“สาทิตย์” ชี้การแต่งตั้ง “สำราญ” เป็น กก.ผู้ช่วย รมต.เป็นไปตามระเบียบที่กำหนด ส่วนใหญ่เคยช่วยงาน ปชป.มาก่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนของพันธมิตรฯ แต่ผู้เสนอต้องอธิบายสังคมได้ ขณะเดียวกัน การจัดสรรตำแหน่ง กมธ.สภาผู้แทนราษฎร ส่อเค้าวุ่น เผยสัดส่วนยังไม่ลงตัว ต้องรื้อใหม่ทั้งหมด พร้อมปัดเพิ่ม ปธ.กมธ.ให้กิจสังคม ตามที่ “สุวิทย์” ขอ เชื่อวิปคงคุยกันได้ไม่มีปัญหา
วันนี้ (10 ก.พ.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ครม.จะอนุมัติการตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีโดยมีกระแสข่าวว่าพันธมิตรฯบางคนและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะเข้ารับตำแหน่งว่าระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนั้นกำหนดแล้วว่าใครจะมีคุณสมบัติเข้ารับตำแหน่งนี้ได้และระเบียบนี้มีมาตั้งแต่รัฐบาลพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อถามว่าพรรคพิจารณาบุคคลเข้ารับตำแหน่งนี้อย่างไร เช่นการตั้งนายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น2 มาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม นายสาทิตย์กล่าวว่า เรื่องนี้อาจเป็นการตั้งคำถามล่วงหน้า ต้องรอมติครม.ออกมาก่อนแล้วต้องไปถามผู้ที่เสนอแต่งตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ต้องแยกจากกัน3 ส่วน คือ1.การตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนั้นจะเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกฯโดยจะระบุคุณสมบัติชัดเจนและเป็นสิ่งคัดกรองขั้นต้น 2.รัฐบาลจะแต่งผู้ช่วยรัฐมนตรีในกระทรวงใดนั้นต้องดูว่ากระทรวงนั้นๆจำเป็นที่ต้องแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือไม่ ตนยังไม่เห็นว่าจะแต่งตั้งครบทุกกระทรวงหรือไม่ 3.กระทรวงที่พรรคดูแลนั้น พรรคต้องดูบุคคลที่เคยช่วยงานพรรคมาก่อน เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่าส.ส.ดำรงตำแหน่งใดๆนอกจากรัฐมนตรีไม่ได้เลย
ส่วนตำแหน่งอื่นๆทางการเมืองนั้นเช่นเลขานุการรัฐมนตรีและที่ปรึกษารัฐมนตรีพรรคต้องใช้อดีตผู้สมัครส.ส. เช่นนาย ประพันธ์ คูณมี นาย พิเชษฐ พันธโชติ และมันมีข้อจำกัดเพราะอดีตผู้สมัครส.ส.ในพื้นที่ที่ทำงานได้ มีประสบการณ์ก็มีจำกัด ฉะนั้นพรรคไม่ได้ตั้งหลักว่าจะเลือกบุคคลที่เคยเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯมารับตำแหน่ง ไม่อย่างนั้น นาย สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯก็ต้องได้รับการแต่งตั้งด้วยเช่นกัน
เมื่อถามว่า แนวคิดของพรรคจะระวังข้อสังเกตที่ระบุว่าเป็นแนวร่วมของพันธมิตรฯหรือไม่ และอาจโดนโจมตีอีก นายสาทิตย์กล่าวว่า ต้องระวังมาก ตอนนี้รัฐบาลโดนวิจารณ์หลายเรื่อง และการแก้ไขปัญหาของประเทศก็มีหลายเรื่องเช่นกัน การสร้างความเชื่อมั่นจากสังคมนั้นมันเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องคิดให้หนัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำแหน่งต่างๆในรัฐบาลนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบุคคลของพันธมิตรฯเข้ามาร่วมงานหลายคน นายสาทิตย์กล่าวว่า ต้องดูว่าคนๆนั้นเคยช่วยงานพรรคมาก่อนหรือไม่ พรรคไม่เคยแต่งตั้งคนที่ไม่ช่วยงานพรรคมาทำงาน ทุกคนเกี่ยวโยงกับพรรคทั้งสิ้น และมันเป็นแนวทางที่พรรคทำมาแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่ช่วยงานพรรคจะคิดอย่างไร
เมื่อถามว่าบุคคลต่างๆของพันธมิตรฯที่มารับตำแหน่งในรัฐบาล หากโดนดำเนินคดีจะทำอย่างไร นายสาทิตย์ กล่าวว่า หากมีผลกระทบกับตำแหน่งต้องดำเนินการตามขั้นตอนและคนๆนั้นน่าจะคิดเองได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
ต่อข้อถามที่ว่า ที่ผ่านมาพรรคย้ำตลอดว่าจะไม่นำบุคคลที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีมารับตำแหน่ง จะชี้แจงอย่างไร นายสาทิตย์กล่าวว่าต้องดูว่าเป็นคดีอะไรด้วย แนวทางที่พรรคยึดมาตลอดนั้นคือการแต่งตั้งใครมารับตำแหน่งต้อมีเหตุผลอธิบายกับสังคมได้ และภาวการณ์แบบนี้รัฐบาลต้องการความเชื่อมั่นจากสังคมมันต้องยิ่งคิดให้มากขึ้น
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าพรรคกิจสังคมขอโควตาประธานกมธ.1ตำแหน่ง แต่แกนนำพรรคบางคนอึดอัดใจในเรื่องนี้ นายสาทิตย์กล่าวว่าคงไม่อึดอัดใจอะไร แต่มันเป็นเรื่องที่บอกข้อเท็จจริง ตนยอมรับว่าพรรคกิจสังคมขอตำแหน่งนี้มาและคิดว่าวิปรัฐบาลน่าจะคุยกันในวันนี้
เมื่อถามว่า แสดงว่าพรรคกิจสังคมมีส.ส.5คนจะขอโควตานี้ได้และจะยอมรับกติกานี้ได้หรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า หากดูตามโควตานั้นพรรคกิจสังคมคงไม่ได้ตำแหน่งนี้ เพราะมีการคำนวณจากรัฐสภาแล้ว พรรคจะได้เพิ่ม1ตำแหน่ง พรรคเพื่อไทยลด1ตำแหน่ง ส่วนพรรคกิจสังคมจะรับกติกานี้ได้หรือไม่นั้น การทำงานร่วมกันมันต้องทำความเข้าใจกัน จะไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนมีผลกระทบการทำงานของรัฐบาลนั้น มันคงไม่ใช่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคกิจสังคม อยู่ในแวดวงการเมืองมานานก็คงเข้าใจดีว่าแนวทางการทำงานร่วมกันนั้นมันควรเป็นแบบใด ส่วนพรรคนั้นสิ่งใดที่ดำเนินการและประนีประนอมเพื่อทำงานร่วมกันนั้นก็จะทำ แต่สิ่งใดที่มีเหตุผลก็ต้องคุยกัน และเรื่องนี้คงคุยกันได้ในระดับวิปรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมให้ลดโควตาหรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า ต้องยอมรับกติการ่วมกันเพราะรัฐธรรมนูญระบุว่า การตั้งกมธ.มันต้องเป็นไปตามสัดส่วนของพรรคการเมืองในรัฐสภาและที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงเยอะ เช่น ยุบพรรคเเละตั้งพรรคใหม่ รวมทั้งจำนวนส.ส.ก็เปลี่ยนแปลงด้วย พรรคเพื่อไทยจะปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้เพราะมันเปลี่ยนแปลงตามกฎหมาย ฉะนั้นส่วนนี้มันต้องเปลี่ยนแปลงคือ ต้องรื้อใหม่หมด เพราะสัดส่วนพรรคมันเปลี่ยนใหม่ เมื่อก่อนไม่มีพรรคภูมิใจไทย แต่วันนี้มีพรรคนี้แล้วและพรรคนี้ก็มีส.ส.หลายคน เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนแปลงเพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะเป็นการงัดข้ออีกครั้งระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลหรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่ามันไม่ใช่เรื่องวัดข้อ หากทุกฝ่ายเข้าใจว่าเรื่องนี้ทำตามรัฐธรรมนูญ ส่วนความขัดแย้งนั้นต้องหาทางลงด้วยกัน ตนมองว่าวันนี้รัฐบาลและรัฐสภาต้องสร้างความเชื่อมั่นในสังคมเห็นว่าอย่านำความเห็นหรือความขัดแย้งส่วนตัวมาอยู่เหนือการแก้ปัญหาของประเทศ รัฐบาลต้องย้ำให้เห็นและเดินตามแนวทาง และตนคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเสร็จและลงตัวในสมัยประชุมนี้เว้นแต่พรรคเพื่อไทยจะมีแนวทางความขัดแย้งอื่นๆ แต่ตนเชื่อว่าคงไม่มี
ต่อข้อถามที่ว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่พอใจเรื่องนี้แล้วไปแสดงออกคือตีรวนในการประชุมสภาจะทำอย่างไร นายสาทิตย์กล่าวว่าทุกฝ่ายพยายามหาทางแก้ไขเพราะเริ่มมีเสียงวิจารณ์มากแล้วว่าหากสภาเป็นเเบบนี้จะเดินหน้าอย่างไร รัฐบาลก็ต้องช่วยเรียกความเชื่อมั่นนี้กลับมา แนวคิดที่ว่าวิปรัฐบาลต้องไปคุยกับวิปฝ่ายค้านนั้นมันต้องเกิดขี้นตลอดเวลา
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยต้องการตำแหน่งประธานกมธ.คมนาคมและประธานกมธ.พาณิชย์ นายสาทิตย์กล่าวว่ากติกาการเลือกตำแหน่งประธานกมธ.นั้นมีอยู่แล้ว เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยจะเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ไปทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้าน และมีข่าวว่าพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯก็มีโอกาส หากเป็นจริง โควตารองประธานสภาฯที่ว่างจะทำเช่นใด และพรรคจะเสนอบุคคลมารับหน้าที่นี้หรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในของพรรคนั้นและเรื่องนี้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องบัญญัติเรื่องนี้ไว้แล้ว ส่วนกรณีพ.อ.อภิวันท์ต้องลาออกนั้น มันเป็นไปตามหลักเสียงข้างมากและการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว และมันน่าจะเป็นสิทธิของพรรคด้วย ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยกดดันตำแหน่งรองประธานสภาฯ2ตำแหน่งเลย
เมื่อถามว่าหากพรรคเสนอบุคคลไปรับตำแหน่งรองประธานสภาฯจะทำให้การทำงานราบรื่นหรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่าเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ปัจจัยหลักนั้นตนคิดว่ามันน่าจะมาจากสำนึกของส.ส.มากกว่าว่าการทำงานในสภาอยู่นอกเหนือการเล่นเกมการเมืองนั้นปัญหาจะไม่เกิด หากยังเล่นเกมการเมืองแม้จะมีคนของพรรคไปเป็นรองประธานฯ