นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัน เปิดเผยถึงผลวิจัยเรื่อง ศึกษาทัศนคติของประชาชนต่อรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น โดยสำรวจประชาชาอายุ 18 ปี ขึ้นไปใน 18 จังหวัด จำนวน 3,880 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-22 ตุลาคม 2551 พบว่าเป็นข้อมูลที่น่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทยในขณะนี้ เพราะผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.2 คิดว่ารัฐบาบทุกรัฐบาลมีทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทุจริตคอร์รัปชั่นแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ก็ยอมรับได้ ในขณะที่ร้อยละ 36.8 ไม่ยอมรับแนวคิดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจำแนกแนวคิดทางการเมืองของประชาชนออกเป็นกลุ่มที่ชอบ นโยบายประชานิยม และกลุ่มที่ไม่ชอบนโยบายประชานิยมพบว่า กลุ่มที่ชอบนโยบายประชานิยมส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.0 คิดว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลมีทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทุจริตแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ก็ยอมรับได้ ขณะที่ร้อยละ 27 ไม่คิดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามแนวในกลุ่มคนที่ไม่ชอบนโยบายประชานิยมก็มีเกินครึ่งหรือร้อยละ 52.6 ที่มีแนวคิดเช่นเดียวกัน แต่คนที่ไม่ชอบนโยบายประชาชนิยมที่เหลือร้อยละ 47.4 ไม่ยอมรับแนวคิดดังกล่าว
ที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีกเมื่อจำแนกประชาชนออกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ พบว่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับ การศึกษา ทุกอาชีพ และรายได้ ต่างก็มาแนวคิดทัศนคติในเชิงยอมรับรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ถ้าทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี โดยผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นชายร้อยละ 64 หญิงร้อยละ 62.6 ยอมรับรัฐบาลทุจริต และเมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า รัอยละ 54.5 ของตัวอย่างที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 59.6 ของคนที่อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 65.2 ของคนอายุ 30-398 ปี ร้อยละ 67.7 ของคนอายุ 40-49 และร้อยละ 64.2 ของคนอายุ 50 ปีขึ้นไป มีทัศนคติยอมรับรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น
นายนพดล กล่าวว่า แต่เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษาพบว่า คนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไปยอมรับรัฐบาลทุจริตน้อยกว่าคนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี แต่ก็ยังเกินครึ่งคือร้อยละ 52.2 ของคนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญยาตรี
นายนพดล กล่าวว่า แต่เมื่อจำแนกตามอาชีพแล้ว พบความหวังอยู่บ้าง แต่ก็ดูเลือนลาง เพราะผลสำรวจพบว่า คนไทยทุกอาชีพอาชีพส่วนใหญ่เกืนกว่าร้อยละ 60 ที่มีทัศนคติยอมรับรัฐบาลทุจริต ยกเว้นกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีอยู่ร้อยละ 53.3 ที่ยอมรับการคอร์รัปชั่น แต่ร้อยละ 46.7 ไม่ยอมรับ และเมื่อจำแนกตามระดับรายได้พบ่าประชาชนทุกชั้นรายได้จอมรับรัฐบาลที่ทุจริต
นายนพดล กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งชะล้างปัญหาทุจรริต ทำความสะอาดบ้านของสังคมไทยในช่วงนี้ ก่อนที่จะแตกสลายในอนาคตอันใกล้ ยากที่จะเยียวยา เพราะประชาชนส่วนใหญ่กำลังยึดมั่นและมุ่งกอบโกยผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องของตนเป็นสำคัญมากกว่าจิตสำนึกถึงความเสียหายที่จะเกิดตามมาต่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจำแนกแนวคิดทางการเมืองของประชาชนออกเป็นกลุ่มที่ชอบ นโยบายประชานิยม และกลุ่มที่ไม่ชอบนโยบายประชานิยมพบว่า กลุ่มที่ชอบนโยบายประชานิยมส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.0 คิดว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลมีทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยกันทั้งนั้น ถ้าทุจริตแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ก็ยอมรับได้ ขณะที่ร้อยละ 27 ไม่คิดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามแนวในกลุ่มคนที่ไม่ชอบนโยบายประชานิยมก็มีเกินครึ่งหรือร้อยละ 52.6 ที่มีแนวคิดเช่นเดียวกัน แต่คนที่ไม่ชอบนโยบายประชาชนิยมที่เหลือร้อยละ 47.4 ไม่ยอมรับแนวคิดดังกล่าว
ที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีกเมื่อจำแนกประชาชนออกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ พบว่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับ การศึกษา ทุกอาชีพ และรายได้ ต่างก็มาแนวคิดทัศนคติในเชิงยอมรับรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ถ้าทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี โดยผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นชายร้อยละ 64 หญิงร้อยละ 62.6 ยอมรับรัฐบาลทุจริต และเมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า รัอยละ 54.5 ของตัวอย่างที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 59.6 ของคนที่อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 65.2 ของคนอายุ 30-398 ปี ร้อยละ 67.7 ของคนอายุ 40-49 และร้อยละ 64.2 ของคนอายุ 50 ปีขึ้นไป มีทัศนคติยอมรับรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่น
นายนพดล กล่าวว่า แต่เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษาพบว่า คนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไปยอมรับรัฐบาลทุจริตน้อยกว่าคนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี แต่ก็ยังเกินครึ่งคือร้อยละ 52.2 ของคนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญยาตรี
นายนพดล กล่าวว่า แต่เมื่อจำแนกตามอาชีพแล้ว พบความหวังอยู่บ้าง แต่ก็ดูเลือนลาง เพราะผลสำรวจพบว่า คนไทยทุกอาชีพอาชีพส่วนใหญ่เกืนกว่าร้อยละ 60 ที่มีทัศนคติยอมรับรัฐบาลทุจริต ยกเว้นกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีอยู่ร้อยละ 53.3 ที่ยอมรับการคอร์รัปชั่น แต่ร้อยละ 46.7 ไม่ยอมรับ และเมื่อจำแนกตามระดับรายได้พบ่าประชาชนทุกชั้นรายได้จอมรับรัฐบาลที่ทุจริต
นายนพดล กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งชะล้างปัญหาทุจรริต ทำความสะอาดบ้านของสังคมไทยในช่วงนี้ ก่อนที่จะแตกสลายในอนาคตอันใกล้ ยากที่จะเยียวยา เพราะประชาชนส่วนใหญ่กำลังยึดมั่นและมุ่งกอบโกยผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องของตนเป็นสำคัญมากกว่าจิตสำนึกถึงความเสียหายที่จะเกิดตามมาต่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง