ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
วิกฤติการเมืองในขณะนี้ ทำให้เกิดอักษรย่อทางการเมืองขึ้นมาใหม่หลายคำ
ฝ่ายหนึ่ง มี “พธม.” คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อีกฝ่ายหนึ่ง ก็มี “พปช.” คือ พรรคพลังประชาชน ตลอดจน “นปก.” หรือ “นปช.” เป็นแนวร่วมกองกำลังนอกระบบ
ล่าสุด หลังจาก “คตส.” ทำคดีที่ดินรัชดาฯ จนนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลฎีกาฯ กระทั่งศาลมีคำพิพากษาออกมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิด ต้องโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอการลงโทษ จึงทำให้เกิด “นทช.” เป็นตัวละครที่มีคำนำหน้าใหม่ (แต่หน้าเก่า และเหลี่ยมจัดเหมือนเดิม)
แต่ปรากฏว่า “นทช.” ไม่ยอมเดินทางกลับมาเข้าคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ จึงกลายเป็น “นทช. หนีคุก”
และในอนาคตอันใกล้ หากคดีหลบเลี่ยงภาษีไปถึงที่สุดที่ศาลฎีกาฯ แล้ว มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ก็จะทำให้มี “นทญ.” สุดที่รักของ “นทช.” จูงมือกันเข้าเรือนจำแทนคฤหาสน์บ้านทรายทอง
และในอนาคตไม่ไกลอีกเช่นกัน ทั้ง นปก. – นปช. และ พปช. ก็น่าจะถึงกาลวิบัติ ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือระบอบทักษิณ ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญาในครั้งนี้ สะกิดใจให้คิดทบทวนถึงเหตุการณ์บ้านเมืองในอดีต ที่ผันผวนมาเป็นลำดับ
น่าคิดว่า...
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ อย่างชัดแจ้ง โดยให้คู่สมรสของตนเข้าประมูลซื้อที่ดินจากหน่วยงานของรัฐที่ตนเองมีอำนาจกำกับควบคุมดูแลอยู่แล้วนั้น
ถ้า ไม่มี คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ขึ้นมาทำหน้าที่ไต่สวน สอบสวนคดีที่ดินรัชดาฯ ดังกล่าว ผู้กระทำผิดจะได้รับโทษดังคำพิพากษาที่ออกมา หรือไม่ ?
ถ้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลุดพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะมี คตส. หรือจะมีกระบวนการไต่สวน สอบสวน เพื่อนำเรื่องขึ้นไปสู่ชั้นศาล เพื่อให้ศาลได้พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวเช่นที่เกิดขึ้น หรือไม่ ?
อย่าลืมว่า ที่ผ่านมา ในยุคระบอบทักษิณ ปัญหาการกระทำผิดดังกล่าว ได้ถูกปิดกั้น เตะถ่วง ตัดตอน โดยลูกสมุนและเหล่าบริวารเครือข่ายของระบอบทักษิณมาโดยตลอด
เรื่องการซื้อขายที่ดินรัชดาฯ นั้น นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้หยิบยกขึ้นมาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร โดยชี้ให้เห็นถึงความไม่เหมาะสม และความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าว
ต่อมา ตัวผมเอง ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา(ในขณะนั้น) ก็พยายามทำหน้าที่ ส.ว. โดยติดตามตรวจสอบดูว่านายกฯ กระทำถูกหรือผิดกฎหมายหรือไม่ และได้ออกมาระบุหลายครั้งหลายโอกาสว่า กรณีดังกล่าว น่าจะผิดกฎหมาย ป.ป.ช.
ขณะนั้น ผมได้ชี้ประเด็นการกระทำความผิด ในบทความชื่อ “แปลงที่ดินรัฐเป็นทุน ภริยานายกฯ เป็นคู่สัญญา มีส่วนได้เสีย ซื้อที่ดินของรัฐ : ทำได้?” (ขณะนี้ ยังปรากฏหลักฐานอยู่ในหนังสือ “แปลงทักษิณเป็นทุน” ของสำนักพิมพ์ฃอคิดด้วยฅน) โดยประเด็นที่เน้น คือ การกระทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 100 ในเรื่องการป้องกันการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างชัดเจน ส่วนประเด็นเรื่องความไม่ถูกต้องของกระบวนการเข้าไปทำสัญญานั้น ผมได้ชี้เพียงแต่ว่า ที่ดินหลวงมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ไฉนเมียนายกฯ ถึงเข้าไปซื้อได้ในราคาแค่ 700 กว่าล้านบาทเท่านั้น
แต่ยังไม่ทันจะได้ไปยื่นเรื่องให้ “ป.ป.ช.” (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ตรวจสอบตามกฎหมาย ปรากฏว่า “ป.ป.ช.ยุคทักษิณ” โดยพลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ กรรมการ ป.ป.ช.(ในขณะนั้น) ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ตัดตอน โดยหาว่าผมเป็นคนไม่รู้เรื่องกฎหมาย เป็นดอกเตอร์เสียเปล่า จะสอนกฎหมายให้ พร้อมการันตีในเชิงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ผิด
ผมไม่แปลกใจมาตรฐานการวินิจฉัยกฎหมายของนายตำรวจคนนี้เลย เพราะในภายหลังก็ปรากฏว่า ป.ป.ช.ชุดนี้ได้ทำผิดกฎหมายเสียเอง โดยขึ้นค่าตอบแทนให้ตนเอง กระทั่งพลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ และคณะ 9 คน ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก
การปกป้องช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนั้น ยังเกิดขึ้นในวุฒิสภาอีกด้วย โดย ส.ว.นักกฎหมายบางคนที่ต้องการเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาตะแบงช่วยว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณผิด ต่อไป ก็คงจะไม่สามารถซื้อน้ำซื้อไฟฟ้าจากรัฐได้ ไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินการบินไทยได้ เพราะเป็นของรัฐ ทั้งๆ ที่ เป็นคนละเรื่อง คนละประเด็น โดยเรื่องที่ดินรัชดาฯ เป็นเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม มิใช่เรื่องการซื้อสินค้าและบริการของรัฐเหมือนผู้บริโภคทั่วไป ที่ใครๆ ก็ซื้อได้
เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า ป.ป.ช.ยุคทักษิณจะพิจารณาเรื่องที่ดินรัชดาฯ ออกมาอย่างไร และในวุฒิสภาก็มี “ส.ว.ทาสของระบอบทักษิณ” อยู่มากขนาดไหน ผมจึงได้ประสานกับคุณวีระ สมความคิด ซึ่งทำงานตรวจสอบอยู่ในภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง คุณวีระก็ไม่ย่อท้อ พยายามไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ปรากฏว่า ผู้การกองปราบในขณะนั้น คือพลตำรวจตรีโกสินทร์ หินเทาว์ กลับไม่ดำเนินคดีให้เป็นจริง รวดเร็ว และต่อมา เมื่อเปลี่ยนตัวผู้การกองปราบเป็น พลตำรวจตรีวินัย ทองสอง เรื่องก็เก็บดองไว้เหมือนเดิม จนทำให้คุณวีระ สมความคิด ทำเรื่องร้องต่อ ป.ป.ช.ว่า ทั้งคู่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อาจถูก ป.ป.ช.ดำเนินคดีในเร็วๆ นี้
ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่า การพยายามนำเรื่องที่ดินรัชดาฯ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในยุคระบอบทักษิณ เป็นไปอย่างยากลำบาก และก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะถูกตัดตอนโดยต้นธารของกระบวนการยุติธรรม ทั้ง ป.ป.ช. และตำรวจ
กระทั่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ กระเด็นออกจากตำแหน่งนายกฯ จากเหตุการณ์ 19 ก.ย. 2549 เกิดมี คตส. ขึ้นมาทำหน้าที่ควบคู่ไปกับ ป.ป.ช.ชุดใหม่ คุณวีระจึงสามารถยื่นเรื่องให้ คตส. ดำเนินการไต่สวน กรณีที่ดินรัชดาฯ จึงได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทำให้ศาลยุติธรรมได้ทำหน้าที่ไต่สวนพิพากษา กระทั่งมีคำพิพากษาว่าผิดกฎหมาย ป.ป.ช.จริง
กรณีจึงน่าคิดว่า หากไม่มี “คตส.” คนกระทำผิดในคดีนี้ ก็คงจะลอยนวลต่อไป
และในความเป็นจริง แม้จะมี “คตส.” แล้ว และฟ้องร้องต่อศาลฎีกาฯ ไปแล้ว แต่ถ้าไม่มี “พธม.” – พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คนกระทำผิด ก็อาจจะลอยนวลต่อไป
ต้องไม่ลืมว่า “พธม.” ได้ออกมาชุมนุมต่อต้านการพยายามแก้ไขล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ส่อเจตนาช่วยเหลือ “พปช.” และ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยจะแก้รัฐธรรมนูญในมาตราที่ทำให้งานของ คตส. เป็นโมฆะ ตัดตอนและแทรกแซงการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม หากการแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ ศาลยุติธรรมก็คงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่จนได้ผลออกมาเช่นนี้
จึงกล่าวได้ว่า ถ้าขาดทั้ง “คตส.” และ “พธม” แล้ว ในวันนี้ ก็อาจจะไม่มี “นทช.” โดยคนกระทำผิด ก็คงจะลอยนวลต่อไป
หน่วยงานของรัฐก็คงขายที่ดินแปลงดังกล่าวได้ในราคาต่ำต่อไป มิหนำซ้ำ รัฐก็คงได้รับค่าโอนที่ดินต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมากกว่า 10 ล้านบาท จากการที่รัฐบาลทักษิณใช้อำนาจการเมือง ช่วยให้คู่สมรสนายกฯ สามารถประหยัดค่าโอน
และในประการสำคัญ ศาลยุติธรรมก็อาจจะไม่สามารถใช้อำนาจตุลาการอย่างเป็นอิสระโดยเที่ยงธรรม กระทั่งมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเพื่อเป็นบรรทัดฐานในเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมได้เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อให้มาถึงวันนี้ ก็มีต้นทุนที่ไม่อาจประเมินค่าได้ เพราะต้องสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินจำนวนมาก
สังคมไทยต้องสูญเสียคนดีผู้กล้า ดังเช่น น้องโบว์-อังคนา ระดับปัญญาวุฒิ และสารวัตรจ๊าบ- พ.ต.ท. เมธี ชาติมนตรี รวมถึงประชาชนผู้เสียสละอีกจำนวนมากที่ออกมาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง บางรายได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกยิง ถูกระเบิด แขนขาด ขาขาด ตาหลุด กระโหลกศีรษะยุบ ฯลฯ รวมทั้งหมดมากกว่า 400 คน
น่าคิดว่า การจะเอาคนเลวๆ ที่มีอำนาจมากๆ เพียงหนึ่งคนเข้าคุก เพื่อให้เป็น “นทช.” ทำไมถึงยากลำบากและมีต้นทุนมากขนาดไหน
แต่น่าเจ็บใจว่า บัดนี้ “นทช.” คนนี้ ก็ยังคงหลบหนี ไม่ยอมเดินทางกลับมารับผลกรรมที่ตนเองกระทำเอาไว้อีก และมิหนำซ้ำ “นทช.หนีคุก” ยังประพฤติชั่วอย่างไม่ละอาย ไร้สำนึก บิดเบือนใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมของประเทศว่าเป็นเรื่องทางการเมือง เป็นการสมคบกันของชนชั้นสูงที่ต้องการกลั่นแกล้งตนเอง
บิดเบือนว่า ตนเองผิดเพียงเพราะว่าเป็นนักการเมือง ส่วนภรรยาของตนไม่ผิด เพราะไม่ใช่นักการเมือง
ไม่สำเหนียกเลยแม้แต่น้อยว่า การกระทำผิดของตนนั้น เป็นเรื่องน่าละอาย และเลวร้ายอย่างที่สุด เพราะเป็นการกระทำที่ขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม กระทำผิดทั้งๆ ที่ กฎหมายห้ามเอาไว้อย่างชัดแจ้ง โดยลงมือกระทำผิดอย่างอุกอาจ เพราะเหิมเกริมว่าไม่มีใครเอาผิดตนเองได้ในขณะที่ตนยังมีอำนาจเหนือระบอบทักษิณ
ยังอ้างหน้าด้านๆ ว่า ตนเองบริสุทธิ์จากข้อหาทุจริต ทั้งๆ ที่ การกระทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 นั้น ก็คือการกระทำผิดกฎหมายร้ายแรงในตัวเองอยู่แล้ว
กฎหมายดังกล่าวเป็นข้อห้ามสำคัญของนายกรัฐมนตรี เปรียบเสมือนวินัยสงฆ์ที่บัญญัติห้ามพระสงฆ์
วินัยสงฆ์ ห้ามมิให้พระสงฆ์อยู่ลำพังกับสีกาในที่มิดชิด หากถูกจับได้ว่าอยู่กันลำพัง ก็เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ต้องถูกลงโทษทันที โดยไม่ต้องไปพิสูจน์ว่าพระสงฆ์กับสีกานั้นได้มีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่
เฉกเช่นเดียวกัน กฎหมาย ป.ป.ช. ดังกล่าว ก็ห้ามมิให้นายกฯ และคู่สมรส เข้าประมูลทำสัญญาซื้อขายที่ดินของรัฐกับหน่วยงานของรัฐที่ตนมีอำนาจกำกับดูแลอยู่ หากเพียงจับได้ว่าเข้าทำสัญญา ก็เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ต้องถูกลงโทษทันที โดยไม่ต้องไปพิสูจน์ว่านายกฯ ได้ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์แก่คู่สมรสของตนเองหรือไม่
“นทช.หนีคุก” ยังพยายามบิดเบือนอย่างเลวร้ายว่า ตนเองบริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ใช้อำนาจไปเอื้อต่อคู่สมรสในการซื้อที่ดิน ทั้งๆ ที่ ตนเองถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาให้ลงโทษจำคุกถึง 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ และในความเป็นจริง ศาลฎีกาฯ ก็ยังไม่ได้รับรองในความบริสุทธิ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ว่าพยานหลักฐานในชั้นนี้ สามารถพิพากษาเอาผิดได้เฉพาะประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน ขัดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100
ถ้าเป็นพระที่อยู่สองต่อสองกับสีกา ก็อ้างว่าเพียงจับมือถือแขนเท่านั้น ยังไม่ได้เสพเมถุน ก็ด้วยเหตุนี้ จึงเอาผิดเฉพาะพระ (ทักษิณ) ไม่ได้เอาผิดสีกา (พจมาน) และไม่ได้เอาผิดในโทษสูงสุด โดยเอาผิดในโทษต่ำแทนปาราชิก
และที่เลวร้ายอย่างที่สุด คือ การพยายามยกย่องตนเองว่าเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ ในระหว่างที่มีอำนาจนั้น ตนเองได้ละเมิดและทำลายหลักการประชาธิปไตยอย่างเลวร้ายที่สุด บั่นเซาะและทำลายสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจนไม่เหลือหลอ อีกทั้ง ยังหลอกลวงและแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากคนจนอย่างไร้คุณธรรม
ที่สำคัญ พรรคการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ได้ทุจริตการเลือกตั้งอย่างชั่วร้าย เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ จนกระทั่งถูกตุลาการพิพากษาให้ยุบพรรค
ถึงวันนี้ แม้ “คตส.” สิ้นสภาพไปแล้ว แต่ “พธม.” ยังคงอยู่ และจะต้องสู้ต่อไปในรูปแบบต่างๆ ตราบใดที่ “นทช.หนีคุก” ยังคงคุกคามความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติไทย
เพื่อให้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเที่ยงธรรม โดยอิสระจากฝ่ายการเมือง
และจนกว่าจะเกิด “การเมืองใหม่” ที่เป็นการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง !
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
วิกฤติการเมืองในขณะนี้ ทำให้เกิดอักษรย่อทางการเมืองขึ้นมาใหม่หลายคำ
ฝ่ายหนึ่ง มี “พธม.” คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อีกฝ่ายหนึ่ง ก็มี “พปช.” คือ พรรคพลังประชาชน ตลอดจน “นปก.” หรือ “นปช.” เป็นแนวร่วมกองกำลังนอกระบบ
ล่าสุด หลังจาก “คตส.” ทำคดีที่ดินรัชดาฯ จนนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลฎีกาฯ กระทั่งศาลมีคำพิพากษาออกมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิด ต้องโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอการลงโทษ จึงทำให้เกิด “นทช.” เป็นตัวละครที่มีคำนำหน้าใหม่ (แต่หน้าเก่า และเหลี่ยมจัดเหมือนเดิม)
แต่ปรากฏว่า “นทช.” ไม่ยอมเดินทางกลับมาเข้าคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ จึงกลายเป็น “นทช. หนีคุก”
และในอนาคตอันใกล้ หากคดีหลบเลี่ยงภาษีไปถึงที่สุดที่ศาลฎีกาฯ แล้ว มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ก็จะทำให้มี “นทญ.” สุดที่รักของ “นทช.” จูงมือกันเข้าเรือนจำแทนคฤหาสน์บ้านทรายทอง
และในอนาคตไม่ไกลอีกเช่นกัน ทั้ง นปก. – นปช. และ พปช. ก็น่าจะถึงกาลวิบัติ ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือระบอบทักษิณ ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญาในครั้งนี้ สะกิดใจให้คิดทบทวนถึงเหตุการณ์บ้านเมืองในอดีต ที่ผันผวนมาเป็นลำดับ
น่าคิดว่า...
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ อย่างชัดแจ้ง โดยให้คู่สมรสของตนเข้าประมูลซื้อที่ดินจากหน่วยงานของรัฐที่ตนเองมีอำนาจกำกับควบคุมดูแลอยู่แล้วนั้น
ถ้า ไม่มี คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ขึ้นมาทำหน้าที่ไต่สวน สอบสวนคดีที่ดินรัชดาฯ ดังกล่าว ผู้กระทำผิดจะได้รับโทษดังคำพิพากษาที่ออกมา หรือไม่ ?
ถ้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลุดพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะมี คตส. หรือจะมีกระบวนการไต่สวน สอบสวน เพื่อนำเรื่องขึ้นไปสู่ชั้นศาล เพื่อให้ศาลได้พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวเช่นที่เกิดขึ้น หรือไม่ ?
อย่าลืมว่า ที่ผ่านมา ในยุคระบอบทักษิณ ปัญหาการกระทำผิดดังกล่าว ได้ถูกปิดกั้น เตะถ่วง ตัดตอน โดยลูกสมุนและเหล่าบริวารเครือข่ายของระบอบทักษิณมาโดยตลอด
เรื่องการซื้อขายที่ดินรัชดาฯ นั้น นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้หยิบยกขึ้นมาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร โดยชี้ให้เห็นถึงความไม่เหมาะสม และความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าว
ต่อมา ตัวผมเอง ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา(ในขณะนั้น) ก็พยายามทำหน้าที่ ส.ว. โดยติดตามตรวจสอบดูว่านายกฯ กระทำถูกหรือผิดกฎหมายหรือไม่ และได้ออกมาระบุหลายครั้งหลายโอกาสว่า กรณีดังกล่าว น่าจะผิดกฎหมาย ป.ป.ช.
ขณะนั้น ผมได้ชี้ประเด็นการกระทำความผิด ในบทความชื่อ “แปลงที่ดินรัฐเป็นทุน ภริยานายกฯ เป็นคู่สัญญา มีส่วนได้เสีย ซื้อที่ดินของรัฐ : ทำได้?” (ขณะนี้ ยังปรากฏหลักฐานอยู่ในหนังสือ “แปลงทักษิณเป็นทุน” ของสำนักพิมพ์ฃอคิดด้วยฅน) โดยประเด็นที่เน้น คือ การกระทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 100 ในเรื่องการป้องกันการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างชัดเจน ส่วนประเด็นเรื่องความไม่ถูกต้องของกระบวนการเข้าไปทำสัญญานั้น ผมได้ชี้เพียงแต่ว่า ที่ดินหลวงมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ไฉนเมียนายกฯ ถึงเข้าไปซื้อได้ในราคาแค่ 700 กว่าล้านบาทเท่านั้น
แต่ยังไม่ทันจะได้ไปยื่นเรื่องให้ “ป.ป.ช.” (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ตรวจสอบตามกฎหมาย ปรากฏว่า “ป.ป.ช.ยุคทักษิณ” โดยพลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ กรรมการ ป.ป.ช.(ในขณะนั้น) ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ตัดตอน โดยหาว่าผมเป็นคนไม่รู้เรื่องกฎหมาย เป็นดอกเตอร์เสียเปล่า จะสอนกฎหมายให้ พร้อมการันตีในเชิงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ผิด
ผมไม่แปลกใจมาตรฐานการวินิจฉัยกฎหมายของนายตำรวจคนนี้เลย เพราะในภายหลังก็ปรากฏว่า ป.ป.ช.ชุดนี้ได้ทำผิดกฎหมายเสียเอง โดยขึ้นค่าตอบแทนให้ตนเอง กระทั่งพลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ และคณะ 9 คน ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก
การปกป้องช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนั้น ยังเกิดขึ้นในวุฒิสภาอีกด้วย โดย ส.ว.นักกฎหมายบางคนที่ต้องการเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาตะแบงช่วยว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณผิด ต่อไป ก็คงจะไม่สามารถซื้อน้ำซื้อไฟฟ้าจากรัฐได้ ไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินการบินไทยได้ เพราะเป็นของรัฐ ทั้งๆ ที่ เป็นคนละเรื่อง คนละประเด็น โดยเรื่องที่ดินรัชดาฯ เป็นเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม มิใช่เรื่องการซื้อสินค้าและบริการของรัฐเหมือนผู้บริโภคทั่วไป ที่ใครๆ ก็ซื้อได้
เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า ป.ป.ช.ยุคทักษิณจะพิจารณาเรื่องที่ดินรัชดาฯ ออกมาอย่างไร และในวุฒิสภาก็มี “ส.ว.ทาสของระบอบทักษิณ” อยู่มากขนาดไหน ผมจึงได้ประสานกับคุณวีระ สมความคิด ซึ่งทำงานตรวจสอบอยู่ในภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง คุณวีระก็ไม่ย่อท้อ พยายามไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ปรากฏว่า ผู้การกองปราบในขณะนั้น คือพลตำรวจตรีโกสินทร์ หินเทาว์ กลับไม่ดำเนินคดีให้เป็นจริง รวดเร็ว และต่อมา เมื่อเปลี่ยนตัวผู้การกองปราบเป็น พลตำรวจตรีวินัย ทองสอง เรื่องก็เก็บดองไว้เหมือนเดิม จนทำให้คุณวีระ สมความคิด ทำเรื่องร้องต่อ ป.ป.ช.ว่า ทั้งคู่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อาจถูก ป.ป.ช.ดำเนินคดีในเร็วๆ นี้
ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่า การพยายามนำเรื่องที่ดินรัชดาฯ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในยุคระบอบทักษิณ เป็นไปอย่างยากลำบาก และก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะถูกตัดตอนโดยต้นธารของกระบวนการยุติธรรม ทั้ง ป.ป.ช. และตำรวจ
