กกต.ชี้แจงเหตุผลยกคำร้อง “เนวิน” เอี่ยวจัดตั้ง รบ.เหตุผู้ร้องไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า “เนวิน” มีส่วนจัดตั้ง รบ.นอกจากคำให้สัมภาษณ์สนับสนุน “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ ขณะเดียวกันเข้าไปโหวตเลือกนายกฯในสภาไม่ได้ ยันกกต.ไม่ได้ 2 มาตรฐาน แบะท่าหากมีผู้ร้องเข้ามาใหม่ก็พร้อมตรวจสอบ แต่ต้องมีหลักฐานเพิ่มมากกว่าคำร้องครั้งที่ผ่านมาอาจนำไปสู่การยุบพรรคได้ แนะ “แม้ว”ให้เว้นวรรค หากไม่อยากเห็นพรรคที่เกิดใหม่ถูกยุบพรรคตนเอง
วันนี้ (22 ก.พ.) ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารับพระราชทานปริญาบัตร ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่า การตัดสินของกกต.ใช้ 2 มาตรฐาน และจะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าเป็นสมาชิกพรรค ว่า การวินิจฉัยของกกต.ไม่ได้มี 2 มาตรฐาน ไม่ได้เห็นว่าพรรคนั้นเป็นรัฐบาลพรรคนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาล เราวินิจฉัยตามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นการที่กกต.วินิจฉัยเรื่องเกี่ยวกับกรณีนายอภิสิทธิ์ถ่ายรูปคู่กับผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้ง ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะมาพิสูจน์ได้ว่าเขาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลจริง เพราะหลักฐาน ที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย ร้องมานั้นไม่มีหลักฐานอะไรที่ยืนยันได้ชัดเจนว่านายเนวิน เข้าไปช่วยนายอภิสิทธิ์ จัดตั้งรัฐบาลจริง และมีข้อแรกเปลี่ยนในการที่จะให้ตำแหน่งรัฐมนตรีหรืออะไร มีแต่ภาพเพียงการพบปะกันและกอดกันเท่านั้นในโรงแรมแห่งหนึ่ง และมีการพูดว่าในเชิงที่ว่าจะสนับสนุนท่านนายกฯ ถ้อยคำต่างๆเหล่าแค่นี้ก็ยังไม่ได้มีอะไรยื่นยันได้ว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน
“เพราะฉะนั้นในเมื่อหลักฐานต่างๆไม่ชัดเจนแล้วเราจะไปบอกว่าผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์การเลือกตั้งเป็นผู้บริหารในรัฐบาลชุดนี้หรือเกี่ยวข้องอะไรในลักษณะที่เป็นเหมือนฝ่ายบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เราคงมองไปขั้นนั้นไม่ได้ เพราะจากการไต่สวนมีพยานเพียง 2 ปากเท่านั้น กับผู้ที่ร้องเรียนเท่านั้น ส่วนที่มีข้อตกลงอะไรกันหรือไม่ ระหว่างนายอภิสิทธิ์และผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งไม่มีหลักฐาน และเมื่อพิจารณาแล้วก็ไม่มีการกระทำอะไรของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผิดรัฐธรรมนูญ”นางสดศรี กล่าว
นางสดศรี กล่าวอีกว่า ส่วนที่จะให้กกต.คืนสิทธิให้กับ111 คน นั้นคงเป็นไม่ได้ จะทำได้ก็คือรัฐบาลต้องเสนอออกเป็นพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือของพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วไม่มีอะไรมาลบล้างได้ก็ต้องให้ผลสิ้นสุดไปตามคำสั่งศาล
เมื่อถามย้ำว่า ทางพรรคเพื่อไทยจะเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเป็นสมาชิกพรรค รวมกันทางงานกับพรรคสามารถทำได้หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ไม่น่าจะได้เพราะผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งก็ได้มีข้อกำหนดห้ามไม่ให้ไปจัดตั้งพรรคการเมือง หรือไปเป็นกรรมการบริหารพรรค หรือเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคนั้นๆ ซึ่งก็รวมถึงการเป็นสมาชิกพรรคด้วย การที่เชิญเข้าไปเป็นสมาชิกก็จะทำไม่ได้ ส่วนจะให้มาเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ หรือเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคนั้น ยังไม่ได้มีอะไรยืนยันว่าสามารถทำได้ เพราะเรื่องดังกล่าว ก็เคยได้ตอบข้อหารือไปแล้วว่าคนที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ไม่ควรที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้ ควรที่จะเว้นวรรคตามที่กำหนดไว้
