“ยามเฝ้าแผ่นดิน” เผยกลยุทธ์ “พลังแม้ว” แยกกันเดิน-รวมกันตี ใช้ทั้ง “ทัพเทพ”และ “ทัพถ่อย” มุ่งยึด 3 แนวรบ 5 สมรภูมิ เพื่อฟื้นระบอบ “ทักษิณ” จวกพวกชู รธน.40 หน้าไม่อาย เคยฆ่าให้ตายแล้วขุดมาใช้เป็นเครื่องมือ ท้า “จักรภพ”แพร่เทปคำปราศรัยที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศ ทางเอ็นบีที พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจต่อสถาบันฯ พร้อมโต้ข้อหา “เครือผู้จัดการ”เป็นดาวสยามยุคใหม่
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 6 พฤษภาคม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระบบสรรหา และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีแพทย์อาวุโสออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แทนที่จะให้ความสำคัญต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ทุกท่านที่ออกมาเคลื่อนไหว ล้วนแต่เป็นปูชนียบุคคลของสังคมทั้งสิ้น และก็เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก ซึ่งหากย้อนในอดีตเมื่อปี 2549 เมื่อแพทย์อาวุโสออกมาเคลื่อนไหว ก็มักเกิดเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาในบ้านเมือง
วันนี้รัฐบาลพยายามทำทุกทาง ถือว่ามีเสียงข้างมาก เร่งรีบคิดจะฝ่าตรงจุดนี้ไปโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของรัฐบาล ทั้งหมดก็เพื่อนำไปสู่การกลับมาของระบอบทักษิณอีกครั้ง ขณะเดียวกันคนที่คุมเกมอยู่ข้างหลังรัฐบาล กำลังใช้ยุทธศาสตร์คู่ขนาน แยกกันเดิน รวมกันตี แบบ “ทวิวิถี” โดยมีเป้าหมายยึดอำนาจที่มีอยู่เดิมกลับคืนมา สถาปนาระบอบทักษิณที่มั่นคงขึ้นใหม่ ด้วยการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ และทำลายล้างพลังของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นอุปสรรค
การจัดกระบวนยุทธ์ ใช้ 2 ทัพ 3 แนวรบ 5 สมรภูมิ โดย 2 ทัพแบ่งเป็น “ทัพเทพ” โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นศูนย์กลาง ประกาศไม่ยุ่งการเมือง เอาแต่เดินสายทำบุญ ช่วยคนจน สนับสนุนการกีฬา แต่อีกด้านหนึ่งก็ใช้ “ทัพถ่อย”เพื่อเผชิญหน้าและกดดันฝ่ายพันธมิตรฯ
3 แนวรบคือ แนวรบในการแก้รัฐธรรมนูญ แนวรบเปิดสงครามเผชิญหน้ากับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และแนวรบสุดท้ายคือการยึดพื้นที่ของฝ่ายบริหารเดิม กุมกลไกอำนาจรัฐ เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่
ส่วน 5 สมรภูมิ แบ่งเป็น 1.สมรภูมิสภาผู้แทนราษฎร ให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นทัพหน้า ฝ่ายบริหารเป็นกองหนุน 2.สมรภูมิสนามหลวง ให้ม็อบถ่อยเป็นทัพหน้า ฝ่ายบริหารเป็นกองหนุน มีบ้านจันทร์ส่องหล้าบัญชาการ
นอกจากนี้ยังมี 3.สมรภูมิใต้ดิน มุ่งเป้าไปที่ 2 ป. คือ เปรม และ ปีย์ และระบอบอมาตยาธิปไตย เผยแพร่ข่าวที่เป็นผลลบต่อสถาบัน เผยแพร่แนวความคิดอุดมการณ์ใหม่ซึ่งเอื้อต่อการกุมอำนาจระยะยาว 4.สมรภูมิสื่อช่วงชิงพื้นที่ข่าว เผยแพร่แนวคิดและสร้างภาพลักษณ์ และ 5.สมรภูมิอำนาจบริหาร โยกย้ายเอาผิดข้าราชการที่ไม่เห็นด้วย ทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์และเห็นเป็นปรากฏที่เกิดขึ้นอย่างเปิดเผย
“การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองยุคใหม่ ในสังคมประชาธิปไตย เป็นสงครามช่วงชิงมวลชน สร้างความรู้สึกให้เป็นพวกเดียวกัน สร้างความเชื่อมั่นศรัทธาโดยใช้กลไกบริหารจัดการความรู้สึกของมวลชนกลุ่มเป้าหมาย พรรคพลังประชาชนกำลังพยามใช้กลยุทธ์ทั้งทางเปิดและทางปิด เพื่อสถาปนาระบอบทักษิณกลับคืนมาโดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะมีภาพลักษณ์อย่างไร ใช้กลวิธีการดำเนินงานแยกส่วนแบ่งภารกิจโดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจุดศูนย์กลางอยู่เบื้องหลัง”
** จวกคนชู รธน.40 หน้าไม่อาย
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการแก้ เริ่มแรกรัฐบาลต้องการแก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการยุบพรรค ต่อด้วย มาตรา 309 แต่เมื่อถูกคัดค้าน รัฐบาลจึงใช้วิธีเอารัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาตัดแปะ กลไกจะกลับไปสู่จุดเดิมๆ แบบที่รัฐบาลสามารถควบคุมเกมได้ ขณะเดียวกันหากแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จ การเลือกตั้งใหม่ภายใต้อำนาจรัฐบาลควบคุมก็จะเกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ดังนั้นไม่ควรตกอยู่ในมายายภาพที่รัฐบาลสร้างขึ้น ทั้งการชูสิ่งดีของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ที่ภายหลังถูก พ.ต.ท.ทักษิณ เจาะทำลายจนไม่เหลือ
ถึงมีรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 อยู่ แต่จิตวิญญาณได้ตายไปก่อนวิกฤติ 19 กันยายน 2549 แล้ว การนำกลับรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาใช้เท่ากลับเราย้อนไปสู่เมื่อครั้งที่รัฐบาลโดยพรรคไทยรักไทยมีอำนาจ มีการปู้ยี้ปู้ยำรัฐธรรมนูญ หวังผลประโยชน์เพื่อตัวจนเกิดวิกฤติ การเกิดเคลื่อนไหวต่อต้านจากพันธมิตรฯ อย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีการกระทำที่หมิ่นแหม่ต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างหนัก จนทำให้ทหารใช้เป็นเหตุผลในการรัฐประหาร ก่อเกิดรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 ที่ได้รับเสียงเห็นชอบส่วนใหญ่จากประชาชน ดังนั้นการแก้ไขของรัฐบาลโดยการนำรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 มันชอบแล้วหรือไม่
ต่อมาผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงคนที่ชูรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาใช้แทนฉบับปี 2550 ว่า เป็นวิธีการที่น่าไม่อาย รัฐธรรมนูญ 2540 นั้นใครเป็นคนฆ่ามากับมือ ใครเหยียบย่ำเจตนารมณ์ดั้งเดิม ไม่อยู่ในสายตา แต่เขาก็ขุดเอารัฐธรรมนูญที่เขาเยียบย่ำขึ้นมาเป็นเครื่องมือ เหมือนฆ่าให้ตายแล้วขุดศพขึ้นมาฆ่าซ้ำและใช้เป็นเครื่องมือ
ฆ่าซ้ำไม่พอยังข่มขืนอีก บางคนไม่เอารัฐธรรมนูญ 2540 แต่แรก แต่มาวันนี้กลับบอกว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้
** ท้า “จักรภพ” แพร่เทปหมิ่นเหม่ ผ่าน “เอ็นบีที”
กรณีที่เครือข่ายแพทย์อาวุโสออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยุติเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญแลหันมาแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน และนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตอบโต้แพทย์อาวุโส โดยบอกว่าเป็นการพูดเพื่อหาเรื่อง และยืนยันว่ารัฐบาลพูดเรื่องการบริหารประเทศมากกว่าเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า การพูดของนายจักรภพเป็นการพูดเพื่อแยกพรรคพลังประชาชนออกจากรัฐบาล โดยพยายามบอกว่ารัฐบาลก็อยู่ส่วนรัฐบาล ส่วนที่ ส.ส.พูดก็เป็นเรื่องของ ส.ส.