กระทั่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ กระเด็นออกจากตำแหน่งนายกฯ จากเหตุการณ์ 19 ก.ย. 2549 เกิดมี คตส. ขึ้นมาทำหน้าที่ควบคู่ไปกับ ป.ป.ช.ชุดใหม่ คุณวีระจึงสามารถยื่นเรื่องให้ คตส. ดำเนินการไต่สวน กรณีที่ดินรัชดาฯ จึงได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทำให้ศาลยุติธรรมได้ทำหน้าที่ไต่สวนพิพากษา กระทั่งมีคำพิพากษาว่าผิดกฎหมาย ป.ป.ช.จริง
กรณีจึงน่าคิดว่า หากไม่มี “คตส.” คนกระทำผิดในคดีนี้ ก็คงจะลอยนวลต่อไป
และในความเป็นจริง แม้จะมี “คตส.” แล้ว และฟ้องร้องต่อศาลฎีกาฯ ไปแล้ว แต่ถ้าไม่มี “พธม.” – พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คนกระทำผิด ก็อาจจะลอยนวลต่อไป
ต้องไม่ลืมว่า “พธม.” ได้ออกมาชุมนุมต่อต้านการพยายามแก้ไขล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ส่อเจตนาช่วยเหลือ “พปช.” และ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยจะแก้รัฐธรรมนูญในมาตราที่ทำให้งานของ คตส. เป็นโมฆะ ตัดตอนและแทรกแซงการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม หากการแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ ศาลยุติธรรมก็คงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่จนได้ผลออกมาเช่นนี้
จึงกล่าวได้ว่า ถ้าขาดทั้ง “คตส.” และ “พธม” แล้ว ในวันนี้ ก็อาจจะไม่มี “นทช.” โดยคนกระทำผิด ก็คงจะลอยนวลต่อไป
หน่วยงานของรัฐก็คงขายที่ดินแปลงดังกล่าวได้ในราคาต่ำต่อไป มิหนำซ้ำ รัฐก็คงได้รับค่าโอนที่ดินต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมากกว่า 10 ล้านบาท จากการที่รัฐบาลทักษิณใช้อำนาจการเมือง ช่วยให้คู่สมรสนายกฯ สามารถประหยัดค่าโอน
และในประการสำคัญ ศาลยุติธรรมก็อาจจะไม่สามารถใช้อำนาจตุลาการอย่างเป็นอิสระโดยเที่ยงธรรม กระทั่งมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเพื่อเป็นบรรทัดฐานในเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมได้เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อให้มาถึงวันนี้ ก็มีต้นทุนที่ไม่อาจประเมินค่าได้ เพราะต้องสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินจำนวนมาก
สังคมไทยต้องสูญเสียคนดีผู้กล้า ดังเช่น น้องโบว์-อังคนา ระดับปัญญาวุฒิ และสารวัตรจ๊าบ- พ.ต.ท. เมธี ชาติมนตรี รวมถึงประชาชนผู้เสียสละอีกจำนวนมากที่ออกมาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง บางรายได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกยิง ถูกระเบิด แขนขาด ขาขาด ตาหลุด กระโหลกศีรษะยุบ ฯลฯ รวมทั้งหมดมากกว่า 400 คน
น่าคิดว่า การจะเอาคนเลวๆ ที่มีอำนาจมากๆ เพียงหนึ่งคนเข้าคุก เพื่อให้เป็น “นทช.” ทำไมถึงยากลำบากและมีต้นทุนมากขนาดไหน
แต่น่าเจ็บใจว่า บัดนี้ “นทช.” คนนี้ ก็ยังคงหลบหนี ไม่ยอมเดินทางกลับมารับผลกรรมที่ตนเองกระทำเอาไว้อีก และมิหนำซ้ำ “นทช.หนีคุก” ยังประพฤติชั่วอย่างไม่ละอาย ไร้สำนึก บิดเบือนใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมของประเทศว่าเป็นเรื่องทางการเมือง เป็นการสมคบกันของชนชั้นสูงที่ต้องการกลั่นแกล้งตนเอง
บิดเบือนว่า ตนเองผิดเพียงเพราะว่าเป็นนักการเมือง ส่วนภรรยาของตนไม่ผิด เพราะไม่ใช่นักการเมือง
