“ส.ศิวรักษ์” เขียน จม.เปิดผนึกถึงสื่อมวลชนก่อนถูกจับ จวก “ทักษิณ” ชักใยรัฐบาลร่างทรงใช้คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ทำลายฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่เป็นตัวการทำลายสถาบันฯ เสียเอง แฉม็อบเสื้อแดง 1 พ.ย.เล่นละครโจมตีสถาบันกษัตริย์ชัดเจน แต่รัฐบาลร่างทรงกลับเมินเฉย จวก “นช.แม้ว” ขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งที่เป็นคดีทุจริตร้ายแรง แถมข่มขู่ใช้ประชาชนมาล้มล้าง หารู้ไม่ว่าในหลวงจะไม่ทรงพระราชกรณียกิจใดๆ ที่ขัดกฎหมายเด็ดขาด
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักวิจารณ์สังคมชื่อดัง จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น ส.ศิวรักษ์ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงสื่อมวลชน ชี้แจงกรณีที่จะไม่ได้อยู่ร่วมในงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ เนื่องจากต้องไปร่วมประชุมครั้งสำคัญที่ประเทศอังกฤษ รวมทั้งได้เล่าถึงการถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ระบอบทักษิณและรัฐบาลร่างทรงใช้เล่นงานเขาตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา และเสนอให้สำนักราชเลขาฯ ใช้โอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ขอให้ตำรวจระงับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่อยู่ในมือตำรวจทั้งหมด เพื่อเป็นการแผ่พระบรมเดชานุภาพ และพระบรมราชกฤษฎาภินิหารอย่างแท้จริง เพราะหากปล่อยไว้ให้รัฐบาลร่างทรงดำเนินตามวิถีทางที่ถนัด จะไม่ทำอะไรให้เป็นพระเกียรติยศอย่างจริงจัง
จดหมายเปิดผนึกของ ส.ศิวรักษ์ ระบุว่า “เนื่องในโอกาสวันถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ วันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ เผอิญผมมีกิจต้องไปร่วมประชุมครั้งสำคัญที่ Schumacher College ประเทศอังกฤษ เลยพลาดโอกาสที่จะไปเคารพพระศพเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งๆ ที่ผมได้ส่งเครื่องไทยธรรมไปถวายพระ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทมาแล้ว เมื่อสยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ไปทำบุญอุทิศถวายพระองค์ท่าน
“คนส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงฯ ทรงพระเมตตาผมมาเป็นอเนกประการ และผมเป็นคนกราบทูลเชิญเสด็จให้ไปเป็นนายิกากิติมศักดิ์ของสยามสมาคมฯ โดยผมได้เชิญเสด็จพระขนิษฐาของพระมหากษัตริย์ภูฐานองค์ก่อนให้ได้ไปเฝ้าฯ พระองค์ท่าน ซึ่งทรงรับเชิญจากเจ้านายฝ่ายภูฐานให้เสด็จประเทศนั้น ดังพระองค์ท่านได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องการเสด็จประพาสคราวนี้ไว้อย่างน่าสนใจนัก”
ส.ศิวรักษ์ ระบุว่า ในช่วงที่เขาถูก พล.อ.สุจินดา คราประยูร (อดีตรองประธาน รสช.) ตั้งข้อหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงฯ ก็ทรงห่วงใยเขาอย่างเป็นที่ซาบซึ้งใจ และในที่สุดเขาก็ชนะคดีที่ พล.อ.สุจินดา ฟ้อง แต่น่าเศร้าที่พวกนักการเมืองมักใช้เลศกล่าวหาเขาและสาธุชนคนอื่นๆ ในเรื่องกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกันต่อๆ มาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น แม้พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวจะมีพระราชดำรัสไว้อย่างชัดเจนแล้ว แต่เมื่อก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2548 ว่าการกล่าวหาฟ้องร้องในเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น เป็นการทำร้ายพระองค์ท่าน และเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย แต่รัฐบาลที่อ้างว่าจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็ไม่ใยไพ หรือจงใจขัดขืนพระบรมราโชวาท จะว่าพวกเขาใช้คดีที่ว่านี้ เพื่อทำลายสถาบันอันสำคัญสุดของชาติบ้านเมืองก็ยังได้
“สำหรับตัวผมเอง ได้ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีกครั้ง โดยมีอนุสนธิมาจากคำสัมภาษณ์ของผมที่ลงพิมพ์ใน ฟ้าเดียวกัน ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๘ โดยผมได้นำเอาบทสัมภาษณ์นั้นมาลงพิมพ์ซ้ำในหนังสือของผมที่มีชื่อว่า สรรพสาระสำหรับผู้แสวงหา ด้วย (น่าแปลกใจที่เล่มนี้ไม่ได้ถูกตำรวจสั่งเก็บ หากเล่มที่ชื่อว่า ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ถูกสั่งเก็บ โดยผมได้ฟ้องตำรวจไปยังศาลปกครองกลางด้วยแล้ว) สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการรีบรัดสรุปคดี เพื่อส่งให้อัยการฟ้องร้องผม และคนอื่นๆ ในคดีนี้ แต่เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๔๙ หากผมคัดค้านว่า ตำรวจกระทำการเช่นนี้มิได้ เพราะผมมีสิทธิที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน เพื่อขอให้การเพิ่มเติมจากคำให้การที่ให้แล้วและอ้างพยานฝ่ายผู้ต้องหาที่จะให้การในชั้นพนักงานสอบสวนได้อีก
“ผมบอกกับตำรวจไปว่า ถ้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไม่ทำตามกฎหมาย ผมจะฟ้องตำรวจที่เกี่ยวข้องทุกๆ คน ผลก็คือพนักงานสอบสวนยอมตามคำของผม