นายคำนูณ กล่าวว่า หากได้ฟังคำพูดของนายจักรภพที่พูดเป็นภาษาอังกฤษที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทย (เอฟซีซีที) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 แล้ว ก็จะเห็นสิ่งที่นายจักรภพตอบโต้แพทย์อาวุโสนั้นเบามากแล้ว และเชื่อว่านายจักรภพเป็นห่วงกับเรื่องที่เขาพูดในวันนั้นมาก เมื่อมีคนไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายจักรภพจึงพยายามชี้แจงว่าเป็นการแปลผิด
อย่างไรก็ตาม นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ตนได้ดูฉบับที่แปลโดยละเอียดแล้ว ต้องบอกว่าอ่านแล้วหนาวมาก จนไม่กล้าเอามาเผยแพร่ เพราะอาจมีความผิดฐานเผยแพร่ด้วย ทั้งนี้ การที่นายจักรภพอ้างว่า มีการแปลผิดนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สิ่งที่ไปไกลกว่านั้น มันสะท้อนว่าในใจของนายจักรภพคิดอะไร ซึ่งล่าสุดนายจักรภพบอกว่าจะแปลเองและเผยแพร่ทั่วประเทศเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด
นายคำนูณ ได้ท้านายจักรภพว่า ถ้านายจักรภพคิดว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นไม่มีอะไร ก้ให้เอาไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเป็นภาษาอังกฤษเต็มๆ เลย โดยประกาศให้รู้ล่วงหน้าว่าจะออกเวลาไหนวันที่เท่าไหร่ เพื่อให้คนที่รู้ภาษาอังกฤษทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศได้ดูกันอย่างทั่วถึง และตัดสินใจเองว่ามีอะไรหรือไม่
“ถ้าคุณจักรภพมั่นใจว่าที่พูดไปไม่มีอะไรผิด ก็ให้เอาออกเอ็นบีทีเลย แล้ว ท่านอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และข้าราชการทุกคนก็กรุณารับผิดชอบด้วย
“ถ้าคุณจักรภพแปลเอง คนอื่นเขาจะก็จะหาว่าคุณจักรภพแปลเพี้ยนหรือเปล่า แต่ถ้าคนอื่นแปลคุณจักรภพก็อาจจะสงสัยว่าเขาแปลผิดไหม รู้ภาษาอังกฤษดีเท่าคุณไหม เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปล เอาออกทีวีเลย บอกวันเวลาให้ชัดเจน คนที่รู้ภาษีอังกฤษดี ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งที่อยู่ในไทย ในยุโรป ในอเมริกาได้ฟัง แล้วจะได้เห็นว่าในมุมมองของคนไทยที่รักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เขาได้ฟังแล้ว จะรู้สึกอย่างไร”นายคำนูณกล่าว
**โต้คำป้ายสี “ดาวสยามยุคใหม่”
ต่อกระแสการโจมตีสื่อในเครือผู้จัดการและเอเอสทีวีว่าเป็น “ดาวสยามยุคใหม่” โดยมองว่ากำลังเอาเรื่องสถาบันมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง และมีนักวิชาการบางคนออกแถลงการณ์ดูซุ่มเสียงคล้ายๆ ต่อว่าสื่อในเครือผู้จัดการนั้น นายคำนูณกล่าวว่า สังคมเราประหลาดขึ้นทุกวัน เราเป็นหมาเฝ้าบ้านมีหน้าที่ต้องเฝ้าบ้าน ต้องเห่า เวลามีโจรมา และเห่าให้เสียงดังที่สุด แต่บ้านนี้แปลก หมาเป็นฝ่ายผิด ไม่มีใครไปว่าโจรที่มันปีนรั้วเข้ามา กลับไปต่อว่าหมา ว่ายกเอาเรื่องโจรมาเป็นเครื่องมือ
นายคำนูณกล่าวต่อว่า กรณีหนังสือพิมพ์ดาวสยามนั้นเป็นเรื่องของการตกแต่งภาพ (จนนำไปสู่การนองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519) แต่สิ่งที่เราพูด เราตกแต่งอะไรหรือเปล่า มันมีคนที่ไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง เหตุเกิดมานาน แต่ในวันที่เราพูด เขาไปรายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหา มีคนใส่เสื้อข้อความว่า “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร คิดต่าง ไม่ใช่อาชญากรรม” และถือป้ายข้อความทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เราตกแต่งภาพหรือ มันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า และมันเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ซึ่งเรามองว่านี่คือยอดภูเขจาน้ำแข็งที่โผล่ออกมาแค่ปลาย แล้วที่อยู่ใต้น้ำ ยังมีเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อความหมิ่นสถาบันอยู่มากมาย
