“ปราโมทย์” ย้ำไม่เคยร่วมวางแผนยึดอำนาจ “แม้ว” ยืนยันต่อต้านรัฐประหารมาตั้งแต่ยุค รสช. ก่อน 19 ก.ย.เคยเขียนเตือน “ทักษิณ” หลายครั้ง พร้อมแนะให้ลาออกก่อน เพื่อให้ไม่ถูกยึดอำนาจ แต่ “นช.แม้ว” ไม่เชื่อ จึงต้องเร่ร่อนจนทุกวันนี้ เผยก่อนรัฐประหาร เคยร่วมหารือ “พล.อ.สายหยุด” หาทางหยุดยั้งการยึดอำนาจ จวก “แม้ว” ติดนิสัยคนโกหก อ้างคนโน้นคนนี้ ไม่เชื่อ “พัลลภ” เอาความลับยึดอำนาจไปบอก
ช่วงเวลา 20.30-21.30 น.วันที่ 24 มี.ค. นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวเปิดใจในรายการ “คนในข่าว” ดำเนินรายการโดยนายเติมศักดิ์ จารุปราน ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน กรณีถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดี กล่าวหาผ่านวิดีโอลิงก์งานคนเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่ ว่าเคยร่วมวางแผนรัฐประหารตัวเขาเมื่อปี 2549 ว่า ถ้าจะมีการวางแผนโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณก็คงจะมีแต่ในตัวหนังสือ แต่ก็ไม่ได้โค่นล้มจริงๆ เพราะตนเขียนทำนองว่า ทำอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณจึงจะอยู่ได้ ทำอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณจะอยู่ไม่ได้และทำลายประชาธิปไตยอย่างไร
“ผมเป็นใคร ทำไมเขาถึงจะชวนไปทำรัฐบาลประหาร เพราะผมเคยห้ามการทำรัฐประหารมาตั้งแต่สมัย รสช.แล้ว และเมื่อ รสช.ทำรัฐประหาร ผมก็ต่อต้านมาโดยตลอด”
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า ในการเขียนบทความถึง พ.ต.ท.ทักษิณนั้นได้เขียนโดยเปิดเผยตลอด ต่อเนื่องกันมาในฐานะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้นำรัฐบาล ขณะที่ตนเป็นนักเรียนทางการเมืองมีหน้าที่ต้องศึกษาว่า ผู้นำทางการเมืองควรจะทำตัวอย่างไร เช่น วันที่ 17 พ.ย.48 สถานการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ตนได้เขียนบทความเรื่องทักษิณควรฉวยโอกาสพึ่งพระราชอำนาจ ซึ่งไม่แน่ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้อ่านหรือไม่ ตอนนั้นได้แนะนำพ.ต.ท.ทักษิณ 5 ข้อ คือ “1.ให้ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะทักษิณคิดหาวิธีการและลงมือพึ่งพระราชอำนาจโดยถวายรายงานบ่อยๆ ก็ดี ขอบรมราชวินิจฉัยก็ดี ศึกษาและปฏิบัติตามพระราชดำรัสก็ดี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ไม่ทรงเห็นด้วยเรื่องการแปรสินทรัพย์เป็นทุน) นำแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.313 ตามแนวของ ดร.อมร ก็ดี ฯลฯ
2.ขอให้ทักษิณลดความเป็นเผด็จการลงและเพิ่มความเป็นประชาธิปไตยขึ้น ทั้งในพรรค ในรัฐบาล และในรัฐสภาเปิดโอกาสให้มีความคิดและมาตรการแตกต่าง แบบประชาธิปไตยส่วนร่วมของจริง มิใช่ประชาธิปไตยตามใบสั่ง ทักษิณควรจะถอนฟ้องสื่อเสีย เพราะไม่มีผู้นำรัฐบาลประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้วประเทศใดที่ฟ้องสื่อ ถึงแม้สื่อนั้นจะสารเลวหรือมดเท็จก็ตาม นอกจากนั้นขอให้ทักษิณในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำจารีตและบรรทัดฐานประชาธิปไตยมาใช้กับรัฐสภา เช่นเดียวกับรายการ prime minister questions ของอังกฤษ ที่นายกรัฐมนตรีจะต้องไปปรากฏตัวและตอบคำถามของสภาล่างทุกวันพุธ (ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ทำก็ตาม) หรือการเปิดโอกาสให้หัวหน้าฝ่ายค้านได้ร่วมพิธีการ ได้รับข้อมูลลับ หรือได้รับความเท่าเทียมในการใช้สื่อของรัฐ ที่เรียกว่า equal time provisionฯลฯ
3.ขอให้ทักษิณนำตนเอง ลูกเมียและบริวารออกจากวงการค้า วงการสัมปทานตลาดหุ้น และผ่านกฎหมายปฏิรูปธุรกิจให้ปลอดจากคอรัปชั่นและการเอาเปรียบคดโกงโดยผู้มีอำนาจ หากเกรงว่านักธุรกิจแก่งๆจะไม่ยอมเข้าสู่วงการเมือง เพราะกลัวขาดทุนหรือไม่พอกิน ก็ให้ออกกฎหมาย blind trust หรือการจัดการธุรกิจลงทุนแทนโดยเจ้าของไม่สามารถเข้าไปแทรกแซง รับรู้หรือออกคำสั่งได้ เรื่องเหล่านี้ทักษิณรู้ดีเ ว้นแต่ว่าจะเต็มใจหรือตัดใจได้หรือไม่ ฯลฯ
4.เรื่องตรวจเงินแผ่นดิน ป.ป.ช. กสช. การโอนครูฯ เป็นสุญญากาศการเมืองอนุภาค แต่สุญญากาศมหภาคยังไม่มี แต่อาจสร้างขึ้นได้ โดยการเคลื่อนไหวบีบคั้นจากประชาชน โดยมโนธรรมของทักษิณและนักการเมือง เช่น การลาออกของฝ่ายค้านทั้งคณะ การลาออกกลุ่มใหญ่ในวุฒิสภา การประท้วงโดยชะลอหรือหยุดงานของข้าราชการ ฯลฯ ซึ่งจะทำการเมืองชะงักงัน เปิดโอกาสให้ในหลวงลงมาช่วยได้
5.สำหรับ สนธิ และสนธิแฟนคลับ ผมอยากเห็นความเข้มแข็งต่อเนื่อง และการขยายฐานที่ตั้งอยู่บนสัจจะและความยุติธรรม พัฒนาตนเองขึ้นมาจากความเคลื่อนไหว สู่ความเป็นองค์การ จากองค์การ สู่ความเป็นสถาบันโดยลำดับ กลายเป็นสมัชชาประชาธิปไตยที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล บริหารโดยวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับ “Westminster Foundation for Democracy” (www.wfd.org) มีสาขาทุกจังหวัด มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมประชาธิปไตยภาคประชาชน การมีส่วนร่วมและการขจัดคอร์รัปชัน โดยน่าจะขอรับทุนจากรัฐบาล กกต. ป.ป.ช. หรือแม้แต่มูลนิธิทักษิณได้ ข้อเสนอในอดีตของผมอาจนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันได้”
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นก็เขียนบทความเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณตลอด แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ได้อ่าน ถ้าได้อ่านคงไม่มาโฟนอินกล่าวหาว่าตนร่วมวางแผนปฏิวัติแบบนี้ จนถึงสิงหาคม-กันยายน 2549 ตนเริ่มเห็นว่าทักษิณหมดโอกาสแล้ว แน่ใจว่าจะมีรัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว จากการเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวของทหารและนักการเมือง และความกดดันเนื่องจากใกล้วันย้ายทหาร วันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากเหตุปัจจัย ไม่ใช่การได้ข้อมูลภายใน และจากการศึกษาข้อมูล ทราบว่าทหารคนไหนขึ้นมาเพราะอะไร
นายประโมทย์กล่าวต่อว่า ก่อนปฏิวัติไม่กี่วัน ตนเขียนบทความเรื่องโอกาสสุดท้ายของทักษิณ ลงเว็บไซต์วันที่ 13 ก.ย. ตีพิมพ์วันที่ 18 ก.ย. ซึ่งตอนนั้นเชื่อว่าปฏิวัติแน่ ตนได้บอก พ.ต.ท.ทักษิณให้รีบลาออก เพราะไม่มีเวลาไหนเหมาะเท่าเวลานี้ และถ้าตัดสินใจผิดจะไม่มีโอกาสเสียใจ
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า ในบทความดังกล่าวได้บอก พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณลาออกอย่างน้อยจะรักษาประชาธิปไตยของบ้านเมือง ทั้งครอบครัวและบ้านเมืองไม่เสียหาย ทหารก็ไม่เสียหาย ตนไม่ยินดีที่จะให้มีการปฏิวัติ อยากเห็นประเทศไทยแสดงวุฒิภาวะการแสดงออกที่แนบเนียนกว่านั้น ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณลาออกไป
“เดือน ก.พ.49 ผมได้ยินว่า มีทหารใหญ่ไปกินข้าวกลางวันที่ กอ.รมน. ก็ได้ยินเขาพูดว่า ถ้าไม่ปฏิวัติสงสัยจะไม่ไหวละโว้ย ผมก็เลยบอกท่านทูตสุรพงษ์ว่า ทหารจะปฏิวัติอีกแล้ว ไอ้พวกบ้านี่ มันขี้เกียจ จะเอาแต่อำนาจ จะแก้ปัญหาโดยวิธีที่แก้แล้วก็ผิดอีก ผมก็เลยอยากลองให้การศึกษาเขาบ้าง ลองเขียนถึงทหารโปรตุเกส ที่เขาสร้างประชาธิปไตยให้ประเทศเขาได้ เป็นที่มาของบทความเกี่ยวกับการปฏิวัติในโปรตุเกสในเดือน มี.ค. และก่อนปฏิวัติ”
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า ที่จริงตนพยายามรักษาไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกรัฐประหาร โดยวันที่ 30 ส.ค. ได้ไปกินข้าวที่บ้าน พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส. ก่อนที่ พล.อ.สายหยุดไปต่างประเทศ 2 เดือน ซึ่งมีนักวิชาการและนายทหารไปคุยกันหลายคน ก็ได้คุยกันว่าถ้าปฏิวัติก็จะเหมือนพายเรือในอ่าง มันจะล้มเหลวและเสียเวลา เพราะไม่เชื่อในฝีมือทหารโดยส่วนหนึ่ง
นายปราโมทย์ย้ำว่า ในวงเสวนาไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่มีนายปราโมทย์ไปนั่งอยู่ด้วยจะไม่เอารัฐประหาร เพราะมีทางออกที่ดีกว่านั้นเยอะ แต่ต้องใจถึง มีความรู้ รักชาติจริง และรัฐประหารมันจะนำมาซึ่งความเสียหาย ตนได้ยินข่าวเรื่องการลอบสังหารด้วยเช่นกัน แต่ตนก็ไม่เห็นด้วย เพราะมันจะสร้างความเสียหายต่อ
วันที่ 30 เราคุยกันว่าจะป้องกันการรัฐประหารได้อย่างไร พล.อ.สายหยุดได้บอกว่า ตนมีเวลาอีก 2 วัน อยากจะไปขอพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อจะเล่าให้ฟังและขอบารมี พล.อ.เปรม ให้ พล.อ.เปรมแก้ไข เพราะ พล.อ.เปรมเท่านั้นถึงจะมีบารมีที่จะทำให้ร้านกลายเป็นดีได้โดยไม่ต้องทำรัฐประหาร แต่ พล.อ.สายหยุดก็ไม่มีโอกาสเข้าพบ
กรณีที่ทักษิณพูดผ่านโฟนอินว่าโกหกเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์กล่าวหาว่าเขาไม่จงรักภักดีนั้น นายปราโมทย์ กล่าวว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณได้อ่านบทความที่ตนเขียน มีระบบการรายงานที่ถูกต้องและไม่ใส่ไข่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ต้องฟ้องตนเลย ตนบอกว่า ไม่รู้ว่ามีปฏิญญาฟินแลนด์หรือไม่ แต่พูดถึงว่ามันมียุทธศาสตร์ตามที่มีคนเรียกว่าปฏิญญาฟินแลนด์ ซึ่งก็มีส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงอยู่ 1 ข้อ และตนก็ไมได้บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่จงรักภักดี
นายปราโมทย์กล่าวว่า ก่อนรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. ตนเขียนบทความเรื่อง “ดับเครื่องชนทักษิณ” ถึง 10 ตอน เป็นการเตือน พ.ต.ท.ทักษิณแรงๆ ว่า กำลังทำอะไรที่ผิดพลาดบ้าง ซึ่งในนี้ไม่มีการพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณว่าไม่จงรักภักดี ทำให้คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้อ่านแม้แต่บทความที่ตนเขียนเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ เพราะถ้าได้อ่านจริงอาจไม่ฟ้อง
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า ตนไม่ได้ศึกษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการเป็นประธานาธิบดีหรือต้องการเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐหรือไม่ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณมีความเข้าผิดขั้นพื้นฐานที่อยากให้มีการเมืองพรรคเดียว ให้การเมืองนิ่ง เมื่อได้พรรคการเมืองในมือตัวเองแล้วแทนที่จะใช้การเมืองสร้างสรรค์ แบ่งงานกันทำ แต่อยู่ในมือคนเดียวหมด
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดผ่านวิดีโอลิงก์เรื่องแผนโค่นล้ม และบอกชื่อคนอยู่เบื้องหลัง โดยอ้างว่า พล.อ.พัลลภเล่าให้ฟังนั้น นายปราโมทย์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณติดนิสัย ค.ก.ห.(คนโหก) เชื่อถือไม่ได้ ชอบอ้างคนโน้นอ้างคนนี้ไปเรื่อย พูดไม่ระวังปาก นึกว่าเงินจะทำให้ถูกต้องหมด
“ผมไม่เชื่อว่า พล.อ.พัลลภ จะพูดถึงผม ก็มันไม่มีเหตุผลที่ต้องไปพูด ผมเป็นนักเรียน จปร.รุ่น 5 เขาเป็นรุ่น 7 สมัยเด็กๆ เรียนหนังสือด้วยกันที่อุดรฯ ตอนนี้ก็พบกันบ้างไม่พบกันบ้าง ตามประสา ตอนเขาทำเมษาฮาวาย ผมก็ได้ดูแลความปอดภัยให้เขา ไม่มีอะไรที่ผมจะไปโกรธ ไปโทษ หรือน้อยใจเขา หรือจะไปโทษว่าเขาทำให้ทักษิณมาใส่ความผม ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว คิดว่าพัลลภก็คงลำบากใจ”
นายประโมทย์กล่าวย้ำว่า ระบอบทักษิณเกิดขึ้นแล้ว ถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณอาจจากไป แต่คนที่หลงเชื่อความพฤติกรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณสั่งสอนยังคงมีอยู่ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่อง เป็นยุทธศาสตร์ ที่มีองค์กร มวลชน พรรค สื่อ รองรับ อาศัยความอ่อนด้อยของระบบราชการ รู้เขารู้เรามากกว่าฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลยิ่งไม่ทันเกมไปใหญ่ อาจเป็นเพราะประมาท
ในช่วงท้ายรายการ นายปราโมทย์กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ถ่ายทอดความเก่งและมาตรฐานทางวาจาและบุคลิกมาสู่การกระทำ อยากเห็นการเติบโตของภาคประชาชน อย่าลืมหน้าที่ปฏิรูปสื่อและการศึกษา อยากเห็นการเมืองภาคประชาชนอย่างพันธมิตร ที่สร้างประวัติศาสตร์อันสวยงามมาตลอด 193 วัน ไม่อยากให้ต้องพ่ายแพ้หรือสูญเสียไป อยากเห็นการใช้พลังอันนี้ เป็นประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงหรือในการการช่วยรัฐบาล และให้รัฐที่ฉลาดพอที่จะใช้พลังของประชาชนนี้ ไม่ใช่ไปแปลอะไรผิดๆ เล่นการเมืองเพื่อเอาชนะด้วยการนับหัวกันอยู่อย่างนี้
คลิก! ฟังเสียง"ปราโมทย์ นาครทรรพ"ให้สัมภาษณ์==>