ไม่สำเหนียกเลยแม้แต่น้อยว่า การกระทำผิดของตนนั้น เป็นเรื่องน่าละอาย และเลวร้ายอย่างที่สุด เพราะเป็นการกระทำที่ขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม กระทำผิดทั้งๆ ที่ กฎหมายห้ามเอาไว้อย่างชัดแจ้ง โดยลงมือกระทำผิดอย่างอุกอาจ เพราะเหิมเกริมว่าไม่มีใครเอาผิดตนเองได้ในขณะที่ตนยังมีอำนาจเหนือระบอบทักษิณ
ยังอ้างหน้าด้านๆ ว่า ตนเองบริสุทธิ์จากข้อหาทุจริต ทั้งๆ ที่ การกระทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 นั้น ก็คือการกระทำผิดกฎหมายร้ายแรงในตัวเองอยู่แล้ว
กฎหมายดังกล่าวเป็นข้อห้ามสำคัญของนายกรัฐมนตรี เปรียบเสมือนวินัยสงฆ์ที่บัญญัติห้ามพระสงฆ์
วินัยสงฆ์ ห้ามมิให้พระสงฆ์อยู่ลำพังกับสีกาในที่มิดชิด หากถูกจับได้ว่าอยู่กันลำพัง ก็เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ต้องถูกลงโทษทันที โดยไม่ต้องไปพิสูจน์ว่าพระสงฆ์กับสีกานั้นได้มีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่
เฉกเช่นเดียวกัน กฎหมาย ป.ป.ช. ดังกล่าว ก็ห้ามมิให้นายกฯ และคู่สมรส เข้าประมูลทำสัญญาซื้อขายที่ดินของรัฐกับหน่วยงานของรัฐที่ตนมีอำนาจกำกับดูแลอยู่ หากเพียงจับได้ว่าเข้าทำสัญญา ก็เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ต้องถูกลงโทษทันที โดยไม่ต้องไปพิสูจน์ว่านายกฯ ได้ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์แก่คู่สมรสของตนเองหรือไม่
“นทช.หนีคุก” ยังพยายามบิดเบือนอย่างเลวร้ายว่า ตนเองบริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ใช้อำนาจไปเอื้อต่อคู่สมรสในการซื้อที่ดิน ทั้งๆ ที่ ตนเองถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาให้ลงโทษจำคุกถึง 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ และในความเป็นจริง ศาลฎีกาฯ ก็ยังไม่ได้รับรองในความบริสุทธิ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ว่าพยานหลักฐานในชั้นนี้ สามารถพิพากษาเอาผิดได้เฉพาะประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน ขัดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100
ถ้าเป็นพระที่อยู่สองต่อสองกับสีกา ก็อ้างว่าเพียงจับมือถือแขนเท่านั้น ยังไม่ได้เสพเมถุน ก็ด้วยเหตุนี้ จึงเอาผิดเฉพาะพระ (ทักษิณ) ไม่ได้เอาผิดสีกา (พจมาน) และไม่ได้เอาผิดในโทษสูงสุด โดยเอาผิดในโทษต่ำแทนปาราชิก
และที่เลวร้ายอย่างที่สุด คือ การพยายามยกย่องตนเองว่าเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ ในระหว่างที่มีอำนาจนั้น ตนเองได้ละเมิดและทำลายหลักการประชาธิปไตยอย่างเลวร้ายที่สุด บั่นเซาะและทำลายสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจนไม่เหลือหลอ อีกทั้ง ยังหลอกลวงและแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากคนจนอย่างไร้คุณธรรม
ที่สำคัญ พรรคการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ได้ทุจริตการเลือกตั้งอย่างชั่วร้าย เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ จนกระทั่งถูกตุลาการพิพากษาให้ยุบพรรค
ถึงวันนี้ แม้ “คตส.” สิ้นสภาพไปแล้ว แต่ “พธม.” ยังคงอยู่ และจะต้องสู้ต่อไปในรูปแบบต่างๆ ตราบใดที่ “นทช.หนีคุก” ยังคงคุกคามความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติไทย
เพื่อให้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเที่ยงธรรม โดยอิสระจากฝ่ายการเมือง
และจนกว่าจะเกิด “การเมืองใหม่” ที่เป็นการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง !