอน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ละวัน ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจเงื่อนไขทางกฎหมายว่าจะต้องทราบที่อยู่แน่นอนก่อนหรือเปล่า หรือแค่บอกมาแล้วให้กระทรวงการต่างประเทศไปตามหาเองก็ได้
ส่วนที่อยู่ที่แน่นอนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะนี้ นายกษิต กล่าวว่า คงไม่สามารถบอกได้ แต่พื้นที่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะจอดเครื่องบินมีแคบลง และทราบว่ามีบ้านที่ดูไบ ส่วนจะเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง หรือจีน คงละบากเพราะเราได้บอกประเทศเหล่านี้ไปแล้ว บางประเทศส่งคณะไปพูดเรื่องนี้ ล่าสุด ส่งไปที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แล้ว โดยได้ส่งทีมไปที่ดูไบ ซึ่งบางทีประเทศเหล่านั้นอาจจะยังไม่เข้าใจข้อมูลที่เราส่งไป เราก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปอธิบาย
ส่วนการฟอกเงิน ต่อไปนี้ประเทศต่างๆ ต้องเปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ หรือหมู่เกาะต่างๆ ตามข้อตกลงการประชุม จี20 ที่ให้เปิด ส่วนฮ่องกง-สิงคโปร์ ก็มีข่าวเป็นการภายในว่าถูกบีบให้เปิดเช่นกัน และเรายังมีข้อตกลงด้านการต่อต้านคอร์รัปชั่น รวมทั้งความร่วมมือกับตำรวจสากล (อินเตอร์โปล) ถ้าเราเอาจริงเอาจังก็สามารถให้หน่วยงานเหล่านี้ช่วยตรวจสอบได้
สำหรับการยึดพาสปอร์ตสีน้ำตาลนั้น นายกษิต กล่าวว่า ก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือขอความเห็นไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ช่วยตีความว่าถ้าจะยกเลิกหนังสือเดินทางธรรมดาแล้วจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิเสรีภาพในการเดินทางหรือไม่ ล่าสุดทางกฤษฎีกาได้เรียกเจ้าหน้ากระทรวงการต่างประเทศไปขอให้กระทรวงการต่างประเทศถอนเรื่อง เราก็ปฏิเสธทางวาจา และมีหนังสือไปว่า ถ้ากฤษฎีกาจะพิจารณาหรือไม่พิจารณาอย่างไรขอให้ตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษร
“ก็หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากสำนักงานกฤษฎีกาโดยเร็ว ซึ่งเมื่อได้รับแล้ว ผมก็จะดำเนินการของผมเอง และแน่นอนต้องรายงานให้นายกฯ และ ครม.ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไร”
นายกษิต กล่าวว่า เรื่องนี้อาจมองได้ว่าก่อนที่ตนจะเข้ามา ทางกระทรวงการต่างประเทศไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็อาจจะยืมมือ หรือโยนไปที่ไหนซักแห่งหนึ่ง ซึ่งทางโน้นอาจจะไม่พร้อมที่จะเล่นด้วย แต่ถ้าตนว่าพร้อมที่จะยกเลิกไหม ก็พูดที่นี้ได้ว่าพร้อม คิดว่าการตีความรัฐธรรมนูญ หรือดูระเบียบกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับหนังสือเดินทาง ตนบอกได้เลยว่าสามารถที่จะยกเลิกได้ เพียงแต่โดยมารยาทก็รอให้กฤษฎีกากลับมาเสียก่อน
** “ประสงค์” เชื่อ “นช.แม้ว” ไม่มีทางชนะ
ด้าน น.ต.ประสงค์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีการยิงปืน ค.81 จากฝ่ายเขมรเข้ามาโดยอ้างว่าปืนลั่นว่า ไม่เข้าใจว่า ปืน ค.ลั่นได้ เพราะปืน ค.นั้น เวลาจะยิงต้องเอาลูกกระสุนหย่อนเข้าไปแล้วจึงยิงออกมา จะไม่มีการบรรจุกระสุนไว้ก่อน ข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เขมร จึงทำให้คนระแวงสงสัยได้
ส่วนความเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ามาทางภาคอีสานนั้น เป็นแค่การโฆษณาปลุกระดมให้คนเชื่อว่านักโทษชายคนนี้มีศักยภาพพอที่จะทำอะไรได้ แต่ตนไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้ เพราะตั้งแต่เขาถูกดำเนินคดีและมีคำพิพากษาให้จำคุกเขาก็หนีและทำ 3 อย่างคือทำสงครามจิตวิทยา สร้างความหวังให้พวกของเขาว่าเขาจะกลับมา ยังความกลัว คือสร้างความหวาดกลัวต่างๆ ให้เกิดขึ้นเพื่อให้คนมารวมตัวกันแล้วเขาจะมานำ และ สร้างความเกลียด ซึ่งทำเป็นขบวนการ เรียกว่าเป็นขบวนการก่อการร้ายก็ได้
“ส่วนข่าวที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะนั่งเฮลิคอปเตอร์แล้วหย่อนตัวลงมาร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดงนั้น คนที่พูดคงกินเบียร์ตอนร้อนๆ เพราะเบียร์ตอนที่ร้อนนั้นจะเมากว่าเบียร์แช่เย็น ซึ่งในที่ชุมนุม มีการเอาเบียร์ร้อนๆ ไปให้กินตลอดเวลา เรื่องแบบนี้ก็คงพูดกันไปเพราะฤทธิ์เบียร์ แต่การกลับเข้ามาของเขานั้น ขอบอกตรงๆ ว่านักโทษชายคนนี้ ไม่มีโอกาสที่จะชนะหรอก”
ส่วนกรณีที่แกนนำคนเสื้อแดงบอกว่า เวลาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเหลืออยู่ไม่เกิน 3 วันนั้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า น่าจะเป็นเวลาของพวกเขา(เสื้อแดง)มากกว่า และอยากบอกว่า กฎหมายบ้านเรา โดยเฉพาะกฎหมายอาญานั้นมีเรื่องกบฏในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำการทั้งลายลักษณ์อักษรและโฟนอินเข้ามา พฤติกรรมเข้าข่ายหมดทั้งตัว พ.ต.ท.ทักษิณและผู้สนับสนุน
น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า อยากจะบอกเตือนไปยังทุกฝ่าย คนเสื้อแดงมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือ ส่วนที่ได้ประโยชน์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะในรูปใดก็แล้วแต่ อีกพวกหนึ่งคือพวกที่มาเพราะในหัวไม่มีข้อมูลมูล ไม่มีข้อเท็จจริงต่างๆ ถ้ารัฐบาลนี้ได้คิดเสียหน่อย ก็ยังไม่สายเกินไป คือ ทำไมไม่ใช้วิธีการบางสิ่งบางอย่าง ที่คนจีนสอนว่า ถ้าจะจับแม่ทัพต้องยิงม้ามันก่อน ม้าก็หมายถึงผู้ปฏิบัติงานในขบวนการ ซึ่งสามเกลอหัวขวดเป็นแค่ตัวเปิด ยังมีตัวปิดอีก
อีกส่วนหนึ่งคือ งานด้านมวลชน เราต้องแยกปลาจากน้ำ มันมีอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่เราไม่ได้คิดมาตั้งแต่ต้น มันเกือบสายอยู่แล้ว คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ข้อมูลไม่มีเลย มีแต่ข้อมูลบิดเบือนที่ยัดเข้าไป เราอย่าไปโกรธเขา เราต้องใช้สื่อให้ความจริง โดยเฉพาะสื่อของรัฐ เมื่อมีการบ่อนทำลายความมั่นคง ต้องเอาพฤติกรรมของนักโทษชายออกมาเปิดเผย
สำหรับเรื่องพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิทธิของกระทรวงการต่างประเทศที่จะถอนได้ทันที แต่วิธีการดำเนินงานอาจต้องให้มีขั้นตอนที่พอเหมาะพอควร และเท่าที่ดู นายกษิตคงจะถอนแน่ เพียงแต่มันที่เรื่องที่ค้างอยู่ก่อนที่จะเข้ามา
ส่วนที่ ตนยังไม่พอใจคือเรื่องถอดยศ ตั้งแต่ศาลสั่งจำคุกนั้น พ.ร.บ.ตำรวจระบุชัดว่า ถ้าศาลมีคำพิพากษาจำคุกถึงที่สุดแล้ว ต้องดำเนินการถอดยศ และเรื่องนี้คงไม่ใช่เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กลัว พ.ต.ท.ทักษิณเล่นงานจึงไม่กล้าถอด แต่เป็นเพราะต้องการช่วยกัน จึงขอตำหนิ สตช.และตำหนิรองนายกฯ ที่ดูแล สตช.ที่ไม่เอาใจใส่เรื่องนี้ และถ้ายังไม่ดำเนินการมันจะยิ่งเพิ่มความไม่ดีให้กับรัฐบาลมากขึ้น เรื่องอย่างนี้ยังไม่กล้าทำ คุณมีผลประโยชน์อะไรกับเขาหรือเปล่า ส่วนเครื่องราชอิศริยาภรณ์ ก็ต้องขอคืนเช่นกัน