เนื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) เป็นการประชุมครั้งแรก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงได้ให้แนวทางการทำงานร่วมกันแก่คณะรัฐมนตรี 9 ข้อ เพื่อยึดถือปฏิบัติ โดยต้องตระหนักว่า ทุกคนเข้ามาบริหารบ้านเมืองในภาวะวิกฤติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และก็ไม่ได้เข้ามาในภาวะเลือกตั้งทั่วไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างอายุของสภา ดังนี้
1.ให้ ครม.น้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานให้ครม.เมื่อวันที่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติงานให้เกิดความเรียบร้อย และเกิดความสุขในหมู่ประชาชน
2.ได้เน้นกับครม.เรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด เพราะเมื่อใดรัฐบาลไม่สามารถบริหารอยู่บนความซื้อสัตย์สุจริตได้ ก็จะเป็นปัญหาทางการเมือง และปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล และบางครั้งนำไปสู่ความสูญเสียอธิปไตยด้วยซ้ำ ที่สำคัญจะต้องดูแลไปถึงผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคลากรที่มาช่วยงาน
3.นโยบายที่ครม.อนุมัติ เป็นนโยบายที่จะมีการแถลงต่อสภา ถือเป็นเป้าหมายร่วมของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ดังนั้นรัฐมนตรีที่จะไปกำหนดนโยบายเพิ่มในระดับกระทรวง หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นในเชิงนโยบาย ขอให้อ้างอิงนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
4.การทำงานของรัฐบาลต้องรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เอกภาพ แม้จะเป็นรัฐบาลผสม เราต้องไม่เป็นรัฐบาลที่แบ่งพรรค ต้องเป็นรัฐบาลที่รับผิดชอบร่วมกัน เพราะปัญหาในประเทศหลายอย่างในขณะนี้ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ดังนั้นการประสานงานระหว่างกระทรวงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหมายถึงบทบาทของการมีระบบคณะกรรมการ หรือบทบาทของตน และรองนายกฯ ที่จะเข้าไปทำให้เกิดรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงขอให้ครม.เห็นความสำคัญของระบบการทำงานแบบคณะกรรมการ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่จะต้องแก้วิกฤติ
5.รัฐบาลนี้อยู่ในวิถีทางรัฐสภา รัฐมนตรีทุกท่านต้องเข้าร่วมประชุมสภาอย่างสม่ำเสมอ ไปรับฟังความเห็นของผู้แทน ทั้งการอภิปรายในสภา หรือพบปะพูดคุยกับส.ส.ในพื้นที่ต่างๆ ที่สำคัญที่สุดรัฐมนตรีต้องทราบเวลาที่ชัดเจน เรื่องกระทู้ถามสด คือ 13.30 น. ของทุกวันพฤหัสบดี จึงขอให้รัฐมนตรีที่ไม่มีภารกิจนัดหมายใดๆ ยกเว้นกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
6.รัฐมนตรีทุกคนถือเป็นบุคคลสาธารณะ ในภาวะที่มีปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาความขัดแย้งในสังคมสูง ขอให้รัฐมนตรีปฏิบัติโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ไม่อยากให้นำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น ศรัทธา ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
7.ในรัฐบาลที่เชื่อมั่นในวิถีทางประชาธิปไตยนั้น ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ฉะนั้นการดำเนินนโยบาย หรือโครงการที่ยังไม่เป็นที่รับทราบของประชาชน ขอให้อดทนและอย่าตั้งแง่ต่อการเข้าไปรับฟังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการประชาพิจารณ์ หรืออะไรก็ตาม
8.รัฐบาลชุดนี้ ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ จะมีทั้งการตรวจสอบเชิงนโยบาย หรือเรื่องอื่นๆ รัฐมนตรีต้องไม่ไปสร้างอุปสรรคขัดขวางการตรวจสอบ นอกจากนี้อยากจะขอว่า เมื่อใดก็ตามที่มีกรตรวจสอบลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ หรือการสัมภาษณ์ ขอให้ชี้แจงโดยใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง หลีกเลี่ยงการนำรัฐบาลหรือตัวเองเข้าไปตอบโต้ หรือทะเลาะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางรัฐบาล ต้องการสร้างความสามัคคี
9.รัฐมนตรีทุกท่านไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่น ในแง่ของการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้น จะต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีหน้าที่ประเมินผลงานของรัฐมนตรี หากการดำรงอยู่ในตำแหน่งของรัฐมนตรีเป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แม้จะไม่ผิดกฎหมาย หรือไม่ได้ทำความผิดก็ตาม ขอให้รัฐมนตรีทุกคน หรือแม้กระทั่งตนเอง ต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ของตน และรัฐบาล ซึ่งทั้ง 9 ข้อนี้ เป็นแนวทาง และถือเป็นกติกาในการทำงานร่วมกัน
1.ให้ ครม.น้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานให้ครม.เมื่อวันที่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติงานให้เกิดความเรียบร้อย และเกิดความสุขในหมู่ประชาชน
2.ได้เน้นกับครม.เรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด เพราะเมื่อใดรัฐบาลไม่สามารถบริหารอยู่บนความซื้อสัตย์สุจริตได้ ก็จะเป็นปัญหาทางการเมือง และปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล และบางครั้งนำไปสู่ความสูญเสียอธิปไตยด้วยซ้ำ ที่สำคัญจะต้องดูแลไปถึงผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคลากรที่มาช่วยงาน
3.นโยบายที่ครม.อนุมัติ เป็นนโยบายที่จะมีการแถลงต่อสภา ถือเป็นเป้าหมายร่วมของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ดังนั้นรัฐมนตรีที่จะไปกำหนดนโยบายเพิ่มในระดับกระทรวง หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นในเชิงนโยบาย ขอให้อ้างอิงนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
4.การทำงานของรัฐบาลต้องรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เอกภาพ แม้จะเป็นรัฐบาลผสม เราต้องไม่เป็นรัฐบาลที่แบ่งพรรค ต้องเป็นรัฐบาลที่รับผิดชอบร่วมกัน เพราะปัญหาในประเทศหลายอย่างในขณะนี้ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ดังนั้นการประสานงานระหว่างกระทรวงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหมายถึงบทบาทของการมีระบบคณะกรรมการ หรือบทบาทของตน และรองนายกฯ ที่จะเข้าไปทำให้เกิดรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงขอให้ครม.เห็นความสำคัญของระบบการทำงานแบบคณะกรรมการ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่จะต้องแก้วิกฤติ
5.รัฐบาลนี้อยู่ในวิถีทางรัฐสภา รัฐมนตรีทุกท่านต้องเข้าร่วมประชุมสภาอย่างสม่ำเสมอ ไปรับฟังความเห็นของผู้แทน ทั้งการอภิปรายในสภา หรือพบปะพูดคุยกับส.ส.ในพื้นที่ต่างๆ ที่สำคัญที่สุดรัฐมนตรีต้องทราบเวลาที่ชัดเจน เรื่องกระทู้ถามสด คือ 13.30 น. ของทุกวันพฤหัสบดี จึงขอให้รัฐมนตรีที่ไม่มีภารกิจนัดหมายใดๆ ยกเว้นกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
6.รัฐมนตรีทุกคนถือเป็นบุคคลสาธารณะ ในภาวะที่มีปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาความขัดแย้งในสังคมสูง ขอให้รัฐมนตรีปฏิบัติโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ไม่อยากให้นำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น ศรัทธา ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
7.ในรัฐบาลที่เชื่อมั่นในวิถีทางประชาธิปไตยนั้น ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ฉะนั้นการดำเนินนโยบาย หรือโครงการที่ยังไม่เป็นที่รับทราบของประชาชน ขอให้อดทนและอย่าตั้งแง่ต่อการเข้าไปรับฟังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการประชาพิจารณ์ หรืออะไรก็ตาม
8.รัฐบาลชุดนี้ ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ จะมีทั้งการตรวจสอบเชิงนโยบาย หรือเรื่องอื่นๆ รัฐมนตรีต้องไม่ไปสร้างอุปสรรคขัดขวางการตรวจสอบ นอกจากนี้อยากจะขอว่า เมื่อใดก็ตามที่มีกรตรวจสอบลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ หรือการสัมภาษณ์ ขอให้ชี้แจงโดยใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง หลีกเลี่ยงการนำรัฐบาลหรือตัวเองเข้าไปตอบโต้ หรือทะเลาะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางรัฐบาล ต้องการสร้างความสามัคคี
9.รัฐมนตรีทุกท่านไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่น ในแง่ของการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้น จะต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีหน้าที่ประเมินผลงานของรัฐมนตรี หากการดำรงอยู่ในตำแหน่งของรัฐมนตรีเป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แม้จะไม่ผิดกฎหมาย หรือไม่ได้ทำความผิดก็ตาม ขอให้รัฐมนตรีทุกคน หรือแม้กระทั่งตนเอง ต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ของตน และรัฐบาล ซึ่งทั้ง 9 ข้อนี้ เป็นแนวทาง และถือเป็นกติกาในการทำงานร่วมกัน