“ความจริงที่ตกหล่นไป จากจดหมายของอดีตนายกฯ ที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของแผ่นดินแม่”
จากจดหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งส่งออกไปผ่านสื่อมวลชนทั่วโลกทำให้ข้อเท็จจริงสับสน ทำให้คนไทยต้องทนอยู่กับการต่อสู้กับความเท็จ และการใช้ความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกนานเท่าใด
สิ่งที่น่าเศร้าใจและน่าแปลกใจคือ อดีตนายกรัฐมนตรีของเรายังไม่มีความเข้าใจในเรื่อง “ความขัดแย้งทางผลประโยชน์” และ “บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน” หลังจากที่ได้ถูกร้องเตือน ตำหนิ ต่อต้าน กล่าวหา และในที่สุดถูกพิพากษาโทษเป็นที่สิ้นสุด
ท่านอ้างในจดหมายของท่านว่า
“ผมถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต เหตุผลเดียวที่ผมถูกสั่งจำคุก เพราะในช่วงเวลาที่ภรรยาของผมซื้อที่ดินโดยการเปิดประมูลนั้น ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ผมได้ฟังคำตัดสินเมื่อวันก่อนและจนถึงตอนนี้ ผมยังคงสับสน เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล คอร์รัปชั่น หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล คำถามคือ ภรรยาของผมเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและตัดสินใจยื่นประมูลที่ดินดังกล่าว เป็นผู้ยื่นเสนอราคาจำนวนมากแก่ผู้ขายซึ่งคือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆ เป็นผู้เซ็นสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย จ่ายเงินค่าที่ดินโดยที่สามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร”
น่าเสียดาย ที่ท่านจงใจไม่เอ่ยถึง สาระและหลักฐานหลายประการตามคำพิพากษา หลายประการที่จะทำให้ไม่มีความสับสน และเห็นถึงความเป็นธรรมอย่างยิ่งของกระบวนการยุติธรรมของประเทศดังต่อไปนี้
1. ดังที่ท่านกล่าวว่า ภรรยาซื้อกองทุนฟื้นฟู แต่สิ่งสำคัญคือ กองทุนฟื้นฟูฯ ก็เป็นหน่วยงานของรัฐภายใต้ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งท่านขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจสูงสุดในการดูแลหน่วยงานของรัฐทั้งปวงอยู่แล้ว
2. กองทุนฟื้นฟูฯได้จัดประมูลครั้งแรกในวันที่ 10 กรกฎาคม 2546 โดยกำหนดราคาขั้นต่ำ 870 ล้านบาท และผู้เข้าประมูลจะต้องวางเงินมัดจำการยื่นซอง 10 ล้านบาท ปรากฏว่ามีผู้แสดงความจำนงจะซื้อ 8 ราย แต่มีผู้ลงทะเบียนยื่นซองเสนอราคาและชำระเงินมัดจำ 10 ล้านบาท เพียง 3 ราย คือ แต่ผู้ลงทะเบียนยื่นซองเสนอราคาทั้ง 3 รายดังกล่าว ไม่เสนอราคาประมูลมาให้พิจารณาจึงมีการยกเลิกการประมูลขายที่ดินขั้นต้น (โดยไม่ทราบเหตุผลใดๆ)
3. ต่อมากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวใหม่ โดยกันส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออก แล้วประกาศประมูล เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 โดยกำหนดให้ผู้เข้าประกวดราคาต้องวางเงินมัดจำการยื่นซองเป็นเงินถึง 100 ล้านบาท ซึ่งเกิน 10% ตามที่ระบุในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นระเบียบที่นำมาใช้ในการปฏิบัติ
4. ในครั้งนี้ มีผู้ซื้อแบบ 4 ราย แต่มีผู้ยื่นซองเสนอราคาและชำระเงินมัดจำการยื่นซอง 3 ราย คือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 730,000,000 บาท, บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 750,000,000 บาท และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สมรสจำเลยที่ 1 เสนอราคา 772,000,000 บาท เป็นผู้ประมูลสูงสุด และชนะการประมูล
5. เป็นที่สังเกตว่าราคาประมูลของอีก 2 รายที่แพ้การประมูลมีราคาเป็น “จำนวนกลมๆ” ซึ่งไม่เป็นลักษณะปกติของการประมูลแบบปิดซองประมูล ซึ่งมักจะมีหลักเศษๆ เพื่อหวังจะชนะรายอื่นๆด้วยเศษๆส่วนเพิ่มนั้นๆ
6. มีการยกเลิกข้อจำกัดเรื่องความสูงในการก่อสร้างอาคาร ภายหลังที่จำเลยที่ 2 ประมูลได้ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น
7. ศาลได้พิพากษาโดยยึดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มีเจตนารมณ์สำคัญในการห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้โอกาสจากการมีอำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ จากหน่วยงานของรัฐ ที่ตนมีหน้าที่กำกับดูแล หรือควบคุม อันอาจทำให้เกิดการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของตนกับผลประโยชน์ของรัฐ โดยถือว่าการกระทำของคู่สมรสเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง ดังในกรณีนี้ กองทุนฟื้นฟูฯมีหน้าที่จะประมูลขายให้ได้ราคาสูงสุดเพื่อบรรเทาความเสียหาย และ คุณหญิงพจมาน ซื้อเพื่อเป็นธุรกิจ จึงน่าจะมีความประสงค์จะให้เป็นภาระต้นทุนที่ต่ำ อันเป็นความขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของตนกับผลประโยชน์ของรัฐโดยชัดแจ้ง
8. ศาลจึงได้ตัดสินลงโทษท่านจำคุก 2 ปี ฐานมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 ว่าด้วยการกระทำอันทำให้เกิดการขัดกันของผลประโยชน์ระหว่างของรัฐกับส่วนบุคคลเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ศาลจะให้ความกรุณาไม่พิพากษาเอาโทษท่าน ในกรณีที่มีการไม่กำหนดราคาขั้นต่ำของที่ดินพิพาท ในการประกวดราคา มีการเพิ่มเงินมัดจำในการยื่นซองประกวดราคาเป็น 100 ล้านบาท และมีการยกเลิกข้อจำกัดในเรื่องความสูงในการก่อสร้างอาคารบริเวณที่ดินที่ขายแก่ภรรยาของท่าน ทำให้ที่ดินพิพาทมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิม ด้วยเห็นว่ายังไม่พอให้รับฟังว่าเป็นการกระทำ หรือท่านมีส่วนกระทำ หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับท่าน แต่ก็นับว่าเป็นการส่อถึงข้อพิรุธในการซื้อขายที่ดินพิพาท ระหว่างกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กับภรรยาของท่าน ซึ่งสนับสนุนว่า “ความขัดกันของประโยชน์” อาจได้เกิดขึ้นแล้ว ในฐานที่ท่านเป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงเหนือทั้งหน่วยงานของรัฐ และธุรกิจภาคเอกชน
9. ท่านยังได้ปกปิดบิดเบือนว่า “ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์” แต่ท่านอดีตผู้นำในการเป็นถึงสัญลักษณ์ของรายการโทรทัศน์ดังกล่าว อาจมีความขัดกันของประโยชน์ กับผู้สนับสนุนรายการ เวลาการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานการปลอมแปลงการจ้างงาน ซึ่งเปลี่ยนเป็นค่าเดินทางโดยให้คนขับรถเป็นผู้รับ แม้บางวันจะเป็นการถ่ายทำที่บ้านของตน ข้อเท็จจริงเหล่านี้มีความสำคัญต่อการตัดสินคดีความอย่างยุติธรรมเพื่อไม่ให้เกิดโอกาสแห่งความขัดกันของประโยชน์ของภาครัฐกับประโยชน์ของส่วนตัว
10. ท่านมักจะอ้างว่าเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่ในระยะเวลากว่า 5 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลีกเลี่ยงการตอบกระทู้ในสภา ยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จัดการเลือกตั้งปลอม ครอบงำคณะกรรมการอิสระผู้จัดการการเลือกตั้ง ใช้สื่อสารเยี่ยงเผด็จการด้วยการสื่อความข้างเดียว ไม่ยอมให้มีการโต้วาทีในกระบวนการการเลือกตั้ง ไม่เคารพกฎหมายด้วยการใช้กลอุบายของภรรยาซื้อขายหุ้นแทนการโอนหุ้นเพื่อเลี่ยงภาษี ยังมีพฤติกรรมขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยการซุกหุ้นและสินทรัพย์ในต่างประเทศ ที่ใช้ซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ และซื้อตัวนักกีฬาและผู้บริหารเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นดังกระบวนการฟอกเงินสกปรกเป็นเงินสะอาด เช่นกรณีวินมาร์ค ไม่รับฟังและปิดกั้นสื่อสารมวลชนต่อประชาชนที่แสดงความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างอย่างสงบและปราศจากอาวุธ มีปัญหาทนายความพยายามติดสินบนศาลยุติธรรม ใช้อำนาจที่ได้จากประชาชนแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงปัญหาความขัดกันของประโยชน์ภาครัฐกับประโยชน์ส่วนตน
