เมื่อได้ฟังเหตุผลที่นักการเมือง-รัฐมนตรี-แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางคน เช่นชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย-หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นำมากล่าวอ้างในการสนับสนุนให้ออก พ.ร.บ.การปรองดองแห่งชาติ เพื่อ
“นิรโทษกรรมการเมือง-ฉีกคำพิพากษาคดีอาญา”
ให้บรรดาเหล่าอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์การเมืองอันเป็นผลมาจากคดียุบพรรค รวมถึงนักการเมืองที่ติดบ่วงความผิดคดีอาญาจากผลการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
ด้วยเหตุผลว่า ประเทศไทยขาดบุคลากรทางการเมือง ที่มีคุณภาพและประสบการณ์การบริหารงาน จึงควร “ล้มกระบวนการตัดสินคดียุบพรรค”
เพื่อเอาคนเหล่านั้นกลับมาทำงาน จะได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและส่วนรวม
คิดกันได้แค่นี้ เหตุผลไร้สาระ เอาสีข้างเข้าถู ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
เหมือนกับว่า ประเทศไทยที่มีพลเมืองเกือบ 70 ล้านคน หากไม่มีพวกนักการเมืองที่ติดโทษแบนการเมืองห้าปีจากไทยรักไทย-พลังประชาชน-ชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตย แล้ว
แผ่นดินสยามจะล่มจม ต้องให้พวกนี้มากอบกู้เท่านั้น
หากคิดจะหลอกประชาชนด้วยเหตุผลไร้สาระแบบนี้ เราต้องบอกว่าคิดผิดถนัดเพราะคนไทยทุกคนควรต้องจดจำกำพืดสันดานดิบของนักการเมืองเหล่านี้ไว้ให้ดี และต้องสั่งสอนพวกนี้ให้เข็ดหลาบ
ให้ติดคุกการเมืองจนสาสม
ด้วยที่เราเชื่อว่า ทุกคนต้องอยู่ภายใต้หลักกฎหมายเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี –รัฐมนตรี-ส.ส.-ประธานสภาฯ หรือจะเป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำ ชาวรากหญ้าผู้ไร้การศึกษาแต่ไม่เคยคิดทำร้ายประเทศชาติ ดังนั้นเมื่อกระบวนการสอบสวนเอาผิด พิสูจน์ข้อเท็จจริง และการตัดสินโดยองค์กรตุลาการและองค์กรอิสระจนคดีถึงที่สุดแล้ว ทุกคนก็ต้องเคารพคำตัดสินนั้น
วันนี้แม้การผลักดัน กม.ปรองดองแห่งชาติ ของพรรคเพื่อไทยโดยมีทักษิณ ชินวัตร ชักใยอยู่หลังฉากจะ “ล้มพับ”ไปแล้ว แต่ก็เชื่อเถอะว่า ความพยายามในทุกวิถีทางเพื่อให้ทักษิณกลับประเทศโดยไม่ต้อง “ติดคุก”แถมมีโบนัสได้กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งแบบ “อภิสิทธิ์ชน” ยังต้องมีอย่างต่อเนื่อง
เพราะฝันของทักษิณ คือกลับมาล้างแค้นศัตรูการเมืองทุกคน รวมถึงต้องเอาเงินทั้งหมดที่ถูกอายัดเอาไว้เกือบ 7 หมื่นล้านออกมาให้ได้ ซึ่งหนทางเดียวที่จะทำได้คือ
“ล้มคดี”ทั้งหมด!!!
แต่มันควรหรือไม่ ที่พวกเราประชาชนทั้งหลายจะยอมให้ทักษิณและพรรคพวกทำสำเร็จ เพราะหากพลิกแฟ้มคดีความผิดต่างๆที่ทักษิณและนักการเมืองในรัฐบาลไทยรักไทยทำไว้ ตามผลการสอบสวนของ คตส.
จะพบว่า ทักษิณและพวกได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเอาไว้เกือบ
“2 แสนล้านบาท”
แล้วจะปล่อยให้ทักษิณและพรรคพวกลอยนวลและกลับมาใช้สิทธิ์ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างที่ทักษิณวางแผนเอาไว้ผ่านกฎหมายปรองดองแห่งชาติ รวมถึงพ.ร.บ.นิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ถูกตัดสินยุบพรรคได้อย่างไร?
เพื่อเตือนความจำแก่คนไทย ทีมข่าวการเมือง ASTVผู้จัดการรายวัน จึงขอยกตัวอย่างคดีทุจริตโดยระบอบทักษิณนำมาตีแผ่อีกครั้ง
ล่าสุด เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ก็เพิ่งยืนยันมติสั่งฟ้องทักษิณ ชินวัตร กับพวกอันรวมถึงพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายด้วยในคดีความผิดร่วมกันกับพวกเช่นอดีตบอร์ดธนาคารกรุงไทย และผู้บริหารกฤษดามหานครในการปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยจำนวน 9,900 ล้านบาท เพื่อส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในความผิดฐานร่วมกันให้ธนาคารกรุงไทย อนุมัติสินเชื่อโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของรัฐ
กรณีการ”เลี่ยงภาษี”การโอนและขายหุ้นชินคอร์ป ที่เล่นตุกติกไปมา แบบสลับซับซ้อน ไม่ให้กรมสรรพากรและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) ตรวจสอบได้ ถึงขั้นไปเปิดบริษัทกระดาษอย่าง แอมเพิล ริช และวินมาร์คเอาไว้ที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น เพื่อหวังหลบหูหลบตาให้รอดพ้นจากการตรวจสอบ ซึ่งก็ทำได้สำเร็จมาหลายปี เพราะกรมสรรพากรและกลต.พากันหูดับ-ตาบอด ไม่ยอมทำหน้าที่อย่างจริงจัง
จนภายหลัง จึงพบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ เล่นแร่แปรธาตุโอนหุ้นไปมา เพื่อเลี่ยงภาษี โดยตัวทักษิณ-พจมานและบรรณพจน์ ดามาพงษ์ คอยชักโยงใยอยู่ข้างหลัง แล้วให้คนอื่นใช้ชื่อถือหุ้นแทนโดยเฉพาะพานทองแท้และพิณทองทา ชินวัตร
จนมีการสอบสวนและสรุปผลได้ว่าครอบครัวชินวัตร-ดามาพงษ์ ที่ทำธุรกรรมอำพรางเอาเปรียบประชาชนทั้งหลาย ต้องจ่ายภาษีให้รัฐทุกบาททุกสตางค์ แต่ผู้นำประเทศกลับหลีกเลี่ยงทุกขั้นตอน
จึงต้องจ่ายเงินภาษีอากรย้อนหลังตามประมวลรัษฎากรในการซื้อขายและโอนหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ทั้งหมด เป็นเงิน 33,279,413,075 บาท
ไม่นับรวมกับอีกหลายคดี ที่ทักษิณถูกสอบสวนเอาผิด เช่นโครงการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบ วัตถุระเบิด ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิหรือซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่ทักษิณในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการพัฒนาท่าอากาศยานเจอเอาผิดพร้อมกับพวกเช่น
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคมที่เป็นกำลังหลักของพรรคภูมิใจไทยเวลานี้ หรือศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดฯคมนาคมที่ถูกโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคมตั้งให้มาช่วยงาน ในความผิดฐานร่วมกันทำให้บริษัทท่าอากาศยานสากล กรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(ทอท.) ได้รับความเสียหายจากการจัดหาและติดตั้งเครื่องตรวจสอบ วัตถุระเบิด CTX 9000
เพราะจัดซื้อแพงกว่าปกติ ทำให้รัฐเสียหายเป็นเงิน 1,500 ล้านบาท
หรือจะเป็นคดีที่ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯอีกหนึ่งคดี แต่ทางศาลได้จำหน่ายคดีออกจากสาระบบชั่วคราวเพราะทักษิณหลบหนีคดีไปต่างประเทศ
นั่นก็คือ คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้เงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักร และพัฒนาการประเทศแก่รัฐบาลสหภาพพม่าเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท โดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน
เพราะธุรกิจบริษัทโทรคมนาคมของครอบครัวทักษิณคือบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด ได้ประโยชน์ แต่ทำให้กระทรวงการคลังเสียหายโดยต้องจ่ายเงินชดเชยอัตราดอกเบี้ย ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ คิดเป็นความเสียหายจากการปล่อยกู้ครั้งนี้ 99,962,037 บาท
