หน.ปชป.เรียกร้อง “นช.แม้ว” ยอมรับกระบวนการตัดสิน เชื่อสังคมให้อภัย เตือนอย่าอ้างความชอบธรรมเพราะถูกปฏิวัติ ทั้งที่มีพฤติกรรมออกนอกประเทศเพราะหลบหนีหมายจับ ขณะเดียวกันออกหนังสือ"เข็มทิศประเทศไทย เพื่อหาแนวทางออกให้กับวิกฤติประเทศ ด้าน“ถาวร”จวก "แม้ว"ไม่เคยสำนึก ทั้งที่กลับมาต่อสู้คดีได้ตลอด
วันนี้ (2 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์ทางไกลเข้ารายการ “ความจริงวันนี้สัญจร” วานนี้ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัย แต่สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดนั้นเป็นการพยายามสร้างกระแสทางการเมือง และไม่ยอมรับการกระทำของตัวเอง ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนกรณีที่ศาลแพ่งพิจารณาคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ตนคิดว่าศาลต้องพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ถ้าทรัพย์สินส่วนใดที่พ.ต.ท.ทักษิณมีมาแต่เดิม ก็มีโอกาสมากที่จะได้รับคืนสูงมาก แต่ถ้าส่วนใดที่ได้เพิ่มมาจากการใช้อำนาจหน้าที่มาแสวงประโยชน์ ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า สำหรับการที่พ.ต.ท.ทักษิณจะให้สังคมให้อภัยนั้น ตนคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือพ.ต.ท.ทักษิณต้องสำนึกผิดและรับผิดเสียก่อน การให้อภัยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อตัวคนทำผิดต้องสำนึกผิด ยอมรับโทษแล้วการให้อภัยจะเกิดขึ้น ถ้าคิดอย่างนี้ ทุกอย่างก็เดินไปได้ แต่ถ้าคิดบนสมมติฐานว่าไม่ได้ทำผิดแต่กลายเป็นคนอื่นและกระบวนการยุติธรรมผิดหมด ตนยังนึกไม่ออกว่าจะทำให้บ้านเมืองเดินหน้าได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณปล่อยใจให้ว่างแล้วทบทวนข้อเท็จจริงว่าความไม่เป็นธรรมเกิดจากอะไร ซึ่งตนเห็นว่าง่ายมาก เพราะตัวพ.ต.ท.ทักษิณในขณะนั้นเป็นนายกรัฐนตรี แต่มีกฎหมายห้ามคนเป็นรัฐมนตรีและคู่สมรสไปทำธุรกิจกับรัฐโดยตรงหรือโดยอ้อม และพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคู่สมรสของคุณหญิงพจมาน และคุณหญิงพจมานไปทำธุรกิจกับหน่วยงานที่พ.ต.ท.ทักษิณกำกับดูแล ต้องทบทวนว่ามันไม่เป็นธรรมตรงไหน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนความพยายามวาดภาพที่ทำให้ประชาชนสับสนว่าพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไม่ได้เพราะมีการปฏิวัติรัฐประหารนั้นก็ไม่ใช่ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเคยกลับประเทศไทยมาแล้วรอบหนึ่ง เพราะมีคนที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐบาลอยู่ แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็หนีศาลออกไป เนื่องจากไม่ต้องการมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณกลับไปทบทวนสิ่งเหล่านี้แล้ววางท่าทีเสียใหม่ การแก้ปัญหาต่างๆจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ายึดตัวเองเป็นหลัก บ้านเมืองจะได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนของพ.ต.ท.ทักษิณต่อไป
เมื่อถามว่าคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณมีการอ้างถึงสถาบันเบื้องสูง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้พ.ต.ท.ทักษิณและผู้สนับสนุนพยายามลากสถาบันต่างๆ กระบวนการยุติธรรม และสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในวังวนความขัดแย้ง แต่อยากให้ยอมรับความจริงหลายๆอย่าง และการจะเจรจาหรือมีกระบวนการใดก็ตามมาแก้ปัญหาก็ต้องว่ากันไปตามกติกา
ผู้สื่อข่าวถามว่าความพยายามเช่นนี้ยิ่งตอกย้ำเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่กลุ่มคนบางกลุ่มกระทำอยู่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันทำให้คนไม่สบายใจมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่บ้านเมืองต้องการขณะนี้
ต่อข้อถามถึงเหตุการณ์กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 มาชุมนุมปิดล้อมหน้าโรงแรมที่จัดการประชุมสาขาพรรคประชาธิปัตย์ภาคเหนือ ที่จ.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนยังไม่มีโอกาสได้คุยกับผู้เข้าร่วมประชุมดังกล่าว แต่เข้าใจว่ามีขบวนการพยายามสร้างกระแสในลักษณะนี้อยู่ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย มีเพียงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ที่ไม่ได้เข้าไปในที่ประชุมเท่านั้น
เมื่อถามว่าเป็นเพราะคนในรัฐบาลก็ถูกกลุ่มประชาชนมาชุมนุมต่อต้านใช่หรือไม่ ทำให้พรรคถูกคนฝ่ายตรงข้ามทำกระทำการเช่นนี้ด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ เพราะเวลาที่นายกฯหรือรัฐมนตรีมีปัญหาเช่นนี้ ตนก็ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการมีมวลชนไปขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ การจะไปแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยหรือไปชุมนุมนั้นก็ไม่เป็นปัญหา แต่อยากให้เปิดโอกาสให้ทุกคนปฏิบัติภารกิจได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงการพบปะศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ หัวหน้าทีมเครือข่ายสานเสวนาฯ ในช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย.นี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนรับฟังว่ากลุ่มดังกล่าวมีข้อเสนออะไร และตนจะให้ความคิดไปว่าแนวทางควรจะเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ จากการพูดคุยกันเบื้องต้นก็เหมือนกับเป็นกรอบกว้างๆในแง่ของกระบวนการ ถ้ามีอะไรที่ช่วยคลี่คลายปัญหาบ้านเมืองได้ เราพร้อมร่วมมือ
เมื่อถามว่าเป็นข้อเสนอเดียวกันกับที่เขียนในหนังสือ“เข็มทิศประเทศไทย”ที่จะแจกในงานระดมทุนของพรรคใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีส่วนหนึ่งเพื่อให้เห็นสภาพปัญหาที่แท้จริง เพราะตอนนี้เมื่อมีประเด็นปลีกย่อยเป็นความขัดแย้งกัน ทำให้คนอาจมองไม่เห็นภาพใหญ่ซึ่งก็คือในระบอบประชาธิปไตยมี 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่งคือการเคารพเสียงข้างมาก หมายความว่าเรายังต้องยึดถือกระบวนการเลือกตั้งและยอมรับคนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่อีกด้านหนึ่ง คือ เมื่อมาจากการเลือกตั้งแล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย และต้องแสดงความรับผิดชอบเวลาบ้านเมืองเกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมรับทั้ง 2 ส่วนนี้ แต่ถ้าส่วนหนึ่งยึดท่องแค่ว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่อีกส่วนบอกแค่ว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องแล้วต้องรับผิดชอบ อีกทั้งถ้าพยายามยึดด้านเดียว บ้านเมืองและประชาธิปไตยก็จะเดินไม่ได้
ซึ่งตนหวังว่าทุกคนจะมองเห็นว่าถ้าเราปล่อยบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกคนจะเดือดร้อนเอง และตนเชื่อว่าถ้าปล่อยให้เรื้อรังจนเกิดการแตกหัก ในที่สุดจะไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด แต่อยู่ที่ว่าใครจะหันมาตั้งหลักและยอมรับสิ่งที่เป็นไปได้ ซึ่งยืนอยู่บนความถูกต้องและยั่งยืนด้วย อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าคู่กรณีจริงๆคือรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งน่าจะมีกระบวนการเจรจาระหว่าง 2 ฝ่ายนี้เพื่อให้เรื่องจบ โดยฝ่ายค้านไม่ขัดข้อง เพราะเราต้องการให้บ้านเมืองสงบและเดินไปข้างหน้าได้
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ ได้เขียนหนังสือชื่อ "เข็มทิศประเทศไทย" เพื่อแนวทางหาทางออกให้กับวิกฤติของประเทศ โดยเสนอให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมกันแก้ไข โดยหนังสือดังกล่าวจะแจกให้แก่ผู้มาร่วมงานระดมทุนของพรรค ภายใต้ชื่องานว่า "เชื่อมั่นประเทศไทย เชื่อมั่นพรรคประชาธิปัตย์" ที่จะจัดขึ้นที่เมืองทองธานี ในวันที่ 8 พ.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาในหนังสือ "เข็มทิศประเทศไทย" ของนายอภิสิทธิ์ มีใจความพอสรุปได้ดังนี้ ความขัดแย้งที่เป็นวิกฤติขณะนี้เป็นการต่อสู้ทางความคิด คนชอบคาดคิดว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงจะชนะ แต่ในความเห็นตนการจะบอกว่า ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกต้องเสียทั้งหมด หรือชนะอย่างเด็ดขาดนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้จริง
ปัญหาสำคัญขณะนี้คือ เรากำลังเอาบางเรื่องมาชนกัน ทั้งที่เป็นคนละเรื่องคนละหลักความคิด ชาวบ้านจำนวนไม่น้อย กำลังอาความนิยม ความชอบ หรือความต้องการของตนเอง นำมาชนกับความเชื่อในเรื่องความถูกต้อง และการบังคับใช้กฎหมาย เราจึงเห็นคนมีอารมณ์มีความรู้สึกร่วมมาก ในสถานการณ์เช่นนี้จุดทดสอบสำคัญคือ เราจะสามารถแยกโจทย์ และตอบโจทย์ได้ถูกต้องหรือไม่ เช่น ฝ่ายที่สนับสนุนระบอบทักษิณ ก็มีแนวคิดว่า การจะตัดสินถูกผิดนั้นไม่จำเป็นต้องดูตามเนื้อผ้า ข้อเท็จจริงหรือกฎหมาย ผสมกับค่านิยมที่ว่าคนจะโกงก็ได้ขอแค่ให้เขาทำอะไรให้บ้านเมืองหรือตัวเราก็พอ ขณะที่อีกกลุ่ม ยึดถือความถูกผิด ยึดหลักกฎหมาย
หนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้กำลังทดสอบเราอย่างแหลมคมมากว่า ถ้ามีความจำเป็นจะต้องยืนยันความถูกต้องทั้งกรณีของพรรคการเมืองหรือกรณีตัวบุคคลจะก้าวไปถึงจุดที่เราสามารถยืนยันได้หรือยังว่าต่อไปนี้สังคมเรากฎคือกฎ กติกาคือกติกาถ้ายังผ่านจุดนี้ไมได้ยังเลือกที่รักมักที่ชัง วิกฤติการณ์เมืองและเศรษฐกิจก็จะย้อนกลับมาและกลายเป็นวงจรต่อไปเรื่อยๆ เราจะไม่สามารถถีบตัวเองไปเป็นสังคม เป็นประเทศที่เติบโตมีการพัฒนาอย่างเต็มที่ ตนไม่ปฏิเสธว่ามีคู่กรณีที่มีผลประโยชน์เรื่องอำนาจ มีการช่วงชิงอำนาจอยู่ที่ใช้คำว่า การต่อสู้ทางความคิดเพราะถ้าลำพังเพียงแค่คู่กรณีเล่นกันเอง มันไม่ลุกลามเป็นวิกฤตขนาดนี้ แต่วันนี้มีมวลชนและประชาชนที่ไม่มีผลประโยชน์ในเชิงอำนาจโดยตรง แต่ถูกทำให้ต้องเลือกข้างแล้วมาต่อสู้กัน ซึ่งทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม พันธมิตรฯ และคนที่สนับสนุน นปก. หรือคนที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ตัวแกนนำ ตนไม่รู้ แต่คนจำนวนมากคงมีความเชื่อของเขาอย่างนั้นจริงๆ
ด้านนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเนื้อหาการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นความคิดเห็นที่เห็นแก่ตัว โดยดึงสถาบันฯลงมา ตามกระบวนการยุติธรรมพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถกลับประเทศไทยได้ทุกเวลาเพื่อต่อสู้คดี พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีว่าได้ทำอะไรไว้บ้าง และสังคมไทยอยากให้ท่านกลับมาต่อสู้คดีโดยเร็ว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามที่เคยประกาศไว้ว่าจะสู้คดีความในชั้นศาล และที่ผ่านมาก็เคยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในคดีที่คนอื่นหมิ่นประมาท เป็นหมื่นล้านบาท ด่าพอศาลสั่งจำคุกกลับไม่กล้าที่จะกลับมาต่อสู้คดี ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าทำเรื่องระคายเคืองให้พระองค์ท่านแล้วยังไม่สำนึกผิด