โดยล่าสุด มีแผนที่ท่านจะกล่าวกับประชาชนโดยฝ่ายเดียวผ่านสื่อของรัฐ ทั้งๆที่ท่านหลบหนีในการชี้แจงให้ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม หลบหนีการชี้แจงต่อสภาผู้แทนซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนในการตรวจสอบอำนาจรัฐด้วย แต่ท่านยังคงสื่อความโดยไม่ให้ความจริงที่ไม่ครบถ้วนเพียงเพื่อปกป้องตนเองโดยการทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยซึ่งเป็นแผ่นดินแม่ของท่าน
ยากที่จะเข้าใจว่าเป็นการสะท้อนถึงจิตประชาธิปไตย หรือเป็นการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนและสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองเพียงเพื่อปกป้องความผิดของท่านกันแน่ และยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความไม่เข้าใจและไม่ยอมรับในหลักการของการต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความขัดกันของผลประโยชน์ ซึ่งบทบาทของรัฐบาล ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ก็มักจะสบสน และมีโอกาสเกิดความขัดกันของประโยชน์สูง ด้วยเหตุ “นายกรัฐมนตรีเป็นน้องเขยของนักโทษแผ่นดิน”
หวังอย่างยิ่งว่าท่านจะเริ่มทำความเข้าใจถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของประชาธิปไตย ที่มุ่งสร้างให้เกิดระบบการปกครองที่มีความสมานฉันท์ท่ามกลางความแตกต่างทางความคิดของประชาชนตามจิตวิญญาณแบบเสรีประชาธิปไตย เป็นกระบวนที่ให้ได้มาซึ่งผู้นำมีมีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมและจริยธรรม โดยมีระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็ง มิใช่เป็นเพียงช่องทางธุรกิจโดยการผูกขาดอำนาจทางการเมืองแต่อย่างใด
การดำรงอยู่ในความเท็จมากมาย โดยยังเชื่อว่า ท่านเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่ด้วยการใช้ประชาธิปไตยเยี่ยงเผด็จการผูกขาด คงต้องใช้การหลอกตัวเองอยู่มาก แต่ไทยทนเชื่อว่า “คนเราอาจลวงตนเองได้ตลอดเวลา แต่จะลวงคนไม่ได้ทั้งโลกา” หวังว่า ความถูกต้อง คุณธรรม ความยุติธรรม จะได้รับการปกป้องให้อยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป
ไทยทน
จากจดหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งส่งออกไปผ่านสื่อมวลชนทั่วโลกทำให้ข้อเท็จจริงสับสน ทำให้คนไทยต้องทนอยู่กับการต่อสู้กับความเท็จ และการใช้ความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกนานเท่าใด
สิ่งที่น่าเศร้าใจและน่าแปลกใจคือ อดีตนายกรัฐมนตรีของเรายังไม่มีความเข้าใจในเรื่อง “ความขัดแย้งทางผลประโยชน์” และ “บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน” หลังจากที่ได้ถูกร้องเตือน ตำหนิ ต่อต้าน กล่าวหา และในที่สุดถูกพิพากษาโทษเป็นที่สิ้นสุด
ท่านอ้างในจดหมายของท่านว่า
“ผมถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต เหตุผลเดียวที่ผมถูกสั่งจำคุก เพราะในช่วงเวลาที่ภรรยาของผมซื้อที่ดินโดยการเปิดประมูลนั้น ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ผมได้ฟังคำตัดสินเมื่อวันก่อนและจนถึงตอนนี้ ผมยังคงสับสน เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล คอร์รัปชั่น หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล คำถามคือ ภรรยาของผมเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและตัดสินใจยื่นประมูลที่ดินดังกล่าว เป็นผู้ยื่นเสนอราคาจำนวนมากแก่ผู้ขายซึ่งคือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆ เป็นผู้เซ็นสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย จ่ายเงินค่าที่ดินโดยที่สามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร”
น่าเสียดาย ที่ท่านจงใจไม่เอ่ยถึง สาระและหลักฐานหลายประการตามคำพิพากษา หลายประการที่จะทำให้ไม่มีความสับสน และเห็นถึงความเป็นธรรมอย่างยิ่งของกระบวนการยุติธรรมของประเทศดังต่อไปนี้
1. ดังที่ท่านกล่าวว่า ภรรยาซื้อกองทุนฟื้นฟู แต่สิ่งสำคัญคือ กองทุนฟื้นฟูฯ ก็เป็นหน่วยงานของรัฐภายใต้ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งท่านขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจสูงสุดในการดูแลหน่วยงานของรัฐทั้งปวงอยู่แล้ว
