“ม็อบเสื้อแดง” เหิมใช้รถเครนยกตู้คอนเทนเนอร์ทิ้งคลองเปรม หยันอำมาตยาธิปไตยจะได้ลงคลอง! ขณะที่ ตร.ยืนดูเฉย แถมแสดงความถ่อยสกัดรถเสบียงอาหารไม่ให้เข้าไปส่งให้ทหารที่รักษาความปลอดภัยภายในทำเนียบฯ พร้อมกับขว้างขวดน้ำใส่นักข่าว ช่างภาพ ขณะเดียวกัน หัวขวดทำซ่าขึ้นรถปราศรัยวนรอบทำเนียบ โจมตี “นายกฯ” พร้อมยันจะไปลุยบ้าน “ป๋าเปรม” แน่ แต่ขอหารือกันก่อนว่าจะไปในวันไหน
วันนี้ (26 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างที่กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนขบวนออกจากสนามหลวงเดินทางมาถึง ถ.ราชดำเนินมาได้มีขบวน 9410 เสด็จผ่านบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ทำให้ผู้ชุมนุมที่ใช้เครื่องขยายเสียงต้องหยุดการใช้เครื่องขยายเสียงชั่วขณะพร้อมกับเดินอย่างสงบเสงี่ยม แต่ทันทีที่ขวบดังกล่าวเสด็จผ่าน กลุ่มเสื้อแดงได้เปิดเครื่องขยายเสียงพร้อมกับเรียกร้องกลุ่มผู้ชุมนุมให้เดินอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงยังทำให้การจราจรติดขัดบริเวณเลียบ สำนักงานเลขานุการกองทัพบก (สรก.ทบ.) ทำให้ทางคู่ขนานสะพานพระราม 8 ปิดการจราจรไปด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่เวลา 13.20 น. เมื่อกลุ่มขบวนคนเสื้อแดงทยอยมาถึงทำเนียบรัฐบาล กลุ่มข้าราชการในทำเนียบรัฐบาล ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลเป็นระยะๆ เหลือเพียงกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่ปักหลักนั่งนอนเรียงรายกันอยู่ในบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกบัญชาการ หรือ มุมอาคารต่างๆ ในทำเนียบรัฐบาลเพื่อรอผลัดเปลี่ยนประจำหน้าที่
สำหรับบรรยากาศด้านใน เจ้าหน้าที่ได้กางเต็นท์สีขาวบริเวณด้านในรั้วทำเนียบถนนหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อกันความร้อนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนดูความเรียบร้อย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ประกาศผ่านลำโพงในทำเนียบรัฐบาลว่า ขออย่าให้ผู้ชุมนุมเข้ามายังด้านในทำเนียบรัฐบาล หรือทำลายทรัพย์สิน เจ้าหน้าที่ทุกคนมาทำหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวกและขอให้ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ และถ้าเกิดผู้ชุมนุมพบบุคคลที่ไม่หวังดี เข้ามาสร้างสถานการณ์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันที โดยทางเจ้าหน้าที่จะดูแลทุกคนให้เปรียบเสมือนญาติพี่น้อง
ต่อมาในเวลา 13.30 น. กลุ่มมอเตอร์ไซค์คนเสื้อแดงกว่า 50 คันได้เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ขับผ่านเข้ามาบริเวณถนนพิษณุโลก วนเข้ามาถนนเลียบคลองเปรมประชากรข้างรั้วทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้แผงเหล็กกั้นปิดเหมือนทุกครั้ง จึงทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่ขับมอเตอร์ไซค์ เข้ามาได้โดยสะดวก และยังได้มีการบีบแตรรถ ทำให้มีเสียงดังหนวกหูไปทั่วบริเวณ ในขณะที่กลุ่มมอเตอร์ไซค์เสื้อแดงบางส่วนก็ได้ปิดถนนบริเวณเชิง สะพานชมัยมรุเชฐ ทำให้การจราจร ถนนนครปฐมปิดตาย
กระทั่งเมื่อเวลา 13.35 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลได้เดินเท้าออกมาดูแลความเรียบร้องยังบริเวณรั้วทำเนียบฯ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นได้ใส่หมวกกันน็อค และมีเพียงโล่เพียงเท่านั้น
สถานการณ์เริ่มชุลมุนวุ่นวายมากขึ้น เมื่อกลุ่มเสื้อแดงได้นำรถสิบล้อที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียง พร้อมกลุ่มผู้ชุมนุมที่เดินเท้านำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง นำผู้ชุมนุมเข้าสู่ด้านหน้าของทำเนียบรัฐบาล ตามมาด้วยรถเครนจำนวน 2 คัน ในขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้พยายามยกรถผู้ต้องขังจำนวน 4 คัน ออกจากบริเวณถนนดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.40 น. นายณัฐวุฒิได้ประกาศบอกกับผู้ชุมนุมว่าให้ผู้ชุมนุมช่วยกันยกตู้คอนเทนเนอร์ออกจากบริเวณถนนนครปฐม หน้าป้อมตำรวจใกล้กับสะพานอรทัย โดยบอกกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่าจะเอาตู้คอนเทนเนอร์ลงคลองเปรมประชากรให้หมด แสดงความหมายที่ว่า “อำมาตยาธิปไตยจะได้ลงคลอง” ท่ามกลางเสียงเชียร์โห่ร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมที่สามารถยกตู้คอนเทนเนอร์ไปทิ้งในคลองเปรมประชาข้างทำเนียบรัฐบาล จำนวน 2 ตู้ได้สำเร็จ โดยตู้ที่หนึ่งมีทรายบรรจุอยู่เต็ม ส่วนตู้ใบที่ 2 เป็นตู้เปล่า
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 500 นายที่ยืนปักหลักอยู่หลังตู้คอนเทนเนอร์ ต่างพากันยืนดูรถเครนยกตู้คอนเทนเนอร์ด้วยความหวั่นใจ จนกระทั่งกลุ่มเสื้อแดงได้เปิดทางได้สำเร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นั่งลงกับพื้นถนนเพื่อยึดพื้นที่ไว้ แต่ทางกลุ่มเสื้อแดงที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัวได้ผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจจนฝ่าเข้ามาถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษมได้อย่างสะดวก พร้อมกับพากันเดินปิดล้อมรอบๆ ทำเนียบรัฐบาลทันที
ทั้งนี้ ประตูทุกประตูของทำเนียบรัฐบาลได้ปิดตายสนิท มีลวดหนามกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง และถัดมาเป็นแผงกำลังของทหาร ที่ประจำการอยู่ทุกประตู อนุญาต เฉพาะสื่อมวลชนเข้าออกได้บริเวณประตูเล็กเปิดปิด ของประตู 8 เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้สกัดไม่ให้รถขนเสบียงอาหารของทหารที่นำมาให้ทหารที่มาประจำทำเนียบรัฐบาล จนรถเสบียงต้องถอยออกไปไม่สามารถเข้ามาได้
จากนั้นเมื่อเวลา 15.00 น.ภายหลังมีการยกตู้คอนเทนเนอร์ออก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง และนาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ก็ได้ขึ้นรถปราศรัย วนรอบทำเนียบรัฐบาล ได้ปราศัยโจมตีการทำงานของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทำการขอกู้เงินจากต่างประเทศ อ้างว่าส่งผลให้ประเทศไทยเป็นหนี้สินอีกครั้งหนึ่ง รวมไปถึงการทำงานของกระทวงยุติธรรมที่อ้างว่าไม่มีความยุติธรรมในการตัดสินคดีต่างๆ และกล่าวย้ำกับผู้ชุมนุมเสื้อแดง ว่าไม่ให้บุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลเป็นเด็ดขาด
นายจตุพร ยังกล่าวหานายอภิสิทธิ์ ว่าเป็นทาสในเรือนเบี้ยของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพราะทำเหมือนจะต้องฟังคำสั่งอยู่ตลอด ทั้งนี้ ยังกล่าวหาว่า ประธานองคมนตรียังคงเกี่ยวพันกับการเมือง อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ส่วนกรณีการโฟนอินของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้นหากมีการจัดการกับระบบเวทีเสร็จสิ้นทันภายในคืนวันนี้ จะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าวิดีโอลิงก์ทันที หากไม่ทันจะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ในเวลาประมาณ 19.00 น. เป็นต้นไป
นายจตุพรยังปากดีกล่าวท้าทายให้กองทัพทำการปฏิวัติหากเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองไม่เป็นปกติ และกล่าวว่าจะไปยังบ้าน"อำมาตยาธิปไตย"แน่ แต่กลุ่มคนเสื้อแดงขอหารือกันก่อนว่าจะไปในวันไหน
ด้านนายณัฐวุฒิกล่าวว่า เราจะทำการล้อมทำเนียบแบบ 100% และขอบอกทหารที่อยู่ในทำเนียบทุกคนว่า ทุกคนโดนล้อมไว้หมดแล้ว และการเคลื่อนขบวนรถปราศรัยในครั้งนี้ตนต้องการ ดูว่ามีอะไรรอยู่ตรงไหนในทำเนียบรัฐบาล
ต่อมาเวลา 16.00 น. ทางกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้เริ่มตั้งเวทีถาวรขึ้นบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ฝั่งถนนพิษณุโลก เพื่อใช้ในการปราศรัยของบรรดาแกนนำฯ ในช่วงค่ำ
งดวิดีโอลิงค์"แม้ว"
ต่อมา นายณัฐวุฒิ ยืนยันว่า จะไม่มีการวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาในสถานที่ชุมนุมในคืนนี้ โดยเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้แทน แต่วันนี้ตนจะขึ้นเวทียืนยันว่าสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวในการโฟนอินที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่เป็นสิ่งที่เลื่อนลอย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลาเดียวกันกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงมากกว่า 20 คน บริเวณหน้าประตู 1 ทำเนียบรัฐบาลได้ตะโกนต่อว่าและขว้างปาขวดน้ำเข้าผู้สื่อข่าวและช่างภาพสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี และผู้ช่วยช่างภาพ รวมทั้งเจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ที่เฝ้ารายงานสถานการณ์ข่าว
โดยเฉพาะของช่องเนชั่นทีวีในช่วงที่ผู้สื่อข่าว กำลังรายงานว่า มี”กลุ่มเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมีน้ำใจโยนขวดน้ำเย็นให้กับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจ” แต่กลับถูกกลุ่มเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งกลับใช้วาจาที่ถ่อยและสุดเถื่อนขว้างปาขวดน้ำใส่แทน
ต่อมาเมื่อเวลา 17.00 น. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.1) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจความเรียบร้อยภายในทำเนียบรัฐบาลว่า จากการประชุมติดตามสถานการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังยืนยันจะยึดเรื่องการป้องกันไม่ให้มีการกระทบระหว่างประชาชนกับตำรวจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของเรา ส่วนความกังวลเรื่องมือที่สามนั้นเชื่อว่าไม่เฉพาะตำรวจเท่านั้น ผู้ชุมนุมเองก็คงกังวล อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้ทางตำรวจ จะมีการพัฒนาแผนเฉพาะหน้าอยู่ตลอดเวลา
เมื่อถามว่ารัฐบาลสามารถทำงานในทำเนียบได้หรือไม่ พล.ต.ท.วรพงษ์กล่าวว่า จะพยายามอย่างสุดความสามารถให้คนในรัฐบาลมาทำงานในทำเนียบได้อย่างปกติ
เปิดตึก สลน. ตั้งวอร์รูม สนธิกำลังทหาร – ตร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ได้เปิดอาคารทั้งหลังของ สลน.เพื่อให้เป็นศูนย์ปฏิบัติการร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ในการประชุมติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเป็นการสนธิกำลังกัน นอกจากนี้ยังได้เปิดตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ให้เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกองกำลังแม่ทัพภาคที่ 1 ด้วย ส่วนตึกและอาคารอื่นทางในทำเนียบรัฐบาลทาง สลน.ได้มีคำสั่งให้ปิดดำเนินการเป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ ทางกองกำลังแม่ทัพภาคที่ี่ 1 ได้จัดกางเต็นผ้าใบจำนวน 50 หลัง เรียงยาวตลอดแนวบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปจนถึงหน้าตึกแดง หรือ สลค. พร้อมกับปูผ้ายางรองพื้น เพื่อใช้สำหรับหลับนอนพักผ่อน รวมถึงที่จอดรถคณะรัฐมนตรี ชั้นใต้อาคาร สลค.ด้วย และทางศูนย์รักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล ยังได้เปิดตึกสันติไมตรีหลังนอก ให้เป็นอาคารพักผ่อนแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
ด้านหน้าอาคารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้จัดรถห้องน้ำจำนวน 10 คัน มาให้บริการ อีกทั้งได้มีการจัดเตรียมพื้นที่โล่งบริเวณหน้าอาคาร สมช. ได้ดัดแปลงเป็นจุดรับแจกอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร โดยมีการทยอยส่งเสบียงมายังทางประตู 8
กองทัพจัดทหาร 3,000 นาย ป้องกันทำเนียบ
สำหรับการใช้กำลังในการรักษาพื้นที่ในทำเนียบรัฐบาล ในครั้งนี้จะแน่นหนากว่าช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยกองทัพภาคที่ 1 ได้จัดกำลังเข้ารักษาพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลทั้งสิ้น จำนวน 20 กองร้อย จำนวน 3,000 นาย โดยจัดกำลังจากกองพลที่ 1 รักษาพระองค์(พล.1รอ.) กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2รอ.) และ หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน(พล.ปตอ.)
สำหรับ พล.1 รอ.ได้ใช้กำลังจากกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1รอ.) และ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เป็นหลัก ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดกำลังจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล อีก 4 กองร้อย จำนวน 600 นาย โดยครึ่งหนึ่งเป็นกำลังตำรวจหญิง ทั้งนี้การจัดกำลังได้แบ่งเป็น 4 โซน คือ เอ บี ซี ดี วางกำลังตามกำแพงเป็นสี่ทิศ เพื่อป้องกันรักษาพื้นที่ไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้ามาภายในทำเนียบได้
นอกจากนี้ ทางกองทัพจะมีการเสริมกำลังจากกองทัพเรือที่ได้รับการฝึกการเตรียมพร้อมกองร้อยรักษาความสงบ 6 กองร้อย จากเดิมที่ใช้เพียง 2 กองร้อย ส่วนกองทัพอากาศยังคงใช้กำลังสนับสนุน 2 กองร้อยเท่าเดิม เพื่อสนับสนุนกำลังภายในทำเนียบรัฐบาลหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น โดยยังแบ่งกำลังในการรักษาความสงบเรียบร้อยที่ กระทรวงการต่างประเทศ เส้นทางรอบๆ พื้นที่และพระราชวังสวนจิตรลาด ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 ยังได้เตรียมกำลังจำนวน 15 กองร้อย เพื่อรักษาพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และป้องกันการยึดสนามบินเหมือนครั้งสมัยกลุ่มพันธมิตร ซึ่งหากเกิดเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นนั้น กำลังทั้ง 15 กองร้อยจะพร้อมเดินทางไปรักษาพื้นที่ทันที