xs
xsm
sm
md
lg

“แม้ว”ป้ายสี"ป๋า"ผู้มีบารมีฯ วางแผนล้มอำนาจ-จี้ปรองดองบีบ"มาร์ค"ยุบสภาเริ่มต้นใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ยังไม่หยุดป่วนชาติ
“แม้ว”วิดีโอลิงก์โผล่หน้าที่ทำเนียบ พล่าม“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” คือ “ป๋าเปรม”อยู่เบื้องหลังวางแผนโค่นล้ม เพราะผูกพันประชาธิปัตย์ ตอนเป็นนายกฯ 8 ปี กล้ว ปชป.เป็นฝ่ายค้านนาน พ้อโดนรุมรังแก กัดศาล 2 มาตรฐาน ตนทำอะไรก็ผิด ลงท้ายจี้"มาร์ค"ยุบสภา อ้างมาเริ่มกันใหม่ ย้อนไปก่อน 2 เม.ย.49 ส่วนเรื่องฟ้องร้องให้ยกเลิกทั้งหมด
 
 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปราศรัย

เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น.วันที่ 27 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ได้กล่าวปราศรัยผ่านระบบวิดีโอลิงก์มายังที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยได้เปิดเผยถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่อยู่เบื้องหลังการโค่นล้มรัฐบาลของเขา เมื่อปี 2549 ว่า คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งในช่วงนั้นได้เดินสายไปพูดตามที่ต่างๆ เพื่อด่าตน และทำให้ข้าราชการในขณะนั้นเริ่มปล่อยเกียร์ว่าง ทั้งที่รัฐบาลของตนมี ส.ส.ถึง 377 เสียง

พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า ที่ พล.อ.เปรม พยายามโค่นล้มตน เพราะมีความผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์ จากการที่เป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปี โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ ให้การสนับสนุน เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านนานเกินไป จึงเป็นห่วงพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ นายอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกฯ แล้ว พล.อ.เปรม ออกมาบอกว่า เชียร์รัฐบาลชุดนี้

สำหรับรายละเอียดบรรยากาศการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เป็นวันที่สองว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นต้นมาจนถึงช่วงบ่ายนั้นบรรดาผู้ชุมนุมบางตาเพราะอากาศร้อนจัด ตำรวจสันติบาลรายงานตัวเลขในช่วงเช้าจนถึงบ่ายว่ามีประมาณ 5,000 คน แต่เมื่อถึงเวลา 17.00น.เป็นต้นมานั้นประชาชนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น และจนถึงเวลา 19.30 น.นั้นมีรายงานว่าประชาชนมาชุมนุมที่ทำเนียบ ราว 20,000 คน เพื่อรับฟังและติดตามการปราศรัยผ่านวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างการหลับหนีคดีในต่างประเทศ และประกาศจะแฉรายชื่อผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองจนทำให้การเมืองล้าหลัง รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนในช่วง 3 ปีเศษที่ผ่านมา

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่ง ระบุว่า จากวันนี้เป็นต้นไป พ.ต.ท.ทักษิณ จะปราศรัยผ่านวิดีโอลิงก์บนเวทีนี้ทุกวันในฐานะคนเสื้อแดงคนหนึ่ง จากนั้นเวลา 20.00 น.นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดงได้ขึ้นกล่าวปราศรัยเกริ่นนำก่อนที่จะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ารายการบนเวที นายวีระ บอกว่า มวยคู่ที่หนึ่งชกกันดุเดือด อีกคู่หนึ่งที่ชกลมอยู่นั้นก็น่าจะดุเดือดเข้าไปใหญ่ จากนั้น นายวีระ ได้ยกคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่พูดถึงเบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.มาเล่าบนเวที โดยมีเสียงโห่ร้องของคนเสื้อแดงดังสนั่นในช่วงที่ นายวีระ อ้างคำพูดของ พล.อ.พัลลภ ว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี มีส่วนเกี่ยวข้องในการรัฐประหารและยังได้ยืนยันถึงบันได 4 ขั้น ในการทำลายพรรคไทยรักไทย ที่คิดโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.และอดีตประธาน คมช.พร้อมกับเย้ยหยันนโยบายเศรษฐกิจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ นายวีระ ยังได้กล่าวว่าช่อง 7 นำเสนอข่าวคนเสื้อแดงอย่างลำเอียง

เมื่อเวลา 20.30 น.หลังจากมีการเชื่อมสัญญาณเสร็จสิ้นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เริ่มต้นปราศรัยด้วยการทักทายว่า สวัสดีพี่น้องที่เคารพรัก บางคนอาจฟังตนที่ จ.เชียงใหม่แล้ว บางคนอาจจะยังไม่ได้ฟัง แต่วันนี้โทรมกว่าตอนเชียงใหม่ เพราะว่าไปเดินทางไป เมื่อคืนนี้วันเดียวอยู่ 3 ประเทศ ก็เหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็ได้ผลดีกับการสานความสัมพันธ์ระยะยาวกับประเทศไทย

“ผมเข้าใจว่าเหนื่อย ร้อน บางคนอาจจะหิว แต่ก็ยังอดทนรอคอยให้ผมมีโอกาสพูดจาทักทายกับท่าน ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกๆ ท่าน พี่น้องเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตย ผู้รักความเป็นธรรม ที่มารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ผมตั้งใจจะพูดแต่ว่ามันเดินทางลำบากหน่อยก็เลยพูดสั้นๆ แต่ว่าตั้งใจจะพูดเพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทยในเรื่องความขัดแย้ง ที่เราจะหาทางออกกันยังไง นะครับ ก็เป็นการเสนอทางฝ่ายผม แต่คนอื่นเขาจะเอาหรือไม่เอาก็ไม่ว่ากัน แต่ว่าสรุปแล้วผมต้องทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด

“พี่น้องครับ ต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวแท็กซี่ ที่ได้พาพวกท่านทั้งหลายมาที่นี่ โดยไม่เก็บตังค์ หรือเก็บตังค์ถูกๆ แล้วก็พี่น้องในต่างจังหวัดก็ดี บางคนนี่ก็บริจาคช่วยพาคนอื่นเขามา ก็เป้นครั้งประวัติศาสตร์ครับ ที่พี่น้องมาชุมนุมกัน แล้วก็เสียสละทุนทรัพย์กันคนละเล็กละน้อย บางที่ก็จัดโต๊ะจีนหัวละร้อยสองร้อยบาท แล้วในที่สุดก็รวบรวมเงินกันมา

“ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับล่างนี่ ก็ต้องยอมรับว่าเขาก็มีฐานะยากจน พ่อแม่เขาก็เป็นคนจน หาเช้ากินค่ำ และเขาก็ได้รับผลกระทบจากภาวะพวกนี้ เศรษฐกิจพวกนี้และการเมืองที่มีปัญหา เขาก็เลยได้ให้ความเป็นธรรมแก่พวกท่านทั้งหลายที่ได้มาที่นี่จากต่างจังหวัด

“ต้องขอขอบคุณพี่น้องทหารที่อยู่ในทำเนียบที่อยู่ด้วยความเรียบร้อยเพราะว่าเราคนไทยด้วยกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเสื้อแดง เป็นคนที่มีวินัย แต่ว่าอาจจะมีการปลอมเป็นเสื้อแดงทำท่าจะไปบุกที่สนามบินบ้าง นั่นของปลอมทั้งนั้น ของจริงอยู่ที่นี่ อยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้ เพื่อจะมาร่วมอุดมการณ์กันว่า เราจะเรียกประชาธิปไตยของเราคืนมาได้อย่างไร เรียกความเป็นธรรมกลับคืนสังคมไทยได้อย่างไร ใช่ไหมครับ

(ระบบสัญญาณเสียงการโฟนอินขัดข้อง พ.ต.ท.ทักษิณถามว่าได้ยินหรือไม่ สักพักนายณัฐวุฒิตอบว่า ได้ยินตลอดครับท่านนายกฯ พูดชัดเจนตลอดเชิญเลยครับ)

“ครับ พี่น้องครับ วัตถุประสงค์ที่เรามารวมตัวกันนี่ ก็คงพูดให้ชัดว่าเรามารวมตัวกันเพื่ออนาคตของประเทศไทย เรากำลังมาตกลงกันว่า ระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงนี่ คือสิ่งที่เรารักเราหวงแหน เราอยากมันได้ไว้กับสังคมไทย เราต้องการเห็นสังคมไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริง เราอยากเห็นสังคมไทยที่มีระบบที่มีความยุติธรรม ถ้าเราไม่มีความยุติธรรมในที่สุดเราก็จะมีปัญหาเหมือนกับที่เจอเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เหมือนกับที่สมัยก่อนโน้น เพราะวันนี้เนี่ย เรื่องของกระบวนการอนุญาโตตุลาการก็เริ่มแล้ว หลายประเทศก็เริ่มแล้ว ถ้ามาลงทุนในประเทศไทยกลัวไมได้รับความเป็นธรรม ก็เริ่มบอกว่าขอใช้ศาลฮ่องกงบ้าง สิงคโปร์บ้าง เริ่มเกิดขึ้นบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นเราอย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิด เราอยากเห็นประเทศไทยที่มีอนาคต

“พี่น้องครับ มีคนที่เคยทำงานร่วมกับผมคนหนึ่งได้รับเชิญไปญี่ปุ่น ไปคุยกับบรรดานักธุรกิจญี่ปุ่นทั้งหลาย เขาบอกว่ายังไงรู้ไหมครับ เขาบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเห็นกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาก่อน เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยเด็ดขาด แล้วเขาก็เล่าให้ฟังต่อไปว่า ไอ้เครื่องบินของญี่ปุ่น เดิมทีเดียวอเมริกาเขาไม่ยอมให้ผลิต เขาก็เลยผลิต แต่วันนี้เขาเริ่มผลิตแล้ว เขาไปแอบศึกษา เขาไปแอบอะไรไป ผลสุดท้ายวันนี้นี่ เขาไปตั้งโรงงานประกอบเครื่องยนต์ ด้านเครื่องบินนี่ ที่เวียดนามครับ เพราะที่เวียดนามนี่มีเด็กที่เรียนคณิตศาสตร์จบมาใหม่ๆ เยอะ เขาก็เลยเอาไปไว้ที่เวียดนาม ทำไมเขาไม่มาเมืองไทย นี่คือตัวอย่างของการสูญเสียโอกาสดีๆ ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นกับไทยใกล้ชิดกันมาก แต่ก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราวันนี้

“เพราะฉะนั้นวันนี้ผมก็เลยอยากจะบอกกับบรรดาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งหลาย ผู้ใหญ่ในที่นี้คือคนที่มีอายุมากๆ ว่า ถึงเวลาหรือยัง ที่จะมองอนาคตให้ลูกหลาน ไม่ใช่เป็นลักษณะของการเอาชนะคะคานกันเอง หรือเป็นเรื่องของความไม่พอใจ พอใจไม่พอใจ หรือประวัติอันยาวนาน โกรธกัน หรืออะไรทำนองนี้ เราต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่เจ็บช้ำมานาน บทเรียนที่เราเจ็บช้ำ จากการปฏิวัติรัฐประหาร จากเผด็จการที่เข้ามาทำให้ประชาธิปไตยที่แท้จริง มันเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าครับพี่น้อง มันเกิดจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะจบ

“เมื่อก่อนนี้เราก็คิดว่าคงจะไม่มีแล้ว แต่มันก็มีขึ้นมาจนได้ เพราะอะไรครับ เพราะเราไม่ยอมพูดความจริงกันยังไง เพราะเราเนี่ย ตั้งกรรมการขึ้นสอบข้อเท็จจริงครึ่งเดียว เราไม่เคยพูดความจริงเลยทั้งหมด ในที่สุดเราก็ไม่รู้ความจริง เหมือนกับว่าเราเสียค่าเล่าเรียนแล้วไม่เคยจบ เรียนไม่เคยจบ ไม่ได้ประกาศนียบัตรซักที เราไม่เคยจบ นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ประชาธิปไตยแล้วไม่เคยจบ ล้มแล้วล้มอีก ล้มเพราะอะไรก็ไม่พูดกัน ก็อยู่กันแบบนี้ ก็ลืมไป แต่วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องพูดให้ชัดเจน เราต้องเลิร์น เราต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่เรา ที่ผ่านมาให้ได้ เพราะฉะนั้นเราก็คงต้องพูดกันให้จริงๆ ก็มัวเกรงใจกัน ก็คงไม่ได้ เพราะประเทศไทยเราชอบเกรงใจกัน พอเกรงใจปุ๊บเราก็ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริง พี่น้องคนไทยก็ไม่มีโอกาสรู้

“วันนี้ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ไม่ใช่เพื่อผม ไม่ใช่เพื่อผม แต่เพ่อลูกหลานเราในอนาคตว่า ประเทศเราจะอยู่ยังไง ลูกหลานเราจะเติบโตขึ้นมาอย่างไร ความสามารถในการพัฒนาตัวเราเองจะมีแค่ไหน ในเมื่อถ้าเรายังต้องมีปัญหากันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นผมก็ขอเท้าความนิดหน่อย แล้วจะเล่าว่า อะไรคือผู้มี พระบารมี อ่า อะไรคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ นะครับ

“ก็ขอเล่าอีกนิดหนึ่ง อาจจะย้อนไปนิดหน่อย อาจจะซ้ำกับที่เชียงใหม่ แต่ว่าจะเอาสั้นๆ ว่า ที่มาของความวุ่นวายนี่ พี่น้องคงจำได้ว่า ปลายปี 2547 ก่อนที่จะเลือกตั้งต้นปี 48 ก็ได้มีการรวมตัวกันเล็กน้อย เล็กๆ ที่สนามหลวง ก็มีสหภาพแรงงานคนหนึ่ง ผมจำไม่ได้ของนครหลวง ร่วมกับเอกยุทธนี่(นายเอกยุทธ อัญชัญบุตร) แล้วก็ทางคุณประชัย(นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์) ก็คือเป็นการรวมตัวของคนที่ไม่พอใจผม หรืออาจจะสูญเสียผลประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ ก็ไปรวมตัวกันเล็กๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นฮะ

“แต่ต่อมา พอปี 48 หลังจากเลือกตั้งแล้ว ตอนเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยมี 377 เสียง บางคนบอกว่ารัฐบาลเข้มแข็งเกินไป พรรคฝ่ายค้านอ่อนแอเกินไป ปลายปี 2548 เกิดกระบวนการที่รวมตัวกันของพันธมิตรฯโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป้นหัวหน้าทีมก็รวบรวมตัวกันขึ้นมา เริ่มต้นที่สวนลุมพินีถ้าจำไม่ผิด โดยการเอื้อเฟื้อของนายอภิรักษ์ ผู้ว่า กทม.ปัจจุบัน เอ้ยๆ ตอนนั้น ก็ให้สถานที่ ก็ให้ตลอดฮะ ให้ทุกอาทิตย์ นะครับ แล้วก็พรรคประชาธิปัตย์ก็คงช่วยทางอ้อม หรือทางตรงบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มีคนของพรรคประชาธิปัตย์นี่ขึ้นเวทีบ้าง อยู่ข้างเวทีบ้าง ขนคนมาบ้าง นั่นก็คือสิ่งที่ได้เริ่ม การเริ่มต้นของการต่อสู้นอกระบบขึ้นมา นะครับ แค่นั้นไม่เป็นไร

แต่ปรากฏว่ามีองคมนตรีบางท่านได้ไปเดินสื่อ ไปบอกกับสื่อ และที่ผมเคยบอกให้ฟังว่า ไปแอบอ้างว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่เอาผมแล้ว ให้สื่อตี และผมพูดกับสื่อแล้วสื่อก็ยอมรับสารภาพตรงนี้ แต่ผมยังไม่ขอเปิดเผยชื่อนะครับ แต่ว่าเป็นองคมนตรีบางคนนะครับ องคมนตรีส่วนใหญ่ไม่มี บางคนเท่านั้น เดี๋ยวผมจะพูดถึงชื่อ ก็เลยเกิดม็อบมีเส้นสิครับทีนี้ เอเอสทีวีได้รับการคุ้มครองจากศาลปกครอง คุ้มครองจนถึงปฏิวัติแล้วก็ยังไม่เลิกคุ้มครอง คุ้มครองให้ออกอากาศล้มล้างรัฐบาล ใช้คำพูดที่หยาบๆ โกหกตลอดเวลา แล้วรัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไมได้ จนผม ผมก็ ต้องพูดความจริงขึ้นมาวันนั้น แต่ก็ไม่กล้าพูดเต็มที่ เพราะคำว่าเกรงใจยังอยู่

“วันนั้นพี่น้องคงจำได้ว่า ผมประชุมข้าราชการ ที่ตึกสันติไมตรี ผมก็เลยบอกข้าราชการทุกคนให้ทำหน้าที่ เต็มที่ เพราะตอนนั้นเริ่มแล้ว ข้าราชการเริ่มเกียร์ว่างแล้วเพราะรู้ว่ารัฐบาลเริ่มมีปัญหา เริ่มถูก ทั้งๆ ที่มี 377 เสียง ก็เริ่มถูก อ่า ถูกๆๆ ถูกผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญแทรกแซง ก็เริ่มมีการ มีการนิ่ง ไม่ทำงาน ผมก็เลยกระตุ้น ต้องบอก ทำงานเถอะ ทำงานได้แล้ว แล้วผมก็บอกว่า มัน ที่มันเป็นอย่างนี้ รัฐบาลทำอะไรไมได้นี่ ก็เพราะมี ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ แปลว่าอะไรครับ แปลว่าในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้เขามีโครงสร้างของการจัดการอำนาจนั้นๆ อยู่ในมือเลย แต่บังเอิญมีบารมี สามารถแอบสั่งงานได้ แล้วคน ข้าราชการก็เกรงใจ แล้วก็ต้องปฏิบัติตาม โดยที่ยอมเลี่ยง ยอมผิดคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยตรง นั่นคือสิ่งที่ผมเรียกคำว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ

“แล้วก็คำว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญก็กลายเป็น เป็นที่ฮือฮามาก แล้ววันนั้นเนี่ย นายสนธิ ลิ้มนี่แหละ ก็ไปกล่าวหา บอกไปเลยว่า ผมหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว ผมมิบังอาจ ผมมีความจงรักภักดี ผมมิบังอาจ เอื้อมถึง ที่จะไปถึงขนาดนั้น เเต่จริงๆ แล้ว ผมหมายถึง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ครับ

“ที่ผมหมายถึงอย่างนั้น แต่ผมไม่กล้าพูดวันนั้น แล้ว ผม แล้วก็มีคนของพลเอกเปรมนี่แหละ โทรมาบอกว่า พูดให้ชัดๆ ได้ไหม ว่ามันไม่ใช่ พล.อ.เปรม ก็มันใช่อะ ผมก็เลยไม่พูด ไม่ต้องอะไรเลย เพราะอะไร ก็เพราะว่าท่านนี่ จากนั้นท่านเดินสายเลยนะครับ แต่งเครื่อง แต่งเครื่องแบบทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ แต่งเครื่องแบบแล้วก็เดินสายด่าผมเลย”


หลังจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้อัญเชิญพระราชดำรัสที่พระราชทาน ขณะเสด็จไปเปิดทำเนียบองคมนตรีว่า องคมนตรีเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์เท่านั้นและไม่มีหน้าที่ไปเป็นที่ปรึกษาของคนอื่นไม่ใช่ไปแนะนำคนอื่น หากไปแนะนำคนอื่นก็เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะองคมนตรี ขอให้ระมัดระวังในตรงนี้ด้วย พระองค์ท่านสถิตย์อยู่ที่สูง แต่คนรอบข้างมาเกี่ยวข้องการเมืองทำให้พระองค์ท่านเสื่อมเสีย สิ่งที่ พลเอกเปรมและพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ามายุ่งการเมือง ทำให้สถาบันเสียหายหากท่านจะยุ่งการเมือง การเมืองจะยุ่งกับท่านด้วย ขอเรียนว่าโปรดอยู่นิ่งๆ อย่ายุ่งกับการเมืองเลย

พลเอกเปรม เป็นนายกฯ 8 ปี แต่ไม่เคยลงเลือกตั้งเลย ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ มาตลอด เหตุนี้ พลเอกเปรม จึงใกล้ชิดพรรคนี้ และเป็นห่วงพรรคนี้เป็นพิเศษ เมื่อพรรคไทยรักไทย ชนะเลือกตั้ง 2 ครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตนห่วงพลเอกเปรมไม่อยากให้ยุ่งการเมือง ท่านพูดว่าไม่ยุ่งการเมืองไม่ได้เพราะท่านยุ่งเต็มๆ

นายปีย์ มาลากุล บอกว่า พลเอกสุรยุทธ์เชิญพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี มาหารือ และพูดว่า มี 3 คนไปเข้าเฝ้าฯ 901 คือ พลเอกเปรม พลเอกสุรยุทธ์ และองคมนตรี อีกคนว่า จะขอทำงานถวาย โดยจะจัดการตนเพราะไม่จงรักภักดีและทุกคนไม่หวังตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่ตนไม่เชื่อว่า 901 จะทรงรับรู้เพราะท่านสถิตย์อยู่ที่สูงไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย

จากนั้นอีกสี่คนมาร่วมประชุม คือ ที่บ้าน นายปีย์ คือ นายปราโมทย์ นาครทรรพ ที่แต่งนิยายปฏิญญาฟินแลนด์ ซี่งศาลสั่งลงโทษจำคุกหนึ่งปี ปรับหนึ่งแสนบาท แต่ให้ลงอาญา นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครอง นายจรัญ ภักดีธนากุล นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ก็ไปร่วมประชุม จากนั้นเดินหน้าจัดการตนอย่างชัดเจนและทำให้กระบวนการต่างๆ ผิดเพี้ยนหมด เพราะทุกคนเชื่อว่าพระจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส แต่พระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงไม่ทราบเรื่องเลย แต่ไปแอบอ้างกัน ทำให้การทำงานบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนหมดจนวุ่นวายและมีการปฏิวัติ โดยพลเอกเปรม นำนายบังไปเข้าเฝ้าฯ จนคิดว่า พลเอกเปรม คือ หัวหน้าคณะปฏิวัติ จากนั้น พลเอกสุรยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ พลเอกเปรม ก็ชมว่า เหมือน นายวินสตัน เชอร์ชิลส์ นายกฯ อังกฤษ และวันที่ 26 มี.ค.พลเอกเปรมที่เป็นประธานองคมนตรียังบอกว่าประเทศไทยโชคดี และเชียร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ

“ป๋าครับ ป๋าเป็นประธานองคมนตรีนะครับ ที่พูดเพราะผมรักเละเคารพป๋า เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ป๋าอายุมากกว่าพ่อผม สิ่งที่เกิดขึ้นป๋ามาเล่นการเมืองทำไม ผมไม่อยากเห็นเลยครับป๋า ป๋าอย่าทำเลย ป๋าลงมาเล่นการเมืองสั่งนู้นสั่งนี่ ทำให้กระบวนการผิดเพี้ยน ป๋าต้องอย่าทำครับ เราต้องอยู่ในประเทศที่มีระบบถูกต้อง เป็นประชาธิปไตยที่สากลยอมรับและให้ความเป็นธรรมกับสังคม อย่าสองมาตรฐานแบบนี้ ส่วนพลเอกสุรยุทธ์นั้นแอกทีฟมาก ลงไปลุยสื่อและขยันหลายเรื่อง เรื่องนี้ต้องถามจ่ายักษ์และนายสนธิว่าคิดอะไร

“ตอนที่ผมโดนคาร์บอมบ์จ่ายักษ์ บอกว่า หากฆ่าไม่ตายก็ปฏิวัติแล้วให้พลเอกสุรยุทธ์เป็นนายกฯ นายสนธิก็ไปพูดที่อเมริกาว่า พลเอกสุรยุทธ์โทรมาหาหากเป็นนายกฯ จะให้ทีวีช่องหนึ่ง เรื่องนี้นายสนธิโกรธผมที่ไม่ให้ทีวี เรื่องนี้มันเป็นเรื่องอีเดียต แต่ทำให้ประเทศจมไปเลย เสร็จแล้วยังไม่พอ ตอนที่ผมเป็นนายกฯ นั้น รองนายกฯ คนหนึ่งของผมที่มันเพี้ยนๆ ตอนหลังตนเลยรู้ว่า อ๋อ! มันไปเชิญพรรคพวกผมที่เป็นนักธุรกิจมาเป็นรัฐมนตรี และมีข่าวว่า พลเอกสุรยุทธ์ เรียกคนๆ นั้นไปพบและจะให้เป็นนายกฯ มาตรา 7 มันก็ฟิต และไปชวนนักธุรกิจมาทำงานกันใหญ่”

“กรณีที่เกิดขึ้น กกต.ก็เหมือนกันเพราะมีการเรียก พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ไปพบและมีพลตรีจำลองอยู่ด้วยโดยบอกว่าให้ออกได้แล้วไม่อย่างนั้นจะติดคุก ตอนหลัง พล.อ.จารุภัทรก็ลังเลในที่สุดกลัวก็ลาออก แต่ก่อนเกิดเรื่องผมบุกไปที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อพบ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปถามว่า ท่านก็บอกว่าผมเป็นพลร่ม ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมก็บอกว่าผมก็พลร่ม พี่ไม่พอใจก็บอกผมเลย พูดกันอย่างลูกผู้ชาย ท่านก็น่ารัก ท่านก็เดินมาส่งผมที่รถ ในที่สุด กกต.ก็ต้องติดคุกถูกลงโทษ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะองคมนตรีเล่นการเมือง พี่น้องครับ เมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อใด พวกเขาฟังองคมนตรีเพราะสังคมมองว่าองคมนตรีใกล้เบื้องพระยุคลบาท สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว ผมยืนยันว่าเจ้านายสองพระองค์ไม่เคยยุ่งการเมืองไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเลย”

แต่องคมนตรีสองท่านนี้ลงมายุ่งการเมือง วันนี้ท่านต้องทำใจ หากท่านจะโดนการเมืองเล่นแล้วล่ะ พลเอกสุรยุทธ์ไม่พอใจสิ่งตนที่ไปย้ายท่าน ตนโทร.ไปปลุกตอนตี 1 ว่า ผบ.ทบ.ทำไมเคลื่อนย้ายกำลังทหาร ท่านบอกว่าไม่มีครับ ผลัดเปลี่ยนเวรธรรมดา จากนั้นไม่กี่วันไปยิงพม่าตายไป 300 คน ต่อมาก็ของบประมาณสามร้อยกว่าล้านบาทเพราะนำน้ำมันสำรองของกองทัพไปใช้หมดแล้ว ตนไม่ให้ แต่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ มาอ้อนตนว่าให้ไปเหอะ ในที่สุดก็ย้ายท่านไปเป็น ผบ.สส.ท่านอาจโกรธเรื่องนี้ตนก็ไม่รู้ ตนไม่มีอะไร จบเป็นจบ ไม่รู้ทำไมท่านมายุ่งการเมืองขนาดนี้หากจะยุ่งการเมือง ก็ลงมาเล่นการเมืองเลย