2. กองทุนฟื้นฟูฯได้จัดประมูลครั้งแรกในวันที่ 10 กรกฎาคม 2546 โดยกำหนดราคาขั้นต่ำ 870 ล้านบาท และผู้เข้าประมูลจะต้องวางเงินมัดจำการยื่นซอง 10 ล้านบาท ปรากฏว่ามีผู้แสดงความจำนงจะซื้อ 8 ราย แต่มีผู้ลงทะเบียนยื่นซองเสนอราคาและชำระเงินมัดจำ 10 ล้านบาท เพียง 3 ราย คือ แต่ผู้ลงทะเบียนยื่นซองเสนอราคาทั้ง 3 รายดังกล่าว ไม่เสนอราคาประมูลมาให้พิจารณาจึงมีการยกเลิกการประมูลขายที่ดินขั้นต้น (โดยไม่ทราบเหตุผลใดๆ)
3. ต่อมากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวใหม่ โดยกันส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออก แล้วประกาศประมูล เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 โดยกำหนดให้ผู้เข้าประกวดราคาต้องวางเงินมัดจำการยื่นซองเป็นเงินถึง 100 ล้านบาท ซึ่งเกิน 10% ตามที่ระบุในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นระเบียบที่นำมาใช้ในการปฏิบัติ
4. ในครั้งนี้ มีผู้ซื้อแบบ 4 ราย แต่มีผู้ยื่นซองเสนอราคาและชำระเงินมัดจำการยื่นซอง 3 ราย คือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 730,000,000 บาท, บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 750,000,000 บาท และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สมรสจำเลยที่ 1 เสนอราคา 772,000,000 บาท เป็นผู้ประมูลสูงสุด และชนะการประมูล
5. เป็นที่สังเกตว่าราคาประมูลของอีก 2 รายที่แพ้การประมูลมีราคาเป็น “จำนวนกลมๆ” ซึ่งไม่เป็นลักษณะปกติของการประมูลแบบปิดซองประมูล ซึ่งมักจะมีหลักเศษๆ เพื่อหวังจะชนะรายอื่นๆด้วยเศษๆส่วนเพิ่มนั้นๆ
6. มีการยกเลิกข้อจำกัดเรื่องความสูงในการก่อสร้างอาคาร ภายหลังที่จำเลยที่ 2 ประมูลได้ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น
7. ศาลได้พิพากษาโดยยึดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มีเจตนารมณ์สำคัญในการห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้โอกาสจากการมีอำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ จากหน่วยงานของรัฐ ที่ตนมีหน้าที่กำกับดูแล หรือควบคุม อันอาจทำให้เกิดการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของตนกับผลประโยชน์ของรัฐ โดยถือว่าการกระทำของคู่สมรสเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง ดังในกรณีนี้ กองทุนฟื้นฟูฯมีหน้าที่จะประมูลขายให้ได้ราคาสูงสุดเพื่อบรรเทาความเสียหาย และ คุณหญิงพจมาน ซื้อเพื่อเป็นธุรกิจ จึงน่าจะมีความประสงค์จะให้เป็นภาระต้นทุนที่ต่ำ อันเป็นความขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของตนกับผลประโยชน์ของรัฐโดยชัดแจ้ง
8. ศาลจึงได้ตัดสินลงโทษท่านจำคุก 2 ปี ฐานมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 ว่าด้วยการกระทำอันทำให้เกิดการขัดกันของผลประโยชน์ระหว่างของรัฐกับส่วนบุคคลเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ศาลจะให้ความกรุณาไม่พิพากษาเอาโทษท่าน ในกรณีที่มีการไม่กำหนดราคาขั้นต่ำของที่ดินพิพาท ในการประกวดราคา มีการเพิ่มเงินมัดจำในการยื่นซองประกวดราคาเป็น 100 ล้านบาท และมีการยกเลิกข้อจำกัดในเรื่องความสูงในการก่อสร้างอาคารบริเวณที่ดินที่ขายแก่ภรรยาของท่าน ทำให้ที่ดินพิพาทมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิม ด้วยเห็นว่ายังไม่พอให้รับฟังว่าเป็นการกระทำ หรือท่านมีส่วนกระทำ หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับท่าน แต่ก็นับว่าเป็นการส่อถึงข้อพิรุธในการซื้อขายที่ดินพิพาท ระหว่างกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กับภรรยาของท่าน ซึ่งสนับสนุนว่า “ความขัดกันของประโยชน์” อาจได้เกิดขึ้นแล้ว ในฐานที่ท่านเป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงเหนือทั้งหน่วยงานของรัฐ และธุรกิจภาคเอกชน
9. ท่านยังได้ปกปิดบิดเบือนว่า “ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์” แต่ท่านอดีตผู้นำในการเป็นถึงสัญลักษณ์ของรายการโทรทัศน์ดังกล่าว อาจมีความขัดกันของประโยชน์ กับผู้สนับสนุนรายการ เวลาการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานการปลอมแปลงการจ้างงาน ซึ่งเปลี่ยนเป็นค่าเดินทางโดยให้คนขับรถเป็นผู้รับ แม้บางวันจะเป็นการถ่ายทำที่บ้านของตน ข้อเท็จจริงเหล่านี้มีความสำคัญต่อการตัดสินคดีความอย่างยุติธรรมเพื่อไม่ให้เกิดโอกาสแห่งความขัดกันของประโยชน์ของภาครัฐกับประโยชน์ของส่วนตัว
10. ท่านมักจะอ้างว่าเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่ในระยะเวลากว่า 5 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลีกเลี่ยงการตอบกระทู้ในสภา ยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จัดการเลือกตั้งปลอม ครอบงำคณะกรรมการอิสระผู้จัดการการเลือกตั้ง ใช้สื่อสารเยี่ยงเผด็จการด้วยการสื่อความข้างเดียว ไม่ยอมให้มีการโต้วาทีในกระบวนการการเลือกตั้ง ไม่เคารพกฎหมายด้วยการใช้กลอุบายของภรรยาซื้อขายหุ้นแทนการโอนหุ้นเพื่อเลี่ยงภาษี ยังมีพฤติกรรมขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยการซุกหุ้นและสินทรัพย์ในต่างประเทศ ที่ใช้ซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ และซื้อตัวนักกีฬาและผู้บริหารเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นดังกระบวนการฟอกเงินสกปรกเป็นเงินสะอาด เช่นกรณีวินมาร์ค ไม่รับฟังและปิดกั้นสื่อสารมวลชนต่อประชาชนที่แสดงความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างอย่างสงบและปราศจากอาวุธ มีปัญหาทนายความพยายามติดสินบนศาลยุติธรรม ใช้อำนาจที่ได้จากประชาชนแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงปัญหาความขัดกันของประโยชน์ภาครัฐกับประโยชน์ส่วนตน
โดยล่าสุด มีแผนที่ท่านจะกล่าวกับประชาชนโดยฝ่ายเดียวผ่านสื่อของรัฐ ทั้งๆที่ท่านหลบหนีในการชี้แจงให้ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม หลบหนีการชี้แจงต่อสภาผู้แทนซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนในการตรวจสอบอำนาจรัฐด้วย แต่ท่านยังคงสื่อความโดยไม่ให้ความจริงที่ไม่ครบถ้วนเพียงเพื่อปกป้องตนเองโดยการทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยซึ่งเป็นแผ่นดินแม่ของท่าน
ยากที่จะเข้าใจว่าเป็นการสะท้อนถึงจิตประชาธิปไตย หรือเป็นการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนและสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองเพียงเพื่อปกป้องความผิดของท่านกันแน่ และยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความไม่เข้าใจและไม่ยอมรับในหลักการของการต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความขัดกันของผลประโยชน์ ซึ่งบทบาทของรัฐบาล ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ก็มักจะสบสน และมีโอกาสเกิดความขัดกันของประโยชน์สูง ด้วยเหตุ “นายกรัฐมนตรีเป็นน้องเขยของนักโทษแผ่นดิน”
หวังอย่างยิ่งว่าท่านจะเริ่มทำความเข้าใจถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของประชาธิปไตย ที่มุ่งสร้างให้เกิดระบบการปกครองที่มีความสมานฉันท์ท่ามกลางความแตกต่างทางความคิดของประชาชนตามจิตวิญญาณแบบเสรีประชาธิปไตย เป็นกระบวนที่ให้ได้มาซึ่งผู้นำมีมีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมและจริยธรรม โดยมีระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็ง มิใช่เป็นเพียงช่องทางธุรกิจโดยการผูกขาดอำนาจทางการเมืองแต่อย่างใด
การดำรงอยู่ในความเท็จมากมาย โดยยังเชื่อว่า ท่านเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่ด้วยการใช้ประชาธิปไตยเยี่ยงเผด็จการผูกขาด คงต้องใช้การหลอกตัวเองอยู่มาก แต่ไทยทนเชื่อว่า “คนเราอาจลวงตนเองได้ตลอดเวลา แต่จะลวงคนไม่ได้ทั้งโลกา” หวังว่า ความถูกต้อง คุณธรรม ความยุติธรรม จะได้รับการปกป้องให้อยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป
ไทยทน