“ถ้ามีการตั้งกันจริงแล้วและมีคนร้องเรียนเข้ามากกต.ก็ต้องมาวินิจฉัยกันให้ชัดเจนว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาในที่นี้หมายถึงกรรมการบริหาร หรือเป็นตำแหน่งอื่นในคณะกรรมการบริหารหรือไม่ ถ้าวินิจฉัยว่าเป็นก็ต้องส่งไปศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย และถ้าวินิจฉัยว่าเป็นก็อาจจะต้องยุบพรรคที่ไปตั้งผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้งไป ผู้ที่เดือดร้อนคือพรรคที่เอาท่านมาเป็นที่ปรึกษา ในความเห็นของตัวเองเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ น่าที่จะเว้นวรรคในครั้งนี้ไปก่อน แต่ถ้าท่านคิดว่าสามารถเป็นได้ก็จะนำไปสู่การวินิจฉัยและอาจเป็นเหตุให้พรรคที่ตั้งท่านมาเป็นถูกยุบก็ได้ ” นางสดศรี กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามขอฝากไปยังพรรคที่เกิดขึ้นมาใหม่ว่า จะทำอะไรก็อย่าให้ตายน้ำตื้น ตนอยากเห็นการเมืองไปได้ด้วยดี ไม่อยากให้สะดุด ซึ่งก็เป็นความห่วงใยจากกกต.กับพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ สิ่งใดที่จะสามรถแก้ไขปัญหาการเมืองได้ด้วยตัวผู้ที่มีสิทธิทางการเมืองจริงๆ ก็ควรจะทำ ไม่ใช่ไปเอาผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองมาแก้ไขปัญหา ซึ่งก็อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต แต่ถ้าจะตั้งตนก็ไม่ได้ว่าอะไรก็เป็นสิทธิของท่าน
“สดศรี” รอ ดีเอสไอ ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบการใช้เงินของพรรคปชป.
นางสดศรี กล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอ จะส่งหลักฐานเรื่องการใช้เงินของของพรรคประชาธิปัตย์มาให้กกต.ตรวจสอบว่า เราก็รออยู่ว่า ดีเอสไอ จะแจ้งข้อกล่าวหาอย่างไรเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ เช่น ในเรื่องของงบดุลมีข้อผิดพลาดหรือไม่ หรือมีการแจ้งเท็จในเรืองของการใช้เงินกองทุน หากมีหลักฐานก็สามารถส่งมาให้กกต.ตรวจสอบได้ แม้วว่าจะเป็นเรื่องตั้งแต่ปี 48 กกต.ก็สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ หากมีการใช้เงินไม่ชอบแล้วก็ต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งเป็นความผิดอาญาส่วนจะถึงยุบพรรคหรือไม่ก็ต้องดูว่าผู้ร้องนั้นได้ร้องให้ไปถึงการยุบพรรคด้วยหรือไม่
“จากหลักฐานที่ดีเอสไอส่งมาให้เป็นภาพถ่ายของเช็ค 8 ฉบับของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2548 และมีการว่าจ้างให้บริษัทแมสไซอะ ทำโฆษณาไม่ได้ทำสัญญาทีโออาร์ นอกจากนี้ทางดีเอสไอ ยังพูดกับกกต.อีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้เงินจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองไปใช้เพียงเล็กน้อย ทั้งที่ได้ไปถึง 23 ล้าน ดังนั้นเราก็ต้องรอดูว่าทางดีเอสไอ เขาจะส่งหลักฐานมาให้กกต.ตรวจสอบเมื่อไหร่ หากส่งมากกต.ก็พร้องมี่จะตรวจสอบทันที เมื่อพรรคการเมืองมีการใช้เงินไม่ชอบก็ต้องมีการตรวจสอบ และจะเป็นจริงตามที่ทางดีเอสไอกล่าวหาหรือไม่” นางสดศรี กล่าว