“ครั้นเมื่อเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ณ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แล้ว พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส มาเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านผู้นี้ได้แจ้งมาให้ผมทราบด้วยวาจาว่า ณ วันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ทางสำนักราชเลขาธิการแจ้งมาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติระงับคดีดังกล่าวเสีย แม้ผมจะไม่ได้รับลายลักษณ์อักษรแต่ประการใดก็ตาม
“แต่แล้ว ณ วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ได้แจ้งข้อหาว่าผมมีพฤติการณ์กระทำผิดในเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีก โดยโยงไปยังนิตยสารภาษาอังกฤษ Seeds of Peace ฉบับที่ ๑ ประจำเดือนมกราคม-เมษายน ๒๕๔๘ เมื่อผมไปปรากฏตัวตามหมายเรียกที่ สน.ชนะสงครามแล้ว เรื่องก็เงียบไป จนเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายนศกนี้ พนักงานสอบสวน สน. ชนะสงครามก็มีหมายเรียกให้ผมไปพบอัยการ เพื่อตำรวจจะให้ยื่นฟ้องผม เป็นอันว่าผมต้องใช้วิธีเดียวกับที่กระทำมาแล้ว ณ สน.บางซื่อ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๔๙ เพราะผมมีสิทธิขอเลื่อนการส่งตัวตามหมายเรียก โดยผมขอให้การเพิ่มเติมและอ้างพยานฝ่ายผู้ต้องหาที่จะให้การในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวน สน. ชนะสงครามก็ยินยอมตามกฎหมาย
“ที่น่าสงสัยก็ตรงที่เหตุใด รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรก็ดี และรัฐบาลที่เป็นร่างทรงของคนๆ นี้ก็ดี ล้วนนำเอาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาใช้บ่อยครั้งนัก ดังที่ เดวิด สเตร็กฟัส เขียนบทความทางวิชาการลงพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษว่า เมืองไทยในยุคนี้มีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุด เป็นไปได้ไหมว่านายกรัฐมนตรี ที่อ้างว่าจงรักภักดี และประกาศว่า ที่พยายามดำรงตำแหน่งอยู่ ก็เพื่อจัดงานพระศพสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงฯ กลางเดือนพฤศจิกายน และเพื่อจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้นเดือนธันวาคม ทั้งๆ ที่ตามความเป็นจริงนั้น รัฐบาลนี้เป็นร่างทรงของบุคคลที่ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังขอให้สังเกตว่างานมหกรรมเสื้อแดงที่จัดขึ้น ณ สนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นั้น ก่อนที่ทักษิณ ชินวัตร จะปรากฏตัวและเสียง (จากต่างประเทศ) บนจอยักษ์นั้น ได้มีละครเล่นโจมตีพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน แม้จะไม่เอ่ยพระนามตรงๆ ก็ตามที แต่รัฐบาลนี้ก็ไม่ดำเนินคดี และเมื่อทักษิณออกมาแสดงวาทะ เขาก็บอกว่าเขาจะกลับเมืองไทยได้ ก็ด้วยพระราชบารมีที่พระราชทานอภัยโทษให้เขา (ทั้งๆ ที่ความผิดของเขาไม่ใช่เรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากเป็นความฉ้อฉลทุจริตอย่างร้ายแรง) หาไม่ เขาก็ต้องอาศัยพลังประชาชน ทั้งนี้หมายความว่า ถ้าเบื้องสูงไม่ช่วยเขา เขาก็จะใช้เบื้องล่างเป็นขบวนการมาล้มล้างเบื้องสูงเสียกระนั้นหรือ แล้วนี่มิเป็นการอ้าขาผวาปีกเกินไปดอกหรือ ชั่งไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเอาเสียเลย
“ทักษิณไม่รู้หรือว่าพระเจ้าอยู่หัวจักไม่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจใดๆ ที่ขัดกฎหมาย ผิดกับทักษิณที่เมื่อตอนเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงกับสั่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดถอนฟ้องคดีอาญา ที่หัวหน้าสำนักพระธรรมกายต้องอยู่เป็นหลายคดี ทั้งๆ ที่นี่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง”
ในตอนท้ายของจดหมายเปิดผนึก ส.ศิวรักษ์ ระบุว่า สำหรับกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีมากจนเฝือ จักไม่เป็นคุณกับสถาบันเพระมหากษัตริย์ ทั้งพวกที่ต้องการโค่นล้มสถาบันดังกล่าว ยังใช้ข่าวลือที่แพร่สะพัดไปจากปากต่อปาก และจาก website ต่างๆ ซึ่งล้วนไม่เป็นมงคลทั้งนั้น จึงใคร่เสนอความเห็นว่า เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่จะถึงในเร็วๆ นี้ ทางสำนักราชเลขาฯ ควรใช้อุบายโกศลดังเมื่อวันก่อนพระราชพิธีฉัตรมงคลในปี 2550 โดยแจ้งให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติระงับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่อยู่ในอาณัติของพนักงานสอบสวนเสียทั้งหมด เพราะนี่จะเป็นการแผ่พระบรมเดชานุภาพ และพระบรมราชกฤษฎาภินิหารอย่างแท้จริง เพราะปล่อยไว้ให้รัฐบาลร่างทรงดำเนินตามวิถีทางที่เขาถนัด เขาจะไม่ทำอะไรๆ ให้เป็นพระเกียรติยศอย่างจริงจังแท้ทีเดียว หากเขาใช้แต่เล่ห์เพทุบายว่าจงรักภักดีเท่านั้น โดยที่นายกรัฐมนตรีคนนี้ก็ไม่ยอมรับผิดเสียอีกด้วยกับการสั่งฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม