ผู้ช่วย “กษิต” เผยยูเออีรับหมายจับ “ทักษิณ” จากรัฐบาลไทยและตำรวจสากลแล้ว พร้อมรับปากลากคอส่งให้ไทยทันที หากย้อนกลับเข้าประเทศอีก ระบุสหรัฐอาหรับฯ เคยแจ้งอดีตนายกฯ หนีคุก ไม่เหมาะที่จะอยู่ในประเทศ หลังใช้ดูไบเป็นฐานจ้อสื่อนอกโจมตีไทย ก่อนเผ่นหนีเมื่อ 20 เม.ย. พร้อมประสานตำรวจสากลล่า “กบฏจักรภพ” ต่อ
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. นายพนิช วิกิตเศรษฐ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ตามที่ได้รับมอบหมายจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้แทนพิเศษร่วมกับนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 19-21 เม.ย.ที่ผ่านมา และได้นำหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก 2 ปี และคดียุยงปลุกปั่นให้เกิดการจลาจล ไปมอบให้สำนักงานตำรวจยูเออี และกระทรวงต่างประเทศยูเออี รวมถึงการจัดทำความตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับยูเออีด้วย
นายพนิชกล่าวต่อว่า เมื่อประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ตนเคยได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังยูเออี เพื่อแจ้งให้ยูเออีทราบถึงความห่วงใยของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณโดยหวังว่าจากการที่ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ทางยูเออีจะไม่ยินยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณหรือบุคคลใดก็ตามใช้ยูเออีเป็นฐานขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งทางยูเออีได้รับปากตามคำขอดังกล่าวของฝ่ายไทย
นายพนิชกล่าวอีกว่า ส่วนที่ตนและนายอลงกรณ์ได้เดินทางไปยูเออีครั้งล่าสุด ได้มีการพบกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รักษาการปลัดกระทรวงฯ อธิบดีกรมเอเชีย และอธิบดีกรมการกงสุลของยูเออี โดยได้แจ้งถึงการยกเลิกหนังสือเดินทางทุกฉบับของ พ.ต.ท.ทักษิณ และการออกหมายจับของ พ.ต.ท.ทักษิณในทุกคดี ซึ่งทำให้ทางยูเออีทราบแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ดำเนินการที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อไทย อีกทั้งตนได้มอบจดหมายของชมรมมุสลิมไทยในกรุงเทพฯ ที่เคยยื่นต่อสถานเอกอัครราชทูตยูเออีในประเทศไทยด้วย เพื่อให้ทราบว่ามีการทำร้ายชุมชนชาวมุสลิมในกรุงเทพฯ (โดยคนเสื้อแดง) ทางชมรมฯ จึงต้องการให้ยูเออีรับทราบว่าไม่ควรเป็นที่พักพิงของผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองและทำร้ายชุมชนชาวมุสลิม ซึ่งผู้ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศของยูเออีได้รับทราบและยืนยันว่าจะไม่ยินยอมให้ใครก็ตามเข้ามาขับเคลื่อนทางการเมืองแล้วส่งผลความเสียหายต่อประเทศที่มิตรกับเขา
นายพนิช กล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศของยูเออีได้บอกกับตนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาพำนักในยูเออีในฐานะนักธุรกิจ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ทางการยูเออีได้แจ้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณทราบแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เหมาะสมที่จะพำนักอยู่ในยูเออีอีกต่อไป เนื่องจากมีการใช้ประเทศของเขาในการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น และ พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากยูเออีไปแล้ว เมื่อค่ำวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ทราบว่าไปยังประเทศใด ทั้งนี้ ทางยูเออีได้รับหมายจับในคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งได้รับจากตำรวจสากลแล้ว และยูเออียืนยันว่าจะไม่ยินยอมให้ใครเข้ามาขับเคลื่อนทางการเมืองโดยเด็ดขาด เพราะเขาให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่าความสัมพันธ์กับคนคนหนึ่ง
นายพนิชกล่าวว่า ทางยูเออียังระบุว่าไม่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้ามาในประเทศของเขา และถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเข้ามาในประเทศนี้อีกด้วยหนังสือเดินทางของประเทศอื่น ก็จะต้องมีการพิจารณาถึงเจตนาของการเข้าประเทศ แต่ทางการยูเออีสามารถควบคุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณไว้ เพราะมีหมายจับของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว และ พ.ต.ท.ทักษิณยังถือสัญชาติไทย ตลอดจนยังใช้ชื่อเดิมอยู่ตามที่ปรากฏในหมายจับ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกนำตัวไปดำเนินการตามกฎหมายของประเทศของเขาที่สามารถนำไปสู่การส่งตัวกลับประเทศไทย
นายพนิชเปิดเผยว่า การดำเนินการทั้งหมดนี้เป็นการใช้ช่องทางขั้นตอนทางการทูต และตนได้แจ้งผลความคืบหน้าจากการไปยูเออีครั้งนี้ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ รับทราบแล้ว นอกจากกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังจะมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้วและเตรียมการเคลื่อนไหวต่อไป ซึ่งล่าสุดให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศอย่างไม่เหมาะสม โดยเมื่อตำรวจออกหมายจับนายจักรภพแล้ว จะประสานไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด จากนั้นทางอัยการฯ จะส่งหมายจับมาให้กระทรวงการต่างประเทศแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อส่งเรื่องไปยังตำรวจสากลที่จะแจ้งไปยังประเทศต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของตำรวจสากลให้ติดตามจับกุมตัวนายจักรภพต่อไป