xs
xsm
sm
md
lg

“สาวิทย์” แฉ “ระบอบแม้ว” ทำชาติพัง! จี้ “มาร์ค” เร่งทบทวนเกมแก้จน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สาวิทย์” ชำแหละซาก “ระบอบทักษิณ” งาบที่ดินฉาว-ทำชาติยากจน แฉไฟเขียวให้ “ชาวบ้าน” เอาที่ดินไปจำนองจนท้ายที่สุดไร้ปัญญาไถ่ถอนที่ดินคืนจาก “นายทุน” พร้อมจี้ “อภิสิทธิ์” เร่งทบ “ประชานิยม” ชี้ชัดไร้ทางแก้ปัญหา แนะส่งเสริม “ภาคเกษตร” ให้กลายเป็นจุดแข็งเพื่อพลิกฟื้นประเทศให้พ้นวิกฤต

วานนี้ (3 ก.พ.) นายสาวิทย์ แก้วหวาน แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 กล่าวปราศรัยในรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลาประมาณ 21.00-21.30 น.วันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงกรณีที่นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลาออกจากตำแหน่งเพราะถูกกดดันว่า นี่ก็คือการเมืองในรูปแบบเก่า ฉะนั้นการเมืองภาคประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยในการถ่วงดุล และตรวจสอบ เพื่อบังคับทิศทางให้สังคมไทยมีความสงบสุข วันนี้คนส่วนใหญ่ของสังคมได้ข้อสรุปแล้วว่า จึงขึ้นอยู่ทีฝีมือของรัฐบาลว่าจะทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามความต้องการของพี่น้องประชาชนได้หรือไม่

“ส่วนเรื่องสำคัญอีกหนึ่งประเด็นก็คือ เรื่องของผู้ใช้แรงงาน โดยผมเองเป็นตัวแทนของกรรมกร ซึ่งยังคงเดินสายทักทาย พูดคุยกับพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นกรรมกร ชาวนา หรือผู้ที่อยู่ในชุมชนสลัม เพื่อไปรับรู้ ดูสภาพปัญหา และความทุกข์ยากลำบากในขณะนี้ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่หลายคนมองว่ารุนแรง และหนักหนาสาหัส จนหลายภาคส่วนวิพากษ์วิจารณ์จะมีคนตกงาน และว่างงานขนานใหญ่ ซึ่งจะทำให้นายจ้าง หรือสถานประกอบการทั้งหลาย หาช่องทาง และหาโอกาสในการเลิกจ้างคนงาน ฉะนั้นคนงานส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในภาวะวิตกกังวล และจำยอมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” นายสาวิทย์ กล่าว

แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 66.6 ล้านคน มีผู้ที่อายุต่ำกว่า 15 ปี 14.26 ล้านคน อายุ 15 ปีขึ้นไป 52.35 ล้านคน ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน คือ สามารถทำงานได้ประมาณ 37.7 ล้านคน ผู้ที่ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน 14.56 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ ประมาณ 37.16 ล้านคน ผู้ทำงานบ้าน 5.04 ล้านคน ผู้ว่างงาน 0.45 ล้านคน หรือประมาณ 450,000 คน เรียนหนังสือ 4.2 ล้านคน รอฤดูกาลในการทำงาน ประมาณ 0.18 ล้านคน และอื่นๆ อีก 5.32 ล้านคน ทั้งนี้จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ สรุปผลการสำรวจการทำงานของประชากร ในเดือน ต.ค.2551

“ที่ผมยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อต้องการให้รู้ว่าวันนี้คนที่ทำงานซึ่งอยู่ในภาคส่วนต่างๆ มีกำลังแรงงานทั้งสิ้น 37 ล้านคน ถ้าเราดูจากสถิติการทำงานจากผู้ประกันสังคม จะพบว่าแรงงานที่อยู่ในระบบจริงๆ ประมาณ 10 ล้านคน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ประมาณ 2 ล้านคนเศษ เบ็ดเสร็จแล้ว คนที่อยู่ในระบบที่ทำงานจริงๆ มีอยู่ประมาณ 13 ล้านคน ที่เหลือเป็นแรงงานนอกระบบทั้งสิ้น ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และช่วยเหลือ โดยเฉพาะให้เงินคนละ 2,000 บาท นั้น มีคำถามว่า แล้วคนที่เป็นแรงงานนอกระบบ รวมทั้งเกษตรกรทั้งหลาย จะได้รับการช่วยเหลือของรัฐบาลหรือไม่ และรัฐบาลแก้ปัญหาถูกจุดหรือไม่” แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าว

ส่วนกรณีที่ผู้ใช้แรงงานพยายามที่จะเสนอว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เขาเหล่านั้นสามารถอยู่ได้อย่างถาวรนั้น นายสาวิทย์ กล่าวว่า รัฐบาลควรแก้ปัญหาระยะยาว เพราะแทนที่จะให้เงิน รัฐบาลควรจะให้งานเขาทำมากกว่า เพื่อให้เขามีศักดิ์ศรี และมีเครื่องมือในการทำงาน โดยการให้อาชีพ และส่งเสริมอาชีพ ที่สำคัญคือ กระแสวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้ต้องมาดูว่า เกิดวิกฤตจริงหรือไม่ มีสถานการณ์เลิกจ้างจริงหรือไม่ หรือแนวโน้มของบริษัทต่างๆ มีทิศทางจะหาเหตุจากวิกฤตเพื่อหาโอกาสปลด และเลิกจ้างคนงานหรือไม่

“ในส่วนของการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น รัฐบาลต้องเข้าใจว่า สาเหตุของความจนคืออะไร สิ่งที่ยากจนในวันนี้ ผมเชื่อว่าไม่ได้จนเพราะคนไม่มีเงิน แต่สาเหตุที่คนจนในวันนี้ เพราะส่วนใหญ่ขาดโอกาส และเข้าไม่ถึงการบริการสาธารณะของภาครัฐ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่ารัฐบาลต้องนำไปพิจารณา และศึกษาว่าต้นเหตุที่แท้จริงของความจนคืออะไร และการแก้ไขปัญหาความจนอย่างยั่งยืนที่แท้จริงคืออะไร ที่สำคัญวันนี้ สถานการณ์ของประเทศไทยได้พัฒนาประเทศเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ทำให้สังคมชนบทอยู่ในภาวะล่มสลาย ฉะนั้นวันนี้จึงเป็นคำตอบแล้วว่า การพัฒนาทิศทางด้านอุตสาหกรรมเพียงด้านเดียว ไม่สามารถนำพาสังคมให้อยู่รอดได้” นายสาวิทย์ ระบุ

ส่วนนโยบายประชานิยมนั้น นายสาวิทย์ กล่าวว่า นโยบายประชานิยมจะทำให้การกระจายรายได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ยั่งยืน เพราะเมื่อหยุดอัดฉีดเงิน การกระจายรายได้ก็จะเลวร้ายลง เพราะสวัสดิการที่เกิดขึ้นจากการที่เราต้องประสบความเสี่ยงหลากหลายในชีวิตประจำวัน ทำให้รายได้ผันผวน และเกิดค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง ผู้ที่ไม่สามารถรับกับความผันผวนได้จะต้องประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของสถาบันทีดีอาร์ไอ สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า แนวนโยบายเรื่องประชานิยมที่ใช้เงินอัดฉีดลงไปนั้นเป็นเงินก้อนๆ นั้น ใช้เพียงครั้งเดียวก็หมดไป ท้ายที่สุดจะส่งผลสะเทือนต่องบประมาณแผ่นดินในระยะยาว

“ประสบการณ์ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องกลับไปทบทวนว่า สิ่งที่ให้กับประชาชนนั้นจะสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้จริงหรือไม่ แต่ถ้าหากเราหันกลับมาเอาจุดแข็งของประเทศไทย นั่นคือภาคเกษตร ขึ้นมาพลิกฟื้น โดยทำตลาดให้ดี ก็จะสามารถช่วยให้ชีวิตของชาวไร่ ชาวนา และเกษตรกรได้ วันนี้จึงเป็นปัญหาความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้ หรือรัฐบาลชุดหน้า” แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าว

แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าวต่อว่า เมื่อเช้านี้ตนได้มีโอกาสดูทางจอแดง เขาตัดตอนแค่ 19 ก.ย.2549 ในช่วงรัฐสมัยของรัฐประหารของ คมช. แต่ก่อนนั้นไม่มีการพูดถึงว่า ความเลวร้าย ความสูญเสีย การทุจริตคอร์รัปชั่น การโกงเงินชาติ บ้านเมือง ที่เป็นหลายแสนล้านบาทนั้น มันเกิดขึ้นในระบอบไหน ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าเกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ ที่สำคัญสิ่งที่เลวร้ายที่สุดซึ่งบั่นทอนความสุขของสังคมในขณะนี้ก็คือ นโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โดยการให้ประชาชนเอาป่าเสื่อมโทรม หรือเอาที่ดินไปจำนองเพื่อนำเงินออกมาใช้

“เมื่อเอาเงินออกมาแล้ว ชาวบ้านก็เอาไปซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ จึงทำให้เป็นหนี้ แล้วพอถึงวาระก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ท้ายที่สุดธนาคารก็ไปยึดที่ดินแล้วประกาศขาย พอประกาศขายเสร็จ คนที่ซื้อที่ดินได้ก็คือคนมีเงิน หรือนายทุนทั้งหลาย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในซีกของพรรคการเมือง ฉะนั้นวันนี้ชาวบ้านจึงแทบจะไม่มีกิน ฉะนั้นจึงอาจจะต้องมีวิธีการแก้ไขที่แยบยล เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบทักษิณนั้น ทำให้แหล่งทำมาหากินทั้งหลายในชนบทถูกยึดครองโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำงานทางด้านเกษตรทั้งหลาย และถ้ารัฐบาลยังมองปัญหาเรื่องของความจนไม่ออก ปัญหาทางด้านสังคมก็จะตามมา โดยเฉพาะในเรื่องของผู้ใช้แรงงาน ไม่ว่าจะในระบบ หรือนอกระบบ ซึ่งมีอยู่จำเป็นจำนวนมาก” นายสาวิทย์ ระบุ

ส่วนทางออกของสังคมไทยนั้น นายสาวิทย์ กล่าวว่า ตนคิดว่าสังคมไทยยังมีทางออก เพราะเรามีจุดเด่น และจุดแข็งอยู่ที่ภาคเกษตร ถ้าเราหันมาทบทวนโดยสร้างประเทศไทยให้เป็นครัวของโลกอย่างจริงจัง แล้วนำไปขายยังต่างประเทศ เนื่องจากตนเชื่อว่าคนทั้งโลกยังขาดแคลนเรื่องอาหาร ประกอบกับภาวะโลกร้อน รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก จะทำให้ความต้องการเรื่องอาหารมากขึ้น และเมื่อเรามีจุดแข็งในภาคเกษตร เราจึงควรที่จะเพิ่มความเข้มแข็งให้ภาคเกษตร แล้วดึงคนเมืองให้กลับไปอยู่ชนบท สังคมไทยก็จะเป็นสุข ผมคิดว่าเป็นทิศทางหนึ่งที่รัฐบาลไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่จะแก้ปัญหาหรือดำเนินการนโยบายด้านนี้จริงหรือไม่

แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ยังกล่าวถึงการดำเนินการของกลุ่มเสื้อแดงว่า เมื่อเช้านี้ ตนนั่งฟังเขาพูดถึงเรื่องการปิดสนามบินที่สุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง เขาบอกว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ตนจึงตั้งคำถามว่า ที่ประเทศฝรั่งเศสหยุดงานประท้วงกัน เขาปิดสนามบินกันหรือไม่ ส่วนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดเฉพาะประเทศไทย หรือเกิดจากกรณีที่พันธมิตรฯ ไปปิดสนามบินหรือไม่ เมื่อตรวจสอบแล้วจึงพบว่า ถึงแม้ไม่มีการปิดสนามบินของพันธมิตรฯ ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจก็หนีไม่พ้น ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น คือ พยายามตัดตอนป้ายความผิดให้กับพันธมิตรฯ

“ผมเชื่อว่าพันธมิตรฯ เข้าใจ และรู้ว่าสิ่งที่พูดมานั้นจริงเท็จประการใด ฉะนั้นผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือวิถีทางของประชาชน สิ่งไหนเป็นอำนาจในการต่อรอง นั่นคือสิ่งที่ประชาชนเลือกจะใช้ และการเดินทางไปปิดสนามบินทั้ง 2 แห่ง เพราะเห็นว่ารัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำเนินการในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งปัญหาความวุ่นวาย และความยากจนที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้น ล้วนแล้วแต่มาจากระบอบทักษิณ ซึ่งซ้ำเติมความยากจน โดยเอาทรัพยากรที่ประชาชนถือครองอยู่นั้น กลับไปเป็นทรัพย์สินของตัวเอง นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยเกิดความจนถึงทุกวันนี้” แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าว

นายสาวิทย์ กล่าวอีกว่า วันนี้พันธมิตรฯ ได้ร่วมกันสร้างการเมืองภาคประชาชนที่กว้างใหญ่ไพศาลให้เกิดขึ้น ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงจำเป็นต้องทำต่อไป โดยเราจะต้องสร้างนโยบายภาคประชาชนขึ้นมา เพื่อทำให้การเมืองใหม่เกิดขึ้นให้จงได้ และต่อจากนี้ไปเราจำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น ฉะนั้นการพูดคุย การตั้งวงสนทนาปราศรัยเพื่อหาข้อสรุปหาทิศทางหาช่องทางในการที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่สังคมใหม่ที่ดีงามนั้น คงต้องฝากไว้พวกเราซึ่งจะต้องร่วมกันทำ และร่วมกันสร้าง ความสงบสุขจึงจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา จึงขอเป็นกำลังใจให้กับพันธมิตรฯ ทุกๆ คน และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะร่วมกันต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อที่จะร่วมกันสร้างสรรค์สังคมใหม่ต่อไป
สาวิทย์ แก้วหวาน แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2

กำลังโหลดความคิดเห็น