“ส.ว.สรรหา” กระทุ้งพรรคร่วมกระเหี้ยนกระหือรือแก้ รธน. เสนอแก้หมวดตรวจสอบอำนาจรัฐ ตกผลึกให้นักการเมืองระบุที่มาทรัพย์สิน เสียภาษีหรือไม่ เพิ่มอัตราโทษแจงไม่ได้ต้องโดนโทษอาญา-ยึดทรัพย์ พร้อมตรวจเข้มครบรอบปี ลั่นเป็นการแบ่งเบาภาระ ป.ป.ช.
วันนี้ (2 พ.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ทราบมาว่าขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลกำลังผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ทันสมัยประชุมนี้ ซึ่งตนเองในฐานะที่มีประสบการณ์ในการตรวจสอบนักการเมืองอยู่บ้าง ขอเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม โดยเฉพาะในหมวดการตรวจสอบอำนาจรัฐ เนื่องจากสิ่งที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญในเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองยังมีอยู่ไม่ครบ โดยเฉพาะเรื่องการได้มาของทรัพย์สินของนักการเมืองว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร สามารถชี้แจงได้หรือไม่ ที่สำคัญมีการเสียภาษีแล้วหรือยัง
ทั้งนี้ ส่วนตัวได้ทำโมเดลตรวจสอบทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้บริหารท้องถิ่นที่มีส่วนในการใช้อำนาจรัฐและงบประมาณแผ่นดินให้ได้รับการตรวจสอบกันอย่างถ้วนหน้า เพราะโมเดลที่วางไว้จะเป็นระบบที่ทำให้การตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยเริ่มจากตรวจสอบดูว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ชี้แจงที่มาที่ไปได้หรือไม่ ถ้าชี้ได้คือการได้มาโดยชอบ และต้องตรวจสอบต่อไปว่าเสียภาษีแล้วหรือไม่ ถ้าเสียภาษีแล้วถือว่าจบ แต่ถ้ายังไม่เสียภาษีต้องยึดหรืออายัดตามกฎหมายภาษีแล้วมาตรวจสอบอีกครั้ง โดยหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีความจงใจที่จะเลี่ยงการเสียภาษีต้องมีการลงโทษโดยการเก็บภาษีเงินเพิ่มเบี้ยปรับและฟ้องศาลและต้องมีโทษอาญาตามมาตรา 37 ตามประมวลรัษฎากร แต่หากพบว่าไม่จงใจหลีกเลี่ยงก็ให้เก็บเงินภาษีเพิ่มพร้อมค่าปรับและมีการดำเนินคดีในศาลภาษีเท่านั้น
นายเรืองไกร กล่าวว่า แต่ถ้าทรัพย์นั้นชี้แจงไม่ได้ ต้องถือว่าได้มาทรัพย์มาโดยไม่ชอบต้องมีการอายัดไว้ก่อน หลังจากนั้นให้มีการตรวจทรัพย์ตรงนั้นว่าทรัพย์ที่ได้มามีข้อเท็จจริงอย่างไร ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เช่น กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กฎหมายสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ กฎหมายตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นต้น ถ้าไม่ผิดก็คืนทรัพย์ให้ แต่ถ้าผิดต้องลงโทษทางแพ่งและอาญาพร้อมกับยึดทรัพย์
อีกทั้งการเสนอว่าต้องการแสดงรายการทรัพย์สินทุกปีระหว่างการดำรงตำแหน่ง โดยต้องยื่นพร้อมพร้อมเอกสารประกอบซึ่งเป็นสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าว รวมทั้งสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทุกรอบปีภายใน 30 วันนับแต่วันครบรอบแต่ละปี ไม่ใช่ตรวจเฉพาะแค่หลังเข้ารับตำแหน่งและหลังพ้นจากตำแหน่งเท่านั้น เพื่อควบคุมความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินให้เป็นไปโดยชอบและป้องกันการทุจริตในระหว่างการดำรงตำแหน่ง และต้องตรวจสอบการมีอยู่จริงของทรัพย์ย้อนหลังไป 2 ปีด้วย โดยดูว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นตรงกับแบบภาษีหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกันถือว่าเป็นการได้ทรัพย์มาโดยมิชอบ และถ้าผิดจริงต้องถูกยึดทรัพย์
ระบบการตรวจสอบที่โมเดลนี้วางไว้จะตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ก่อนเลือกตั้งคุณมีทรัพย์สินเท่าใด เข้ามาแล้วเหลืออยู่เท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 โดยคุณรายงานต่อ ป.ป.ช.ว่าเดือน ม.ค.2550 มีทรัพย์สิน 150 ล้านบาท แต่พอเดือนม.ค. 2551 กลับรายงานว่ามีทรัพย์สินเหลืออยู่ 95 ล้าน หรือมีทรัพย์ลดลง 55 ล้านบาท แต่กลับไปแจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าใช้เงินหาเสียงแค่ 1.5 ล้านบาท ถามว่าแล้วอีก 53.5 ล้านบาทหายไปไหน เอาไปซื้อเสียงใช่หรือไม่ หากไม่มีการแสดงที่มาที่ไปก็แสดงว่าคุณปกปิดทรัพย์สินหรือเปล่า
“ผมตรวจสอบมาเยอะและอยากตรวจสอบอีกร้อยคดีแต่คงทำไม่ไหว การตรวจสอบแบบนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ สังคมต้องช่วยกัน ผมจึงอยากจะออกแบบอะไรบางอย่างไว้เพื่อป้องกันการคอร์รัปชั่นของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งการตรวจสอบที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องผิดทุกเรื่อง ถ้าไม่ผิดก็จะได้รับทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ก่อนคืน แต่ต้องได้รับการตรวจสอบ ซึ่งผมพร้อมที่จะชี้แจงด้วยตนเองในทุกเวที แต่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่อยากจะแก้รัฐธรรมนูญทุกวันจนตัวสั่นจะกล้าแก้เรื่องนี้ด้วยการรับโมเดลนี้หรือไม่ ท่านผู้มีเกียรติขอให้กล้าๆ กันหน่อย และสังคมเห็นด้วยกับผมหรือไม่ ผมเองได้ยกร่างรัฐธรรมนูญไว้แล้ว” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวว่า เหตุที่ได้ตกผลึกออกมาเป็นโมเดลนี้ เนื่องจากส่วนตัวเห็นว่า ป.ป.ช.มีคดีค้างเป็นหมื่นคดี ประชาชนจึงควรเข้ามาตรวจสอบนักการเมืองเหล่านี้เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของ ป.ป.ช. โดยตรวจสอบแค่ ส.ส. ส.ว. คณะรัฐมนตรี และมีส่วนในการใช้อำนาจรัฐอื่นๆ รวมแล้วไม่เกิน1000 คน ซึ่งคนเหล่านี้คือผู้ใช้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ ควรเอาคนเหล่านี้มาตรวจก่อนเพื่อที่จะช่วย ป.ป.ช. เคลียคดีที่ค้างคาใน ป.ป.ช.ออกไป โดยหากตรวจสอบคนเหล่านี้ ก็คิดว่าต่อไปเราจะได้คนดีมาบริหารบ้านเมือง และหากประชาชนสามารถตรวจสอบนักการเมืองระดับชาติได้อย่างจริงจัง ต่อไปประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ก็จะสามารถตรวจสอบผู้บริหารท้องถิ่นของตัวเองได้ เพราะผู้บริหารท้องถิ่นเหล่านี้ก็มีส่วนในการใช้อำนาจรัฐและงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นภาษีของประชาชนเช่นกัน การตรวจสอบก็จะกระจายไปทุกพื้นที่ที่ทุกคนจะมีหลักเกณฑ์ในการตรวจ และจะเกิดการควบคุมซึ่งกันและกัน เพราะโมเดลตรงนี้จะถูกทำเป็นซอฟท์แวร์เพื่อให้ง่ายต่อการใช้และข้อมูลทุกอย่างจะต้องเปิดเผยอย่างโปร่งใส
“ผมอยากบอกว่า ตรงนี้คือใบเสร็จ ซึ่งใบเสร็จไม่ใช่กระดาษ แต่ใบเสร็จคือสิ่งที่ท่านครอบครองอยู่ หรือร่องรอยของการกระทำผิดที่ถูกค้นพบ ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับทรัพย์สินที่ท่านครอบครองอยู่ว่าได้มาโดยชอบหรือไม่ชอบ หรือทรัพย์สินที่หายไปอย่างผิดปกติ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ ส.ส.ร.3 ควรจะเขียนลงไป แต่ถามว่าท่านกล้าหรือไม่ ขอให้เขียนเรื่องนี้หน่อย แน่จริงต้องกล้าที่จะตรวจสอบตัวเองก่อน อย่าเพิ่งไปเขียนอย่างอื่น โมเดลที่ผมเสนอไปนี้จะไม่มีทำให้นักการเมืองคนใดคนหนึ่งหลุดจากการตรวจสอบนี้แน่นอน รวมทั้งตัวผมด้วย หากถ้าทำได้การเมืองไทยจะดีขึ้น เนื่องจากวิกฤตที่เกิดในวันนี้ก็มาจากนักการเมืองฉ้อฉล ทุจริตคอร์รัปชั่นโกงกินบ้านเมืองเหล่านี้ทั้งนั้น เราต้องผลักดันคนเหล่านี้ออกไป โดยทันทีที่นักการเมืองเข้ามาระบบที่วางไว้จะตรวจสอบโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะไปเอื้อประโยชน์ให้ใคร การใช้เงินมากมายต้องตอบให้ได้ว่าเงินใคร ต่อจากนี้ไปแทนที่จะไปบอกว่านักการเมืองโกงโฉนดที่ดิน ก็เปลี่ยนมาถามเลยว่าทรัพย์สินที่บรรดานักการเมืองมีอยู่มากมาย คฤหาสน์ รถ ที่ดิน ทรัพย์เหล่านี้มาจากไหน ตรวจสอบได้หรือไม่ ถ้าชี้แจงไม่ได้ก็ต้องถูกยึดให้เป็นของแผ่นดิน ซึ่งการตรวจสอบตรงนี้จะมีการกระทบกลับมาที่ยอดทรัพย์สินที่มีอยู่เดิม นี่คือระบบ (backbone) ที่จะต้องวางให้เสร็จ” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า การวางโมเดลการตรวจสอบเท่านี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก เพราะกรรมการในตลาดหลักทรัพย์ถูกตรวจสอบมากกว่านี้ ในฐานะที่นักการเมือง เป็นผู้เกียรติ มียศถาบรรดาศักดิ์ ต้องถูกตรวจสอบมากกว่า หากทุกคนยอมรับกติกาตรงนี้ ความสงบสุขของบ้านเมืองจะเกิดขึ้น เพราะเราจะไม่ให้คนชั่วมาครองเมือง แต่เราจะส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมืองซึ่งเราก็ต้องตรวจสอบคนเหล่านี้ เพราะบางครั้งคนดีเมื่อเข้ามาแล้วเห็นยศถาบรรดาศักดิ์ สินทรัพย์สมบัติที่จะกอบโกยได้ มันก็ชั่วได้เหมือนกัน และหากมาบอกว่าผมไม่เคยโกงกิน ก็ต้องขอตรวจหน่อย นักการเมืองชั่วจะน้อยลง นักการเมืองดีก็จะดีมากขึ้น