จากที่บ้านนายปีย์มีกระบวนการหลายเรื่องตามมา เช่นตนโดนลอบสังหารด้วยปืนสไนเปอร์ 2 ครั้ง ต่อมาโดนคาร์บอมบ์ 2 ครั้งคือที่สนามบินและสี่แยกซังฮี้ เท่าที่ตนถามว่าเบื้องหลังคนที่สั่งการชื่อนายบัง

ตอนที่ตนยุบสภา และฝ่ายค้านบอยคอตการเลือกตั้งจนวุ่นวายไปหมด ในที่สุดก็ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ก็ผิดแต่ไม่โดนยุบ เมืองไทยมีสองมาตรฐานเยอะ สีเหลืองทำอะไรได้หมด โดนจับก็ได้รับการประกันและไม่โดนฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ พันธมิตรฯ ยึดสนามบิน ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารก็ไม่มาช่วย มันจะช่วยอย่างไรเพราะทหารใส่เสื้อเหลือง และอยู่ในม็อบที่ยึดสนามบิน

แม้ชนะการเมืองได้แต่ชนะหัวใจประชาชนไม่ได้หรอก ประชาชนรู้ ไม่อย่างนั้นไม่เสียเงินมาชุมนุมที่นี่หรอก ศาลรัฐธรรมนูญก็เช่นกันยุบ 3 พรรคในวันเดียว สืบพยานวันเดียวก็สั่งยุบเลย คุณสมัคร สุนทรเวช ทำกับข้าวออกทีวีรับค่าอะไรแค่ 3 พัน ถึงกับปลดไม่ให้เป็นนายกฯ ทั้งที่โดยหลักการ ศาลต้องยกประโยชน์ให้จำเลย แต่นี่ในกฎหมายไม่มีก็ไปเปิดพจนานุกรมเอา คนเป็นนายกฯ ปลดกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ ประเทศจะอยู่กันอย่างไร อย่างนี้ ฝรั่งถึงบอกว่า Thailand in the joke

องค์กรอิสระทั้งหลายต้องทำหน้าที่ตรงไปตรงมาต้องเลิกฟังคนนั้นคนนี้ที่แอบอ้าง ศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ วันนี้เกิดคำถามมากมายว่ายุติธรรมจริงไหม ตุลาการบางคนยอมรับฟังและเชื่อคำสั่งของบางคน ควรทำหน้าที่ให้ตรงไปตรงมา ขอให้ผมเป็นเหยื่อรายสุดท้ายที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่พูดเพราะอนาคตของลูกหลานเรา ต้องมีระบบที่ดี ไม่อย่างนั้นจะวุ่นวายเสียหายกันหมด ป.ป.ช.ก็มีตัวแทน ปชป.อยู่เช่นกัน ส่วนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นระบบศาลเดียวนั้น ยูเอ็นไม่ยอมรับ มันเป็นระบบไต่สวน คือให้หน้าที่นำสืบเป็นของคนที่ถูกกล่าวหา ให้คนที่ถูกกล่าวหาพิสูจน์เอาเองว่าตัวเองไม่ผิด ผมไม่เชื่อว่าให้คนกลุ่มหนึ่งกล่าวหาแล้วตัดสินจะให้ความเป็นธรรม และเรื่องของผมมันเรื่องเล็ก แต่เรื่องของชาตินั้นมันใหญ่กว่า ขอฝากถึงทหารกับการเมืองว่า ถ้าอยากเล่นการเมืองก็ออกมาเลย

“ป๊อกเอ้ย (พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.) ตุ้ยเอ้ย(พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา เสนาธิการทหารบก) พาลูกน้องกลับที่ตั้ง หากเพื่อนอยากเล่นการเมืองก็มาเลย เลิกอ้างสถาบัน วันนี้ภาระอยู่ที่ภาคใต้ยังไม่จบ มีข่าวทหารถูกตัดคอ ถูกยิงตาย ตัดของลับไปทำมนต์ดำ ช่วยไปดูแลกันบ้าง ไม่ต้องมาช่วยกันตั้งรัฐบาล ก็เลิกเถอะ เลิกเถอะอย่าเชื่อน้ำมนต์ของคนที่ไปจากผม และผมเคยเชื่อมาแล้ว หากเพื่อนจะเล่นการเมืองก็ออกมา อย่าเอาสถาบันมาเล่นด้วย เวลานี้ผมได้ข่าวว่าของบพันล้านบาทไปให้ กอ.รมน. เพื่อไปล้างสมองชาวบ้านแต่อ้างเศรษฐกิจพอเพียง ระวังชาวบ้านจะไม่ให้ทหารเข้าหมู่บ้าน อย่าไปเลย เขาไม่ได้โง่ พล.อ.เปรมอย่าเข้ามายุ่งกับการเมือง และอย่านำทหารมายุ่งกับการเมือง ลากประเทศถอยหลัง 15 ปี วันนี้ โลกทั้งโลกจนไป 7 ปี แล้วกำลังลากความทุกข์ยากไปอีกเพื่ออะไร”

รัฐธรรมนูญ 40 กับ 50 เมื่อก่อนนั้นการเมืองไทย รัฐบาลเดี๋ยวล้มเดี๋ยวล้ม ไม่มีเสถียรภาพ แต่รัฐธรรมนูญ 50 ส.ส.51 คนขู่นายกฯ ให้ขาสั่นได้ มันไม่มีประโยชน์ทั้งทำลายระบบพรรคและการเมือง นายกฯ ไปเป็นผู้นำประเทศไปประชุมที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจตัดสินใจ เพราะติดมาตรา 190 ต้องมาถามสภาก่อนเพราะนายกฯ ไม่มีอำนาจ ไม่มีศักดิ์ศรี ต่างประเทศก็ไม่ให้ความเชื่อถือ รวมทั้งการแต่งตั้งองค์กรอิสระ และการแต่งตั้ง ส.ว.เช่นกันเพื่อตอบแทนพันธมิตรฯ มีการเลือกดอกไม้มาประดับบ้างเพื่อให้ดูหน้าตาดี เพราะมีคนแทรกแซงไม่ให้กติกาเป็นกติกาและคุณอานันท์ ปันยารชุน คนร่างรัฐธรรมนูญ 40 ที่มาด่าผมทำไมไม่รับผิดชอบอะไรบ้าง