มิได้จบแค่นี้ ยังมีอีกหลายคดี อาทิการสอบสวนโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งหรือแอร์พอร์ตลิ้งค์ ในเรื่องการทำสัญญาค่าธรรมเนียมเงินกู้ที่ คตส.เห็นว่าเปิดช่องให้เอกชนได้ประโยชน์ อันเป็นการทุจริตซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ 1,200 ล้านบาท
หรือคดีออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือหวยบนดิน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ โดยจำเลยก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง ได้ร่วมกันกระทำความผิดทางอาญา และก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น37,970,398,640 บาท
หลายคดีที่คาดว่าจะมีผลสรุปของคดีออกมาในเร็ววันนี้ ก็จะส่งผลให้แกนนำรัฐบาลชุดนี้ที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองต่างๆ หนาวๆ ร้อนๆ
ที่ลุ้นหนักก็เช่น เนวิน ชิดชอบ แกนนำภูมิใจไทย ที่เวลานี้ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯ ในคดี
“ทุจริตการจัดซื้อต้นกล้ายาง และการดำเนินการโครงการปลูกยาง 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์”
เหตุเพราะสมัยเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงการนี้ในฐานะรับผิดชอบกรมวิชาการเกษตร
อันพบว่า สำนวนการสั่งฟ้องได้ชี้ว่า การอนุมัติโครงการและอนุมัติการใช้เงินกองทุน รวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไม่ชอบด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุน รวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. 2534 และการขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานสงเคราะห์กองทุนทำสวนยาง(สกย.) ใช้เงิน CESS ไม่ชอบด้วยพ.ร.บ.กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 ทำให้รัฐเสียหายตามมูลค่าโครงการที่พบว่ามีลักษณะการ “ฮั้วประมูล” เป็นเงินไม่น้อยกว่า 1,440 ล้านบาท
นอกจากนี้เนวิน ยังต้องลุ้นหนักอีกหนึ่งคดีคือ โครงการจัดก่อสร้างและจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ของ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตร และอาหาร จำกัดหรือเซ็นทรัลแล็บ
คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่รับสำนวนมาจาก คตส.อันเป็นโครงการที่เกิดขึ้นสมัยเนวินเป็นรมช.เกษตรฯ เพราะ คตส.เห็นว่ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและประมูลโครงการน่าจะเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
หรือจะเป็นโครงการหาผลประโยชน์บนนโยบายประชานิยม ที่ส่อว่ามีการคอรัปชั่นหากินกับคนจน ผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการมี”บ้าน”ของตัวเองสักหลัง นั่นก็คือ
โครงการ “บ้านเอื้ออาทร”
ที่เบื้องต้นมีการคาดการจากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และ คตส.ว่าน่าจะมีการหาผลประโยชน์ร่วมกันสามฝ่ายคือนักการเมือง-ข้าราชการ-บริษัทเอกชนรับเหมาก่อสร้าง อันทำให้รัฐเสียหายเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท!
เราขอบอกว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น การทุจริตคอรัปชั่นโกงกิน แสวงหาผลประโยชน์แบบกินไม่เลือก เพราะคิดว่าไม่มีใครตรวจสอบได้ หลงระเริงว่ารัฐบาลเวลานั้นคุมไว้หมดทุกอย่างตั้งแต่อำนาจรัฐ องค์กรอิสระ จึงไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งจะเกิดการตรวจสอบเอาผิดโดย คตส.
ขอย้ำว่า ตัวการใหญ่ที่วางแผน สมคบ รวมหัวกันเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า ล้วนเกิดจากนักการเมืองที่ติดโทษแบนในคดียุบพรรคเกือบทั้งสิ้น
ดังนั้น หากคิดแต่เพียงว่าต้องการให้กลุ่มนักการเมืองเหล่านี้กลับมาโลดแล่นการเมืองอีกครั้ง โดยอ้างเรื่องขาดบุคลากร ทั้งที่กระบวนการสอบสวนพิจารณาคดียังไม่เสร็จสิ้น บุคคลเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์จริงหรือไม่ แต่ก็จะพยายามช่วยเหลือให้พ้นโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมือง
บอกได้คำเดียวว่า หากพวกนี้ทำสำเร็จ ก็เท่ากับเป็นการ “ปล่อยเสือหิว-เสือโหย” ให้ออกจากกรงมาล่าเหยื่อต่อไป