นอกจากนี้ 2 วันต่อมาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเคลื่อนไหวในแนวทางเดียวกับ นปก. เช่นเดียวกับคนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ยืนทำความเคารพ ได้ไปออกรายการที่ช่องเอ็นบีที แล้วใส่เสื้อ “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร ฯ” เรื่องนี้เราถามอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้วแต่ก็ยังไม่ตอบ ขณะที่นายจักรภพเอง ก็บอกแค่ว่าให้ระวังเรื่องนี้ และคิดว่าไม่ได้มีเจตนา และพูดต่อไปว่า เอ็นบีที เป็นทีวีสาธารณะ สังคมนี้ไม่ใช่สังคมหวงห้าม สังคมนี้เป็นสังคมเสรี ถ้าอยากเป็นทาสก็ไปเป็นที่อื่น
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า การได้รบทางความคิดกับนายจักรภพถือเป็นความรื่นรมย์ในชีวิตอย่างหนึ่ง เพราะนายจักรภพเป็นคนไม่เก็บงำความรู้สึก คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น มีหลักฐานออกมาเต็มไปหมด ที่นายจักรภพพูดว่า “ใครอยากเป็นข้าทาสให้ไปอยู่สังคมอื่น”นั้น ตนก็ไม่อยากหาเรื่อง แต่ว่าเรื่องแบบนี้ที่เราพูดเราแต่งภาพหรือเปล่า มันเกิดขึ้นจริงทั้งนั้น
นายคำนูณกล่าวอีกว่า ตนมี 2 สถานะ คือเป็นสื่อ ก็มาตั้งคำถามในรายการ และอีกด้านหนึ่งเป็น ส.ว.ก็ตั้งกระทู้ถามในสภา ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว และจะทำต่อไป นอกจากนี้ อยากจะเรียกร้องนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งทางรายการได้พูดถึงในทางที่ดีมาโดยตลอดในเรื่องความจงรักภักดี กรุณาตอบเรื่องนี้ด้วย เพราะถ้าไม่ทำอะไรแล้วปล่อยให้สังคมเกิดความขัดแย้ง เมื่อมีคนใส่เสื่อ “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากรฯ” ได้ ถ้าเกิดมีคนอีกกลุ่มหนึ่งทำเสื้อ “ไม่ยืน ไม่เคารพ กูชก” ใส่มาประทะกัน หรือขอใส่ไปออกรายการทางเอ็นบีทีบ้าง จะทำอย่างไร
ผู้ดำเนินรายการย้ำว่า หากคนเป็นนายกฯ ไม่ได้ทำอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ถือว่าไมได้ทำตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ตอนเข้ารับตำแหน่ง คำถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นมีว่าอย่างไรทุกคนรู้ทุกคนทราบ ขอให้ทำให้สมหน้าที่ ทุกเรื่องก็จะไม่มีปัญหา
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 6 พฤษภาคม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระบบสรรหา และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีแพทย์อาวุโสออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แทนที่จะให้ความสำคัญต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ทุกท่านที่ออกมาเคลื่อนไหว ล้วนแต่เป็นปูชนียบุคคลของสังคมทั้งสิ้น และก็เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก ซึ่งหากย้อนในอดีตเมื่อปี 2549 เมื่อแพทย์อาวุโสออกมาเคลื่อนไหว ก็มักเกิดเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาในบ้านเมือง
วันนี้รัฐบาลพยายามทำทุกทาง ถือว่ามีเสียงข้างมาก เร่งรีบคิดจะฝ่าตรงจุดนี้ไปโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของรัฐบาล ทั้งหมดก็เพื่อนำไปสู่การกลับมาของระบอบทักษิณอีกครั้ง ขณะเดียวกันคนที่คุมเกมอยู่ข้างหลังรัฐบาล กำลังใช้ยุทธศาสตร์คู่ขนาน แยกกันเดิน รวมกันตี แบบ “ทวิวิถี” โดยมีเป้าหมายยึดอำนาจที่มีอยู่เดิมกลับคืนมา สถาปนาระบอบทักษิณที่มั่นคงขึ้นใหม่ ด้วยการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ และทำลายล้างพลังของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นอุปสรรค
การจัดกระบวนยุทธ์ ใช้ 2 ทัพ 3 แนวรบ 5 สมรภูมิ โดย 2 ทัพแบ่งเป็น “ทัพเทพ” โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นศูนย์กลาง ประกาศไม่ยุ่งการเมือง เอาแต่เดินสายทำบุญ ช่วยคนจน สนับสนุนการกีฬา แต่อีกด้านหนึ่งก็ใช้ “ทัพถ่อย”เพื่อเผชิญหน้าและกดดันฝ่ายพันธมิตรฯ
3 แนวรบคือ แนวรบในการแก้รัฐธรรมนูญ แนวรบเปิดสงครามเผชิญหน้ากับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และแนวรบสุดท้ายคือการยึดพื้นที่ของฝ่ายบริหารเดิม กุมกลไกอำนาจรัฐ เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่
ส่วน 5 สมรภูมิ แบ่งเป็น 1.สมรภูมิสภาผู้แทนราษฎร ให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นทัพหน้า ฝ่ายบริหารเป็นกองหนุน 2.สมรภูมิสนามหลวง ให้ม็อบถ่อยเป็นทัพหน้า ฝ่ายบริหารเป็นกองหนุน มีบ้านจันทร์ส่องหล้าบัญชาการ
นอกจากนี้ยังมี 3.สมรภูมิใต้ดิน มุ่งเป้าไปที่ 2 ป. คือ เปรม และ ปีย์ และระบอบอมาตยาธิปไตย เผยแพร่ข่าวที่เป็นผลลบต่อสถาบัน เผยแพร่แนวความคิดอุดมการณ์ใหม่ซึ่งเอื้อต่อการกุมอำนาจระยะยาว 4.สมรภูมิสื่อช่วงชิงพื้นที่ข่าว เผยแพร่แนวคิดและสร้างภาพลักษณ์ และ 5.สมรภูมิอำนาจบริหาร โยกย้ายเอาผิดข้าราชการที่ไม่เห็นด้วย ทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์และเห็นเป็นปรากฏที่เกิดขึ้นอย่างเปิดเผย
“การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองยุคใหม่ ในสังคมประชาธิปไตย เป็นสงครามช่วงชิงมวลชน สร้างความรู้สึกให้เป็นพวกเดียวกัน สร้างความเชื่อมั่นศรัทธาโดยใช้กลไกบริหารจัดการความรู้สึกของมวลชนกลุ่มเป้าหมาย พรรคพลังประชาชนกำลังพยามใช้กลยุทธ์ทั้งทางเปิดและทางปิด เพื่อสถาปนาระบอบทักษิณกลับคืนมาโดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะมีภาพลักษณ์อย่างไร ใช้กลวิธีการดำเนินงานแยกส่วนแบ่งภารกิจโดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจุดศูนย์กลางอยู่เบื้องหลัง”
** จวกคนชู รธน.40 หน้าไม่อาย
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการแก้ เริ่มแรกรัฐบาลต้องการแก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการยุบพรรค ต่อด้วย มาตรา 309 แต่เมื่อถูกคัดค้าน รัฐบาลจึงใช้วิธีเอารัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาตัดแปะ กลไกจะกลับไปสู่จุดเดิมๆ แบบที่รัฐบาลสามารถควบคุมเกมได้ ขณะเดียวกันหากแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จ การเลือกตั้งใหม่ภายใต้อำนาจรัฐบาลควบคุมก็จะเกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ดังนั้นไม่ควรตกอยู่ในมายายภาพที่รัฐบาลสร้างขึ้น ทั้งการชูสิ่งดีของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ที่ภายหลังถูก พ.ต.ท.ทักษิณ เจาะทำลายจนไม่เหลือ
ถึงมีรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 อยู่ แต่จิตวิญญาณได้ตายไปก่อนวิกฤติ 19 กันยายน 2549 แล้ว การนำกลับรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาใช้เท่ากลับเราย้อนไปสู่เมื่อครั้งที่รัฐบาลโดยพรรคไทยรักไทยมีอำนาจ มีการปู้ยี้ปู้ยำรัฐธรรมนูญ หวังผลประโยชน์เพื่อตัวจนเกิดวิกฤติ การเกิดเคลื่อนไหวต่อต้านจากพันธมิตรฯ อย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีการกระทำที่หมิ่นแหม่ต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างหนัก จนทำให้ทหารใช้เป็นเหตุผลในการรัฐประหาร ก่อเกิดรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 ที่ได้รับเสียงเห็นชอบส่วนใหญ่จากประชาชน ดังนั้นการแก้ไขของรัฐบาลโดยการนำรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 มันชอบแล้วหรือไม่
ต่อมาผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงคนที่ชูรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาใช้แทนฉบับปี 2550 ว่า เป็นวิธีการที่น่าไม่อาย รัฐธรรมนูญ 2540 นั้นใครเป็นคนฆ่ามากับมือ ใครเหยียบย่ำเจตนารมณ์ดั้งเดิม ไม่อยู่ในสายตา แต่เขาก็ขุดเอารัฐธรรมนูญที่เขาเยียบย่ำขึ้นมาเป็นเครื่องมือ เหมือนฆ่าให้ตายแล้วขุดศพขึ้นมาฆ่าซ้ำและใช้เป็นเครื่องมือ
ฆ่าซ้ำไม่พอยังข่มขืนอีก บางคนไม่เอารัฐธรรมนูญ 2540 แต่แรก แต่มาวันนี้กลับบอกว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้
** ท้า “จักรภพ” แพร่เทปหมิ่นเหม่ ผ่าน “เอ็นบีที”
กรณีที่เครือข่ายแพทย์อาวุโสออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยุติเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญแลหันมาแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน และนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตอบโต้แพทย์อาวุโส โดยบอกว่าเป็นการพูดเพื่อหาเรื่อง และยืนยันว่ารัฐบาลพูดเรื่องการบริหารประเทศมากกว่าเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า การพูดของนายจักรภพเป็นการพูดเพื่อแยกพรรคพลังประชาชนออกจากรัฐบาล โดยพยายามบอกว่ารัฐบาลก็อยู่ส่วนรัฐบาล ส่วนที่ ส.ส.พูดก็เป็นเรื่องของ ส.ส.
นายคำนูณ กล่าวว่า หากได้ฟังคำพูดของนายจักรภพที่พูดเป็นภาษาอังกฤษที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทย (เอฟซีซีที) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 แล้ว ก็จะเห็นสิ่งที่นายจักรภพตอบโต้แพทย์อาวุโสนั้นเบามากแล้ว และเชื่อว่านายจักรภพเป็นห่วงกับเรื่องที่เขาพูดในวันนั้นมาก เมื่อมีคนไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายจักรภพจึงพยายามชี้แจงว่าเป็นการแปลผิด
อย่างไรก็ตาม นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ตนได้ดูฉบับที่แปลโดยละเอียดแล้ว ต้องบอกว่าอ่านแล้วหนาวมาก จนไม่กล้าเอามาเผยแพร่ เพราะอาจมีความผิดฐานเผยแพร่ด้วย ทั้งนี้ การที่นายจักรภพอ้างว่า มีการแปลผิดนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สิ่งที่ไปไกลกว่านั้น มันสะท้อนว่าในใจของนายจักรภพคิดอะไร ซึ่งล่าสุดนายจักรภพบอกว่าจะแปลเองและเผยแพร่ทั่วประเทศเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด
นายคำนูณ ได้ท้านายจักรภพว่า ถ้านายจักรภพคิดว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นไม่มีอะไร ก้ให้เอาไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเป็นภาษาอังกฤษเต็มๆ เลย โดยประกาศให้รู้ล่วงหน้าว่าจะออกเวลาไหนวันที่เท่าไหร่ เพื่อให้คนที่รู้ภาษาอังกฤษทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศได้ดูกันอย่างทั่วถึง และตัดสินใจเองว่ามีอะไรหรือไม่
“ถ้าคุณจักรภพมั่นใจว่าที่พูดไปไม่มีอะไรผิด ก็ให้เอาออกเอ็นบีทีเลย แล้ว ท่านอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และข้าราชการทุกคนก็กรุณารับผิดชอบด้วย
