“ปีย์” ย้อนความหลัง นัดกินข้าวศาล-พล.อ.สุรยุทธ์ 3 ปีก่อน เพื่อถามความเห็นหลังในหลวงทรงมีรับสั่งเรื่องตุลาการภิวัฒน์ หลังจากนั้นพบปะกันหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นการสังสรรประสาเพื่อนฝูง ชี้ใครต่อใครไปบ้านเป็นเรื่องปกติ “บิ๊กป๊อก” “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็เคยไป เผยห่วงม็อบเสื้อแดงทำบ้านเมืองทรุดหนัก วอนหยุดแล้วกลับบ้าน พร้อมจี้แกนนำอบรมคนของตัวให้รู้จักที่ต่ำที่สูง
นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการบริษัท แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้สัมภาษณ์นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก ในรายการ “จับตา(ย)” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 21.30-22.00 น. วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างหนีโทษจำคุกได้กล่าวปราศรัยกับคนเสื้อแดงผ่านวีดีโอลิงก์โดยอ้างคำพูดจาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) ว่ามีการวางแผนปฏิวัติที่ “บ้านสุขุมวิท” เมื่อปี 2549 ว่า เป็นเรื่องที่พูดกันนี้ เกิดขึ้นเมื่อ 1,660 วันที่แล้ว ตนเป็นเจ้าของบ้านสุขุมวิทตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดถึงจริง แต่ตอนแรก พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่กล้าเอ่ยชื่อตน จะเป็นเพราะอะไรต้องไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณเอง
นายปีย์กล่าวต่อว่า รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ยังเป็นนายตำรวจนั่งหน้ารถนายดำรง ลัทธพิพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ แต่ไม่ได้สนิทแนบแน่น และไม่ได้พบปะกันตลอด นานๆ จะได้คุยกันทีหนึ่ง โดยตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดถึงบ้านสุขุมวิทนั้นตนไม่อยู่ แต่มาฟังที่มีคนอัดเทปไว้ให้ตอนหลัง ก็รู้สึกว่าแปลกดี แต่ก็รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดนั้นหมายถึงบ้านของตน
ที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างคำพูดของ พล.อ.พัลลภว่ามีการพบปะกัน 4-5 ครั้ง และใช้บ้านหลังนี้วางแผนการปฏิวัตินั้น นายปีย์ยินยันว่าไม่จริง “เพราะว่าบ้านนี้ ผมก็มีดินเนอร์กับเพื่อนฝูงแทบจะเรียกว่าอาทิตย์ละ 2-3 วัน ไม่ใช่ 4-5 ครั้งนะครับ พบกับใครหลายๆ คน เป็นเพื่อนเก่าๆ นะครับ คุณอัญชะลี อย่าลืมว่าผมอายุ 72 ปีแล้ว แล้วก็มีเพื่อนเยอะแยะ พบกันคุยกันอยู่ตลอดเวลา การไปพบปะกันของบุคคลต่างๆ ที่บ้านจึงเป็นเรื่องปกติ และเคยมีการพบกันพูดคุยกันกินข้าวกันก่อนหน้านั้นอีก คุณสนธิ(นายสนธิ ลิ้มทองกุล) เองก็เคยไป”
นายปีย์กล่าวต่อว่า สำหรับ พล.อ.สุรยุทธ์ เคยไปที่บ้านประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ถ้านับเอาตั้งแต่ก่อนปฏิวัติคงจะมากกว่านั้น เพราะว่าเคยไปตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ส่วนนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองนั้นเคยรู้จักกันตอนหนุ่มๆ สมัยที่ตนจัดรายการทีวีที่ช่อง 9 ส่วนนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี และนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น มารู้จักกันภายหลัง แต่ยอมรับว่าได้เชิญทั้ง 4 คนนี้ไปรับประทานอาหารที่บ้านพร้อมกัน ตามที่ พล.อ.พัลลภพูด ซึ่งที่จริงแล้วเชิญทั้งหมด 6 คน โดยอีก 2 คนคือนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ และตัว พล.อ.พัลลภเอง ซึ่งไม่ได้มาในฐานะเป็นตัวแทน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ผบ.ทบ.ในขณะนั้น) แต่เป็นการเชิญ พล.อ.พัลลภโดยตรง
“จำได้อย่างดีเลยครับ ตรงกับวันที่ 6 พฤษภาคม 2549 เป็นการมาคุยกันเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 หลังจากดูทีวี ผมทราบว่า คุณชาญชัย คุณอักขราทรได้เข้าเฝ้าฯ ก็มีรับสั่งเรื่องเกี่ยวกับศาลนั่นนะครับ ก็เกิดความอยากรู้ว่าท่านทั้งสองคิดอย่างไร ก็เลยเชิญท่านมา แล้วก็ให้มาเล่าให้ฟังหน่อย ว่าข้างหน้ามันจะเป็นยังไง เรื่องตุลาการภิวัฒน์ และเกี่ยวกับเรื่องบ้านเมืองทั่วไป”
นายปีย์กล่าวต่อว่า เป็นการคุยกันธรรมดา เสร็จแล้วก็คุยเรื่องตอนเด็กๆ จำเรื่องนั้นได้ไหม จำเรื่องนี้ได้ไหม มันก็เป็นเรื่องของคนแก่ๆ คุยกัน และไม่มีใครคุยเรื่องการปฏิวัติ เรื่องการเมืองก็ไม่มีใครพูด เพียงแต่บอกว่าตอนนั้นบ้านเมืองมันยุ่งเหยิงนะ แล้วก็อยากทราบว่าเขาคิดยังไง แล้วก็จะจัดการยังไง หรือจะทำยังไง ก็เท่านั้น
“ส่วนคุณสุรยุทธ์ก็นั่งฟัง คุณพัลลภก็นั่งฟัง คุณพัลลภนั่งข้างซ้ายผม คุณสุรยุทธ์นั่งข้างขวาผม โต๊ะมันเป็นรีๆ คล้ายๆ ตัวไข่นะครับ แล้วอีก 4 ท่านก็นั่งข้างหน้า ก็อีกข้างหนึ่งของโต๊ะ เราก็ถามไป ก็คุยกันไป”
นายปีย์กล่าวต่อว่า ศาลทั้งสามท่านนั้นได้บอกว่า เราคงต้องเอาจริงเอาจังหน่อย เมื่อท่านมอบภารกิจอย่างนี้มาก็ต้องทำจริงๆ จังๆ ส่วนนายปราโมทย์เป็นคนพา พล.อ.พัลลภมา ก็นั่งฟังเช่นกัน หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันหลาบครั้ง เพราะตนพบคนนั้นคนนี้ตลอด
ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณมองว่าการพบคนนั้นคนนี้ตลอดเป็นการตั้งกลุ่มเพื่อปฏิวัตินั้น นายปีย์ กล่าวว่า จะทำได้อย่างไรไม่มีทหารสักคน การทำปฏิวัตินั้นตามหลักแล้วต้องมีทหาร แล้วก็มี ผบ.ทบ. ซึ่งตนไม่มี มีแต่น้องชายเป็นทหารเกษียณ การที่ พล.อ.พัลลภอ้างว่า ที่คนมารวมตัวกันที่บ้านเป็นการมาวางแผนปฏิวัตินั้นจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะอยู่กันแค่ 6 คน
“ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องด้วย แล้วเราก็ไม่ได้คุมกองทัพ คุณสุรยุทธ์ตอนนั้นท่านก็เป็นองคมนตรีแล้ว นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องปฏิวัติเลยครับ ไม่มีอยู่ในหัวใจเลยครับ”
นายปีย์กล่าวต่อว่า ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ในความรู้สึกคิดว่าผู้ที่ฟังเรื่องแล้วเอามาพูดจะต้องจับประเด็นเรื่องให้ถูก แล้วก็ต้องมีความไว้ใจในลูกน้องหน่อยว่าลูกน้องมาพูดอะไร หรือคนใกล้ชิดมาพูดอะไร ไม่ยกเมฆมาพูด จะบอกว่า พล.อ.พัลลภยกเมฆ ก็อาจจะแรงไป แต่ว่าไม่เคยเห็น พล.อ.พัลลภกับ พล.อ.สุรยุทธ์พูดคุยกันสองต่อสองเลย ในบ้านของตนเลย
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการอะไรที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา นายปีย์กล่าวว่า คงต้องการที่จะเรียกร้องให้คนที่ฟังอยู่ที่ทำเนียบเกิดความสนใจแล้วก็เกิดการเอ็กซ์ไซต์ ให้ตื่นเต้นขึ้น ถ้าวาดสีแล้วมันก็สวย ทั้งที่คนที่ไปพบกันที่บ้านนั้นเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่หนุ่ม ก็เป็นเพื่อนกัน เจอกันเมื่อไหร่ก็สนุกสนาน
นายปีย์กล่าวอีกว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะโยงเอาชื่อคนที่เคยมาบ้านตนเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่วางแผนปฏิวัติ ก็ต้องเอาชื่อนายสนธิ ลิ้มทองกุลเข้าไปด้วย เพราะนายสนธิก็เคยมาบ่อย แต่ไม่ได้อยู่ในวงนี้ โดยต่างคนต่างมาหา ถ้ารู้จักกันก็มาพร้อมกัน แต่ถ้าไม่รู้จักกันก็ต่างคนต่างมา โดยนายสนธินั้นมาคุยเรื่องที่จัดชุมนุมอยู่ แต่ไม่ได้คุยเรื่องปฏิวัติ ไม่เคยคุยเลย
นายปีย์มองเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวปราศรัยผ่านวิดีโอลิงก์ และการชุมนุมคนเสื้อแดงว่า รู้สึกเป็นห่วง เวลานี้ตนเฝ้ามองเศรษฐกิจของโลกว่าค่อนข้างจะแย่เอามากๆ เชื่อว่าจะกระทบประเทศไทยอย่างแรง ถ้าเรายังไม่รวมตัวกัน เป็นคนไทยด้วยกัน ปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประเทศจะเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งไม่รู้จะเอาใครมาเป็นผู้แก้ ตนห่วงเรื่องนี้มาก ถ้ามองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กก็อีกเรื่อง แต่ตนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่
นายปีย์กล่าวต่อว่า ถ้าจะมองเหตุการณ์สัปดาห์หน้าอาจะเร็วไป แต่ถ้ามองว่าอะไรจะเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนเมษาฯ คนจะตกงานมากขึ้น สินค้าที่จะส่งออกคงลำบากขึ้น คนที่ไม่มีจะรับประทานคงเป็นทุกข์มาก
ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงอ้างว่ามาไล่อำมาตยาธิปไตยนั้น นายปีย์กล่าวว่า ถ้าหมายถึงตน ก็คงจะวิ่งหนี แต่ตนยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าอำมาตยาธิปไตย จริงๆ ที่เขาพูด ทำไมเขาไม่แปลเป็นภาษาธรรมดาๆ แปลว่าอะไร ถ้าแปลว่าศักดินา ชนชั้นสูง มันไม่มีในสมัยนี้ ถ้าหมายถึงเจ้า ก็มีไม่กี่องค์ อย่าง “ท่านมุ้ย” ซึ่งก็ไม่เกี่ยว
“ท่านมุ้ยเป็นคนเดียวที่เรียกว่าท่านแล้วถูกต้องนะครับ เพราะว่าการเรียกท่านนี่หมายความว่าต้องเป็นหม่อมเจ้า ถ้าไม่ใช่ เราไปเรียกสรรเสริญ “ท่าน” ไม่ได้หรอก” นายปีย์กล่าว
สำหรับกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงนำเพลงปฏิวัติฝรั่งเศสมาเปิด และบางวันก็พูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสนั้น นายปีย์กล่าวว่า ไม่คิดว่ามันล้าสมัยหรือ สมัยนี้จะไปใช้สมัยฝรั่งเศส สมัยจอมพล ป. มันคงคนละสมัยกัน
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงรหัส 901, 902 นั้น นายปีย์กล่าวว่า ถ้าถามกันจริงๆ ตำรวจก็พูดทุกวันในวิทยุตำรวจ เกี่ยวกับเส้นทางเสด็จ คงจะคุ้นเคย อย่างรหัสที่เรียก พ.ต.ท.ทักษิณตอนนั้นก็เรียก สร.1 ตนจึงมองว่าเป็นรหัส ส่วนที่บางคนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่รู้กาลเทศะ ก็แล้วแต่มุมมอง แต่ตนคุ้นแล้วจากการฟังวิทยุตำรวจบ่อยๆ ก็ได้ยินว่า สร.1 จะไปนั่น สร.1 จะไปนี่ ก็เลยรู้สึกว่าเป็นโค้ดของทางการ
สำหรับประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกโจมตีว่าไม่จงรักภักดีทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามบอกว่าตนเองจงรักภักดีนั้น นายปีย์กล่าวว่า คงมองเรื่องนี้ยากมาก เพราะไม่รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณลึกพอที่จะตัดสินเรื่องนี้ได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ การจะไปกล่าวหาใคร ตนคิดว่าต้องละเอียด ก็คงเป็นหน้าที่ของนายอักขราทร เป็นหน้าที่ของนายชาญชัย เป็นหน้าที่ของนายจรัญ คงไม่ใช่หน้าที่ของตน
ส่วนกรณีที่ตนเองถูกดึงเข้ามาร่วมอยู่ในการเมืองทั้งที่ไม่เคยมีชื่ออยู่ในการเมืองมาก่อน นายปีย์กล่าวว่า จำ “ไอ้หัวเถิก” ที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีเคยพูดได้หรือไม่ แต่ตนก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องเอาชื่อตนเข้าไปยุ่งด้วย ถ้าจะมองว่าตนเป็นแกนคนสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัติ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่อาชีพของตน เพราะอาชีพของตนคือทำหนังสือพิมพ์ ทำนิตยสาร ทำรายการวิทยุ คงไม่สามารถเป็นแกนได้
นายปีย์กล่าวต่อว่า ที่นายสมัครพุ่งเป้ามาที่ตนก่อนเลยนั้น อาจเป็นเพราะว่าบางทีเราเห็นก้อนเมฆก้อนใหญ่ๆ ก็คิดว่าฝนจะตก ทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรในก้อนเมฆ ที่นายสมัครมาหวาดระแวงก้อนเมฆอย่างตนนั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร
สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.คนปัจจุบันนั้น นายปีย์ยอมรับว่าเคยมาที่บ้านเช่นกัน เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เป็นพันโท ดังนั้น ใครต่อใครก็เคยมาที่บ้านตนไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
นายปีย์กล่าวถึงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า เราควรจะหยุดพูดถึงได้แล้ว เพราะว่าเป็นการลงโทษคนพูดและดึงสถาบันลงมาด้วย ตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าที่จะเอามาพูดกันให้มันโจ๋งครึ่มหรือขยายความกัน เพราะว่าถ้าตราบใดเราเคารพเราก็ควรจะไม่พูดเรื่องนี้ ควรให้เจ้าหน้าที่จัดการกันไปเงียบๆ เราไม่อยากจะไปขยายความ เพราะถ้าไปขยายความก็หมายความว่ามันต้องมี 2 ฝ่าย
นายปีย์กล่าวว่า ตนคงไม่มีอะไรที่จะฝากถึง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะคงมีครบทุกอย่างแล้ว จะไปคิดถึงกันตอนนี้มันก็คงเป็นการดัดจริต ถ้าจะบอกว่าในฐานะเจ้าของบ้านสุขุมวิท ถนนเส้นนี้มันยาวตั้งแต่เพลินจิตถึงจังหวัดตราด แต่จะมาเอาบ้านตนคนเดียว ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าถ้ามองว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ก็คงจะมีความสามารถด้านหนึ่งและมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ก็เป็นธรรมดาๆ ของเด็กหนุ่มๆ
นายปีย์กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนกลัวว่าถ้าพวกเสื้อแดงไม่เลิกบ้านเมืองจะยุ่ง ถ้าผู้บริหารทางเสื้อแดงเข้าใจบ้านเมืองอย่างแท้จริงแล้วจะต้องหยุดกันหมดเวลานี้ ถ้าทำได้ ก็เหมือนชกมวย พักสักยกหนึ่งได้ไหม หยุดแล้วก็แก้ไขบ้านเมืองจนเศรษฐกิจกลับคืนมา เพื่อช่วยเหลือคนจนจริงๆ และคนที่จะเดือดร้อนทั้งหมด แล้วหลังจากนั้นค่อยออกมากันอีกที คืออยากจะให้คนที่ขัดกันในสังคมอยู่ในขณะนี้ ที่เห็นต่างกัน ให้มารวมกันเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาที่ใหญ่กว่า เมื่อแก้ไขปัญหาเสร็จแล้วจะมาทะเลาะกันต่อก็ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ เป็นแค่ให้ประชาชนปรองดองกัน ส่วนจะให้ประชาชนปรองดองกันได้อย่างไรนั้นให้เป็นหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ส่วนพวกเสื้อแดงที่ยังไปประท้วง พล.อ.เปรมอยู่ นายปีย์กล่าวว่า จะต้องมีการอบรมให้รู้จักที่ต่ำที่สูง ว่าเป็นอย่างไร อยากให้ผู้ที่ไปมีสติ และหยุดแล้วกลับบ้าน ไปทำมาหากิน และช่วยให้เศรษฐกิจตอนนี้ผ่านพ้นไปก่อน เมื่อผ่านพ้นไปแล้วจะกลับมาพูดเรื่องนี้กันใหม่ก็ไม่เป็นไร เพราะการออกมาเวลานี้มันไม่เหมาะสม ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณหรือใครก็ตาม