การปฏิวัติเป็นสิ่งเลวร้าย เราต้องเรียนรู้ว่าเกิดเพราะอะไร เกิดการปั่นป่วนย้ายข้าง ในที่สุดประเทศก็ช้ำและแย่ กฎหมายที่แย่ องค์กรอิสระแย่ ข้อกล่าวหาแย่ มันมีสองมาตรฐานตลอดใครอยู่ข้างผมผิดหมด ใครไม่อยู่ข้างผมถูกหมด นายบรรหาร ศิลปอาชา มาร่วมกับพลังประชาชน ป๋าก็งอน แต่ตอนนี้เข้าบ้านได้แล้วเพราะหนุนพรรคประชาธิปัตย์ ป๋าก็หายงอน เพราะชอบหลานสองคนคือหลานยายเนียมและหลานยายเที่ยง

สื่อมวลชนลองถามตัวเองว่าช่วงที่ผมเป็นนายกฯ กับตอนนี้ โดนแทรกแซงตอนไหนมากกว่ากัน สื่อบางคนมาเล่าให้ฟังหวังว่าคงจะใช้วิชาชีพในทางที่ดี วันนี้ถามว่าบ้านเมืองวุ่นวายอย่างนี้ ถามว่าจะเอายังไงดี ถ้า พล.อ.เปรมไม่ยุ่งการเมือง ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่นี่ท่านมายุ่งการเมืองจนคนสงสัยว่าเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จริงไหม หรือท่านต้องการตอบแทนพรรคนี้มากว่าตอบแทนแผ่นดิน นี่คือสิ่งที่คนสงสัย วันนี้ขอร้องว่าท่านที่ถวายงานรับใช้ ควรหยุดอ้างสถาบันและทำให้เสื่อมเสีย เพราะสังคมไทยยังต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมเคยกราบบังคมคมทูลด้วยความสัจจริงว่า สถาบันต้องอยู่คู่สังคมไทย เพราะเป็นสถาบันที่ที่เคารพ ศรัทธา ของประชาชน

ผมนี่ โดนหลายเรื่องตอนที่เป็นนายก ถูกปฏิวัติและตนไม่มีเวลาแก้ตัวเพราะมัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาตอบโต้ ส่วนกรรมที่ พล.อ.สุรยุทธ์บอกให้เป็นตามกฎแห่งกรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นกฎแห่งกรรมของใคร เพราะว่าผมก็เคยบวชเรียนมาชีวิตเหมือนผีซ้ำด้ามพลอย ถูกปฏิวัติเสร็จลูกน้องก็ไปเพ็ดทูลว่าผมจะล้มล้าง

“โอ้โหคนอย่างผมหรือ ผมไม่ทะเยอทะยาน แต่ผมเป็นคนชอบทำงาน นิสัยผมคือ คนบ้างาน ไม่งั้นประชาชนไม่เลือกเยอะขนาดนี้ ผมรักประเทศชาติ รักสถาบัน อยากทำให้ประเทศชาติมีศักดิ์ศรีในสายตาโลก นอกจากนี้ยังมีคนใกล้ชิดของผมบางคนกลับไปทูลความเท็จหวังที่จะเป็นนายกหลังการปฏิวัติ แต่นายกเขามีการจองกฐินกันไว้แล้ว และมีคนมาบอกว่าที่อยู่กับผมไม่ได้ก็ไปเพ็จทูลว่าอยู่ไม่ได้เพราะจะล้มล้าง โห เอ็งจะไปเอาตังค์เขาก็บอกมาเถอะอย่ามาโกหก บาปกรรม”

ยอมรับว่าที่โดนผมเจ็บ ย้ำว่าเจ็บ แต่ไม่เป็นไรผมไม่ต้องดิ้นขนาดนั้นเพราะปรับตัวได้กับการอยู่ต่างประเทศและไม่ต้องการให้ข้ออ้างผมเป็นข้ออ้างใดใดทั้งสิ้น ผมห่วงใยประชาชนและอยากให้บ้านเมืองกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว มีความมั่นคงทางการเมือง ไม่ใช่ความมั่นคงทางการทหารที่ซื้อแต่อาวุธ เพราะถ้าการเมืองไม่กลับคืนมาปัญหาจะแก้ได้ยาก

“พี่น้องสีแดงมาช่วยกันเถอะ ที่มาร่วมกันวันนี้เพราะประชาธิปไตยใช่ไหม ที่มองว่าถูกขโมยประชาธิปไตยไป ต้องทำให้กลับมาอย่างจริงจัง เราอยากเห็นความเป็นธรรมใช่ไหม เราอยากเห็นการเลิกสองมาตรฐานใช่ไหม สีแดงผนึกกำลังไม่มีวันเลิกรา ถ้าประชาธิปไตยไม่กลับคืนมาสีแดงต้องไม่หยุด องคมนตรีและทหารต้องหยุดเล่นการเมืองได้แล้ว ฉะนั้นเพื่อน ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทยทั้ง 111 และพลังประชาชนที่ถูกตัดสิทธิ์ อย่าเหนียมเพราะท่านถูกทำร้าย ขอให้มาขึ้นเวทีเสื้อแดงทั่วประเทศได้แล้ว แล้วพี่น้องที่คิดถึงอนาคตของประเทศไทยต้องมารวมตัวกัน ประชาธิปไตยจะได้คืนมา สู้จนกว่าระบบสองมาตรฐานจะถูกยกเลิกและอย่าให้สถาบันองคมนตรีมายุ่งกับการเมือง

นายอภิสิทธิ์บอกว่าอย่าให้ผมไปยุ่งกับผู้ใหญ่ แต่ผมก็เป็นผู้ใหญ่ เป็นอดีตนายก ไม่ใช่เด็ก ถึงแม้นายกฯ ตอนนี้จะเป็นเด็ก องคมนตรีผมเคารพทั้งวัยวุฒิ ทั้งคุณวุฒิ แต่ถ้าท่านเล่นการเมืองผมก็ต้องเล่นการเมืองด้วย เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนบอกว่าองคมนตรีเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ แต่มันไม่ใช่ ท่านเล่นการเมืองไม่ได้ หลายคนเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาผมเจอผมยังยกมือไหว้ให้เกียรติ แต่การให้เกียรติต้องให้ทั้งสองฝ่าย ถ้ามาเล่นการเมืองอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ การเมืองก็ต้องเล่นงานท่าน

ทางออกของประเทศตอนนี้ก็คือว่าเราต้องเริ่มต้นกันใหม่ เราสู้กันไปที่ฟ้องกันมา ที่กลัวว่าผมกลับมาล้างแค้นกันไม่มี แต่เพราะมันไม่มีใครยอมใคร ถ้าเราหยุดแล้วเริ่มต้นใหม่ แต่นี่ไม่มีใครยอมหยุด ไม่มีใครยอมใคร ซึ่งเสื้อแดงของเราจะไม่บอกว่านายอภิสิทธิ์ต้องลาออก เพราะเราต้องการความชอบธรรม เราเคารพในการตัดสินใจของประชาชน ให้ประชาชนตัดสิน เพราะประเทศช้ำแล้ว

“ทางออกก็คือ เราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ วันนี้ที่เราสู้กัน ฟ้องกันไปมาว่าไอ้นั่นจะติดคุก ไอ้นี่จะติดคุก ไม่มีใครยอมใครจริงๆ การเมืองก็รู้อยู่แล้วว่าคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ ก็เหมือนกับมาดากัสการ์ ที่เดินขบวนกันแล้วเอาทหารมากดดัน แล้วเอาเด็กอายุ 30 กว่าขึ้นมาบริหารประเทศ เราต้องการความชอบธรรมให้กระบวนการถูกต้อง ให้ประชาชนตัดสิน วันนี้ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญใหม่ ต้องเอารัฐธรรมนูญ 2540 เป็นตัวตั้ง เรื่องที่ฟ้องกันไปมาต้องยกเลิก ไม่ใช่เพื่อตน แต่วันนี้มันล่อกันไปมา จึงต้องออกเพื่อให้เริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้ทุกคนเข้าสู่สนามเลือกตั้งไม่ต้องบอยคอต แล้วให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลางและเป็นธรรม ทหารกลับกรมกอง ทุกฝ่ายกลับที่ตั้งแล้วเป่านกหวีดปรี๊ดแล้วความขัดแย้งจะเบาบางลง เรื่องฟ้องต้องยกเลิก

“วันนี้มันล่อกันนัวเนียหมดแล้ว เพราะมันเล่นการข้างเดียว วันนี้ต้องเริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้เหมือนวันที่ 2 เม.ย. 49 ให้เป็นการเลือกตั้งใหม่ให้ทุกคนสู่สนาม ยกเลิกกันให้หมด และมาแข่งจันกันใหม่ ผมไม่ลงเลือกตั้ง ประชาธิปัตย์สบายใจได้ แต่ขอให้สมาชิก111 ลงสมัคร เพราะการเมืองขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ คิดว่าวันนี้ต้องมีทางออกให้กับการเมือง รัฐบาลใหม่จะเป็นใครก็ได้ และทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากัน คิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใครจะเลือกใครไม่เป็นไร ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน

“ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ผมขอกราบป๋า(ยกมือไหว้)และพี่สุรยุทธ์ ผมจะไม่คิดร้ายหรือจาบจ้วง ไม่ได้พูดให้ท่านเสียหาย แต่มันคือความจริง ต้องพูด เพื่อจะได้ให้ประชาชนเข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสบายพระทัย และเพื่อให้ประชาธิปไตยกลับคืนมา และองค์กรอิสระจะได้ไม่ถูกแทรกแซงทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ให้คนต่อสู้เลิกต่อสู้ เพราะคนไทยด้วยกัน ผมขอและหวังว่าการปฏิวัติ 19 ก.ย. ให้เป็นครั้งสุดท้ายที่ทำความเจ็บปวดให้ประเทศไทย เพราะ 3 ปีไม่มีอะไรดีขึ้นเลย และพี่น้องตกงานกว่าทุกครั้ง และปีนี้ตกงานมากกว่าล้านคน

“พี่น้องครับผมใช้เวลามาพอสมควร จริงๆ มีเรื่องเศรษฐกิจและพรุ่งนี้จะพูดเรื่องเศรษฐกิจของเรา ของโลกและทางโลก ว่าผมเป็นนายกฯ ผมจะแก้อย่างไร แต่ไม่รู้รัฐบาลจะฟังหรือไม่”













กำลังโหลดความคิดเห็น