ส.ว.ตั้งกระทู้ถามทวงความรับผิดชอบ-จริยธรรม “สมชาย” สังหารประชาชนมือเปล่า 7 ต.ค.จวกยับตำรวจเดินหน้าฆ่าลูกเดียว จ้องยิงแก๊สน้ำตาเข้าฝูงชน ก่อนข้ามกองเลือกเข้าสภา ด้าน“น้องเขยแม้ว”หัวหด ส่ง รมต.โนเนม รับหน้าเสื่อ โยนผิดให้ “ปู่ชัย-พ่อใหญ่จิ๋ว” อ้างเสนอเปลี่ยนที่ประชุมแล้ว แต่ ปธ.สภายันต้องใช้ที่เดิม แถมใส่ไฟพันธมิตรฯ ชุมนุมฝืน รธน. หาทางเจรจาแล้วแต่ไม่เป็นผล “รสนา” แฉ 7-8 ต.ค.ตำรวจเบิกอาวุธเพิ่ม ก่อนถูกศาลปกครองสั่งห้าม จวกทำ ปชช.เจ็บ-ตายถือเป็นรัฐบาลเลวและชั่ว
การประชุมสมาชิกวุฒิสภา วานนี้ (24 ต.ค) โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในที่ประชุม ได้มีการกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรี ถึงเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ส่งผลให้มีการบาดเจ็บ และเสียชีวิต โดยมี ส.ว.5 คนให้ความสนใจตั้งกระทู้ถามในเรื่องดังกล่าว ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาชี้แจง แต่ส่งนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาทำหน้าที่ชี้แจงแทน
พล.ร.ต.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ส.ว.สรรหา กระทู้ถามคนแรกว่า ในวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายได้มีประชาชนมาชุมนุมไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล ทำไมรัฐบาลไม่แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี โดยนายกฯ สามารถเลื่อนการประชุม หรือเลือกไปประชุมสถานที่อื่นเพื่อเป็นทางออกไม่ให้มีความเสียหาย แต่ก็ไม่เลือก ทำไมคิดว่าถ้ายอมปล่อยให้แล้วจะได้ใจ ไม่คิดหรือว่าหากรัฐบาลย้ายไปประชุมที่อื่นฝ่ายพันธมิตรฯ เองจะเสียแนวร่วม ที่ผ่านมาตนไม่ค่อยสนใจต่อการประชุมท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ มากนัก แต่หลังจากได้ติดตามประเด็นต่างๆ ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ ทั้งเรื่องการทุจริตของอดีตนายกรัฐมนตรี การดันทุรังแก้รัฐธรรมนูญ ที่สำคัญการปล่อยให้มีการละเมิดสถาบันทำให้ตนเริ่มเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ มากขึ้น
พล.ร.ต.สุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรตระหนักว่าทำไมประชาชนเลือกที่จะมาอยู่ทำเนียบทั้งที่ไม่สะดวกสบาย การสลายชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตาอย่างรุนแรง มีการเผยแพร่ออกไปส่งผลให้นักท่องเที่ยวตื่นตระหนกไปทั่วโลก อยากให้รัฐบาลพิจารณาตัวเองอย่าไปโทษคนอื่น ที่ผ่านมาประเทศไทยมีหลายรัฐบาล แต่ไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนกล้าก้าวย่ำกองเลือดมาแถลงนโยบาย ควรจะมีการคำนึงถึงรัชกาลที่ 7 ที่ทรงสละพระราชอำนาจให้โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่ความขัดแย้งในขณะนี้ยากที่จะประสานได้ นอกจากใช้อำนาจตุลาการเข้ามาแก้ไข หากรัฐบาลยังถูลู่ถูกังต่อไปก็จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก
“จึงขอถามหาจริยธรรมและความรับผิดชอบที่ผู้บริหารประเทศต้องสำเหนียก หากลาออกผมเชื่อว่า ยังมีคนในพรรคพลังประชาชนที่เหมาะสมเห็นแก่ประชาชนไม่ใช่แค่เฉพาะปาก ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้ ขอให้รัฐบาลดูตัวเองมากกว่าโทษคนอื่น การมีประชาธิปไตยต้องมีด้วยจิตใจ ไม่ใช่เป็นแค่ปากแล้วใจเป็นเผด็จการชื่นชมอำนาจ ต้องการผลประโยชน์ ผมไม่เคยเห็นรัฐบาลข้ามกองเลือดเข้ามาแถลงนโยบาย หากรัฐบาลไม่ลุกลี้ลุกลนแก้รัฐธรรมนูญ ผู้ชุมนุมคงไม่ประท้วง” พล.ร.อ.สุรศักดิ์ กล่าว
นายสุขุมพงศ์ ชี้แจงว่า คณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระพักตร์ในหลวง ว่าเราจะบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขอยืนยันว่าเรามีความจงรักภักดีไม่น้อยกว่าคนไทยทุกคน ส่วนการสั่งการสลายชุมนุมนั้น ตนเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ร่วมประชุม ครม.ในวันที่ 6 ต.ค. และการแถลงนโยบายถือเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้รัฐบาลได้เดินหน้าทำงาน แต่การกำหนดวันแถลงไม่ใช่เป็นอำนาจของนายกฯ แต่เป็นเรื่องของประธานรัฐสภา ซึ่ง ครม.เห็นพ้องต้องกันว่าอาจจะเป็นปัญหาได้หากไม่สามารถฝ่าการชุมนุมเข้าไปในสภา จึงได้หารือมายังนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา แต่นายชัยไม่ยินยอมให้ย้ายสถานที่ประชุมโดยอ้างว่าไม่พร้อมในหลายเรื่อง ทั้งที่จอดรถ การรองรับจำนวนสมาชิกกว่า 600 คน การต้องใช้ไมโครโฟนจำนวนมาก และยังต้องมีการถ่ายทอดสดการประชุม ตามข้อบังคับการประชุม ซึ่งการจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการย้ายสถานที่ทำไม่ได้ได้อย่างแน่นอน จึงยืนยันให้มีการประชุมที่สภาในวันดังกล่าว ซึ่ง ครม.ไม่ขัดข้องที่จะให้ไปประชุมที่ไหน แต่อำนาจไม่ได้อยู่ที่เรา เมื่อประธานสภายืนยันมาแบบนี้เราก็ต้องทำ ส่วน ครม.ก็มีการหารือกันว่า หากเข้าสภาไม่ได้ควรจะแก้ปัญหาอย่างไร ในที่สุดก็ได้มอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกฯ รับผิดชอบในการดำเนินการ โดยกำชับให้ใช้ความละมุนละม่อม ไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น
พล.ร.ต.สุรศักดิ์ กล่าวแย้งว่า ข้ออ้างเรื่องไม่สามารถหาสถานที่ประชุมใหม่ได้ทันนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะมีสถานที่หลายหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะห้องประชุมทั้งกองทัพเรือ ทัพบก หรือทัพอากาศ ก็พร้อมที่จะให้ใช้ได้ และยังรองรับคนได้เป็นพันคน การมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ที่จิตใจของแต่ละคน ไม่ใช่อยู่แค่ปาก
พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร ส.ว.สรรหาตั้ง กระทู้ถามว่า การกระทำของตำรวจในการสลายผู้ชุมนุมเหมือนเดินหน้าฆ่าลูกเดียว ไม่มีความเมตตาประชาชน ทั้งที่มีเพียงมือเปล่า โดยกระทำต่อหน้าพระบรมรูปรัชกาล 7 รวมถึงพระสยามเทวาธิราช มีทั้งขาขาด และบาดเจ็บ ลามไปถึงหน้าลานพระรูปทรงม้า ต่อพระพักตร์ ร.5 นายกฯ และ ส.ส.พรรคพลังประชาชนได้รับความไว้วางใจให้มาบริหารประเทศ แต่กลับสั่งการให้ตำรวจมาใช้ความรุนแรงกับประชาชน ตนรู้สึกสะท้อนใจที่เห็นความขัดแย้งกันทางการเมืองและความคิดที่ควรจะตกลงกันได้ ทำไมรัฐบาลไม่ใช้วิธีส่งตัวแทนไปเจรจากับพวกเขา เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่ศัตรูต่างชาติที่ไหน แต่ทำไมเวลาไปหาเสียง จึงสามารถลงไปหารือกับประชาชนได้ ตนเชื่อว่าผู้ชุมนุมฟังรู้เรื่องและมีเหตุผล
ส่วนที่อ้างว่าไม่สามารถย้ายสถานที่ประชุมได้นั้นตนไม่เชื่อ เพราะมีหลายสถานที่ที่ใช้ประชุมของหน่วยราชการหลายแห่ง ที่มีอุปกรณ์พร้อมใช้เวลาประชุมแค่ 2 ชั่วโมงก็เสร็จ ถ้านายกฯ ต้องการความปรองดองของคนในชาติจริง วันนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การระดมกำลังเจ้าหน้าที่มาจากจังหวัดต่างๆ โดยไม่ได้มีการฝึกอบรมร่วมกันมาก่อน เป็นสิ่งที่สร้างปัญหา เพราะตามปกติเจ้าหน้าที่ที่ใช้สำหรับสลายการชุมนุมจะต้องมีการฝึกเข้าขากัน และต้องได้รับการสั่งการตามแบบเดียวกัน การเอามาจากแต่ละที่เช่นนี้ย่อมมีปัญหาแน่นอน
“ตามขั้นตอนจะต้องมีการเจรจาต่อรองกันก่อนโดยผู้บัญชาการเป็นแกนนำ หากเจรจาไม่รู้เรื่องจึงจะใช้ขั้นตอนต่อไปด้วยการใช้กำลัง แต่ต้องมีประกาศให้รับทราบก่อน ถ้าจะใช้อาวุธเจ้าหน้าที่ปราบจลาจลจะต้องมีเพียงกระบองกับโล่เท่านั้น หากได้รับการต่อต้านจากผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่จะต้องประกาศว่าขั้นต่อไปจะใช้รถฉีดน้ำหรือถ้าจำเป็นใช้แก๊สน้ำตาต้องใช้เจ้าหน้าที่เพียง 2 คน โดยมีผู้บัญชาการเป็นผู้สั่งการ การยิงจะต้องสูงระดับ 50 องศา และดูทิศทางลมด้วย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นได้ว่าตำรวจใช้ลักษณะจ้องยิงเข้าไปยังฝูงชน ซึ่งไม่ใช่วิธีการของตำรวจ” พล.ต.ต.เกริกกล่าว
พล.ต.ต.เกริก กล่าวอีกว่า ตนอยากถามว่าในการประชุม ครม.ในวันที่ 6 ต.ค. นายกฯ ได้มีการสั่งการให้มีการสลายฝูงชนอย่างไร ซึ่งตนคิดว่าคำตอบก็คือ ขอให้ดำเนินการอย่างละมุนละม่อม และเมื่อเห็นผลการกระทำของตำรวจตั้งแต่เช้าแล้ว ทำไมจากช่วงที่นายกฯ ติดอยู่ในสภาแล้วปีนรั้วหนีออกมาจนถึงช่วงที่กลับไปนอนที่บ้านแล้ว ก็ยังมีการสั่งยิงประชาชนอีก จนถึงขั้นเสียชีวิต อีกทั้งการที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าการสลายนั้นชอบแล้วตามแบบสากล และไม่รุนแรงนั้นได้สั่งการแบบไหน เมื่อเห็นผลของการสั่งการแล้วมีความคิดอย่างไร และเมื่อเกิดเหตุหน่วยทหารเสนารักษ์ของพระราชินีเข้ามาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บยังถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บและกักกันรถพยาบาลไม่ให้เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าสงครามต่างชาติ และพี่น้องคนไทยด้วยกันเองทำไมถึงไม่ให้เข้าไปดูแลคนบาดเจ็บ
พล.ต.ต.เกริก ถามต่อว่า หลังเกิดเหตุนายกฯ ยืนยันว่าการปฏิบัติการเช่นนี้ตำรวจไม่ได้ใช้ความรุนแรง และไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบอะไร เพียงแค่กล่าวว่าเสียใจอย่างเดียว ซึ่งน่าจะออกมายอมรับว่าตำรวจอาจทำเกินกว่าเหตุหรืออะไรก็ว่าไป การปฏิบัติการดังกล่าว และขณะนี้องค์กรตำรวจได้รับความเสียหายถูกดูหมิ่น เหยียดหยามจากประชาชน รัฐบาลจะเยียวยา ดูแลช่วยเหลืออย่างไร โดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อย เพื่อให้มีขวัญกำลังใจที่จะทำงานและอยู่ในสังคมได้อย่างมีหน้ามีตาได้ต่อไป
ด้าน นายสุขุมพงศ์ ชี้แจงว่า ตนอยู่ในเหตุการณ์ตลอดตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นที่หาว่าเดินหน้าฆ่าลูกเดียวนั้นฟังแล้งเหมือนหนังในทีวีเพราะความจริงไม่ใช่ ผู้ชุมนุมได้ปิดถนนทุกสายที่เข้าสภา ตนและ ส.ส.ได้เดินทางมาเพื่อเข้าสภาต้องผ่านจุดที่การ์ดพันธมิตรคุมอยู่ล้วนมีท่าทางน่าเกรงขาม เหมือนเห็น ส.ส.เป็นยักษ์เป็นลิงบ้าง ที่ถามว่าทำไมไม่ลงไปพูดกับเขาดีๆ ต้องบอกว่าในวันนั้นรัฐมนตรีบางคนเกือบโดนทำร้ายถ้าเดินไม่ระวังอาจจะเอาชีวิตไม่รอด แม้จะสามารถเปิดประตูเข้ามาได้แล้ว แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมมีท่าทางน่ากลัวมาก ตนยืนยันว่ารัฐบาลอยากให้ย้ายที่ประชุมแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะประธานรัฐสภาบอกว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของรัฐสภา 70 ปีของระบอบประชาธิปไตยเราไม่เคยต้องย้ายไปไหน แต่ ครม.ก็เห็นว่าถ้าจำเป็นควรจะเตรียมสถานที่รองรับไว้ ซึ่งทางทหารก็เสนอสถานที่ให้ประชุมได้ แต่ที่สำคัญเราไม่สามารถฝืนข้อบังคับการประชุมได้ เพราะระบุว่าถ้าจะย้ายสถานที่จะต้องแจ้งสมาชิกล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน และสมาชิกจะได้รับการแจ้งหรือไปที่ประชุมแห่งใหม่ถูกหรือไม่จึงเป็นเรื่องสุดวิสัย
ส่วนขั้นตอนการผลักดันฝูงชนของตำรวจในช่วงเช้าจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อเปิดประตูให้สมาชิกเข้าไปประชุมให้ได้ ตอนแรกอาจจะมีการเจรจาแต่ตกลงกันไม่ได้ เพราะผู้ชุมนุมไม่ยอมเจรจาจึงต้องใช้วิธีที่ 2 ด้วยการแสดงกำลัง แต่ไม่มีอาวุธอะไรเลย มีเพียงโล่และแก๊สน้ำตา แต่ที่ใช้เพราะเกิดข้อขัดข้องกับการทำงานเราใช้วิธีละมุนละม่อมและพยายามใช้อุปกรณ์น้อยชิ้น แต่กลุ่มพันธมิตรมีการต่อต้านอย่างแข็งขัน ขนาดตนเดินเข้าไปใกล้ยังถูกขู่จะทำร้าย และโดนตีด้วยไม้กอล์ฟ เห็นผู้ชุมนุมบางคนถืออุปกรณ์บางอย่าง บางคนแบกถุงมีลูกกลมๆ อยู่บ้างใน ซึ่งตนไม่รู้ว่าเป็นอะไร ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามผลักดันด้วยความสงบ แต่ทางกลุ่มพันธมิตรมีความมั่นคงกว่า มีการใช้น้ำฉีดแต่ประสานไปยัง กทม. แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงจำเป็นใช้แก๊สน้ำตา
“ผมยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ใช้อาวุธ หรือใช้ความรุนแรงเป็นเพียงพยายามผลักดันเพื่อให้เปิดประตูทางด้านแยกถนนพิชัยเท่านั้น เพื่อให้สมาชิกเข้าประชุมที่สภาเท่านั้น ถ้าต้องการสลายผู้ชุมนุมจะต้องให้เปิดประตูทุกด้าน เมื่อเข้ามาและแถลงนโยบายเสร็จแล้วปรากฏว่าออกไปไม่ได้ ผมได้เดินลองไปสังเกตการณ์ กลุ่มพันธมิตรได้ด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง มีการใช้อาวุธอะไรไม่รู้ทำท่าเหมือนจะยิงเข้ามา จึงเดินได้รัศมี 50 เมตร ยอมรับว่า ส.ส.ทุกคนกลัวตาย เพราะถูกตัดน้ำตัดไฟ ข้าวไม่มีกิน ที่มีการให้เจ้าหน้าที่ผลักดันรอบ 2 เพราะต้องการรักษาชีวิตของ ครม.ส.ส. ส.ว.และสื่อมวลชนที่ติดค้างอยู่ในสภา ส่วนตำรวจจะใช้แผนการอะไรนั้นไม่สามารถบอกได้ ซึ่งขณะนี้มีหลายองค์กรกำลังตรวจสอบการปฏิบัติการเบื้องลึกอยู่”
ด้าน นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ตั้งกระทู้ถามประเด็นรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนในการใช้ความรุนแรงในการสบายกลุ่มผู้ชุมนุม โดยระบุว่าตามปกติในการแก้ปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน เริ่มจากการเจรจาต่อรองหากไม่ได้ผลก็จะใช้ขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับ ที่ผ่านมาไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ร่วมทำปฏิญญาสากลเรื่องสิทธิมนุษยชนแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาล ไม่ได้สนใจต่อปฏิญญาดังกล่าว จากการบันทึกภาพเหตุการณ์จะเห็นเหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนในการสลายการชุมนุมด้วย ไม่ใช่เฉพาะแก๊สน้ำตาอย่างเดียว จึงถามว่ารัฐบาลได้คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนเพียงได และจะรับผิดชอบอย่างไร นอกจากนี้ผลรายงานของคณะกรรมการสิทธิที่ออกมาก็ระบุชัดเจนว่ารัฐบาลทำการละเมิดสิทธิ อยากถามว่ารัฐบาลจะยอมรับผิดด้วยการขอโทษผู้ตาย ญาติพี่น้องและผู้บาดเจ็บทั้ง 470 คนหรือไม่ และจะรับผิดชอบอย่างไร ถ้าผลสอบคณะกรรมการอกมาว่าผู้ดำเนินการสั่งการให้ดำเนินผิด จะยอมลาออกหรือให้ประชาชนเป็นผู้บอกเอง
นายสุขุมพงศ์ ชี้แจงโดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีการใช้อาวุธปืนและจากข้อมูลพบว่าผู้บาดเจ็บที่โดนกระสุนปืนส่วนใหญ่เป็นตำรวจ จึงน่าจะถือว่าตำรวจมีปืนแต่ไม่ได้ยิง ส่วนภาพถ่ายในวันเกิดเหตุแต่ละฝ่ายได้ขอให้เอาออกมาเผยแพร่บางส่วนก็ไม่ตรงกัน บางรูปถ้าเห็นว่ามีประโยชน์กับตัวเองก็นำมาเปิดเผย แต่รูปไหนไม่เป็นประโยชน์ก็เก็บเอาไว้ ซึ่งคณะกรรมการที่มีหน้าที่ตรวจสอบจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดอีกครั้งและยืนยันว่ารัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการปฏิบัติ ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ อย่างเคร่งครัด แม้รัฐธรรมนูญจะให้สิทธิประชาชนชุมนุมได้ แต่ต้องอยู่ในความสงบและปราศจากอาวุธ แต่ตนไม่แน่ใจว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้ชุมนุมอย่างสงบและไม่พกพาอาวุธ และการอ้างสิทธิใดๆ จะละเมิดสิทธิคนอื่นไม่ได้ รัฐบาลมีสิทธิแถลงนโยบายและ ส.ส.มีสิทธิทำหน้าที่ในสภาการปิดล้อมไม่ให้เปิดประชุมถือเป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่ หากผลการสอบสวนของคณะกรรมการจะออกมาเป็นอย่างไรนายกฯ ได้ยืนยันชัดเจนแล้วว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบ
“รัฐบาลคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด และคิดว่า ประชาชนเปรียบเหมือนพ่อแม่ของรัฐบาล ถ้าใครทรยศกับประชาชนก็ถือเป็นคนชั่วและคนเลว” นายสุขุมพงศ์ กล่าว
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.ตั้งกระทู้ถามว่า รัฐบาลไม่เจรจา แต่กลับพยายามเข้ามาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของรัฐบาล ซึ่งคงเห็นว่าสำคัญกว่าชีวิตของประชาชน รัฐมนตรีบอกว่า เข้าสภาได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น. แต่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเวลา 08.00 น. ยังมีประชาชนนอนระเกะระกะแขนขาขาด สมาชิกบางคนนั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาโดยไม่สนใจประชาชนเหล่านี้เลย รัฐบาลปฏิบัติกับผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรงทั้งที่ผู้ชุมนุมไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายไม่ใช่โจร เป็นเพียงผู้ชุมนุมที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล รัฐบาลต้องปฏิบัติกับผู้ชุมนุมอย่างมีศักดิ์ศรี แต่กลับใช้แก๊สน้ำตาซึ่งทราบว่า ผสมระเบิดซีโฟร์
น.ส.รสนา กล่าวว่า ข้อมูลรายงานจากศูนย์นเรนทรสิ้นสุดวันที่ 24 ตุลาคม ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคมทั้งสิ้น 497 ราย บาดเจ็บสาหัส 32 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 91 ราย เสียชีวิต 2 ราย แต่รัฐบาลไม่เคยเข้าไปดูแล ทั้งที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งควรคำนึงว่าประชาชนเปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ให้กำเนิดรัฐบาล การทำร้ายพ่อแม่ถือเป็นอนันตริยกรรม(กรรมอันหนัก) ทางการเมือง หากเป็นพระจะถือว่าอาบัติปาราชิกแล้ว จึงขอถามความรับผิดชอบทางการเมืองของรัฐบาลหรือจะอ้างความจำเป็นที่ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อรอสอบสวนจากคณะกรรมการและรัฐบาลมีนโยบายดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างไร ไม่ต้องกล่าวคำว่าเสียใจหรือขอโทษเพราะคงไม่ได้ยินจากปากรัฐบาล
น.ส.รสนา กล่าวด้วยว่า ขอบคุณรัฐบาลที่ยอมรับว่าเป็นรัฐบาลชั่ว รัฐบาลเลว ที่ได้ฆ่าประชาชน ขณะที่นายสุขุมพงศ์ ตอบโต้ว่า ไม่ได้พูดหรือยอมรับว่ารัฐบาลชั่วหรือเลว เพียงแต่กล่าวว่าใครที่ทรยศพ่อแม่ถือเป็นคนชั่วและเลว แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น ทำให้ น.ส.รสนา กล่าวอีกว่า ตนทราบว่าวันที่ 7-8 ตุลาคม รัฐบาลเบิกอาวุธเพิ่มเติมเพื่อใช้สลายการชุมนุม แต่กลุ่ม ส.ว.ได้ยื่นเรื่องกับศาลปกครองสูงสุดทำให้ศาลมีคำสั่งระงับการใช้ความรุนแรงกับประชาชน รัฐบาลจึงนำอาวุธไปคืนคลัง การทรยศประชาชนโดยทำให้บาดเจ็บและล้มตายเข้านิยามว่าเป็นรัฐบาลเลวและชั่ว