“ถ้าคุณจักรภพแปลเอง คนอื่นเขาจะก็จะหาว่าคุณจักรภพแปลเพี้ยนหรือเปล่า แต่ถ้าคนอื่นแปลคุณจักรภพก็อาจจะสงสัยว่าเขาแปลผิดไหม รู้ภาษาอังกฤษดีเท่าคุณไหม เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปล เอาออกทีวีเลย บอกวันเวลาให้ชัดเจน คนที่รู้ภาษีอังกฤษดี ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งที่อยู่ในไทย ในยุโรป ในอเมริกาได้ฟัง แล้วจะได้เห็นว่าในมุมมองของคนไทยที่รักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เขาได้ฟังแล้ว จะรู้สึกอย่างไร”นายคำนูณกล่าว
**โต้คำป้ายสี “ดาวสยามยุคใหม่”
ต่อกระแสการโจมตีสื่อในเครือผู้จัดการและเอเอสทีวีว่าเป็น “ดาวสยามยุคใหม่” โดยมองว่ากำลังเอาเรื่องสถาบันมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง และมีนักวิชาการบางคนออกแถลงการณ์ดูซุ่มเสียงคล้ายๆ ต่อว่าสื่อในเครือผู้จัดการนั้น นายคำนูณกล่าวว่า สังคมเราประหลาดขึ้นทุกวัน เราเป็นหมาเฝ้าบ้านมีหน้าที่ต้องเฝ้าบ้าน ต้องเห่า เวลามีโจรมา และเห่าให้เสียงดังที่สุด แต่บ้านนี้แปลก หมาเป็นฝ่ายผิด ไม่มีใครไปว่าโจรที่มันปีนรั้วเข้ามา กลับไปต่อว่าหมา ว่ายกเอาเรื่องโจรมาเป็นเครื่องมือ
นายคำนูณกล่าวต่อว่า กรณีหนังสือพิมพ์ดาวสยามนั้นเป็นเรื่องของการตกแต่งภาพ (จนนำไปสู่การนองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519) แต่สิ่งที่เราพูด เราตกแต่งอะไรหรือเปล่า มันมีคนที่ไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง เหตุเกิดมานาน แต่ในวันที่เราพูด เขาไปรายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหา มีคนใส่เสื้อข้อความว่า “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร คิดต่าง ไม่ใช่อาชญากรรม” และถือป้ายข้อความทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เราตกแต่งภาพหรือ มันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า และมันเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ซึ่งเรามองว่านี่คือยอดภูเขจาน้ำแข็งที่โผล่ออกมาแค่ปลาย แล้วที่อยู่ใต้น้ำ ยังมีเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อความหมิ่นสถาบันอยู่มากมาย
นอกจากนี้ 2 วันต่อมาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเคลื่อนไหวในแนวทางเดียวกับ นปก. เช่นเดียวกับคนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ยืนทำความเคารพ ได้ไปออกรายการที่ช่องเอ็นบีที แล้วใส่เสื้อ “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร ฯ” เรื่องนี้เราถามอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้วแต่ก็ยังไม่ตอบ ขณะที่นายจักรภพเอง ก็บอกแค่ว่าให้ระวังเรื่องนี้ และคิดว่าไม่ได้มีเจตนา และพูดต่อไปว่า เอ็นบีที เป็นทีวีสาธารณะ สังคมนี้ไม่ใช่สังคมหวงห้าม สังคมนี้เป็นสังคมเสรี ถ้าอยากเป็นทาสก็ไปเป็นที่อื่น
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า การได้รบทางความคิดกับนายจักรภพถือเป็นความรื่นรมย์ในชีวิตอย่างหนึ่ง เพราะนายจักรภพเป็นคนไม่เก็บงำความรู้สึก คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น มีหลักฐานออกมาเต็มไปหมด ที่นายจักรภพพูดว่า “ใครอยากเป็นข้าทาสให้ไปอยู่สังคมอื่น”นั้น ตนก็ไม่อยากหาเรื่อง แต่ว่าเรื่องแบบนี้ที่เราพูดเราแต่งภาพหรือเปล่า มันเกิดขึ้นจริงทั้งนั้น
นายคำนูณกล่าวอีกว่า ตนมี 2 สถานะ คือเป็นสื่อ ก็มาตั้งคำถามในรายการ และอีกด้านหนึ่งเป็น ส.ว.ก็ตั้งกระทู้ถามในสภา ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว และจะทำต่อไป นอกจากนี้ อยากจะเรียกร้องนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งทางรายการได้พูดถึงในทางที่ดีมาโดยตลอดในเรื่องความจงรักภักดี กรุณาตอบเรื่องนี้ด้วย เพราะถ้าไม่ทำอะไรแล้วปล่อยให้สังคมเกิดความขัดแย้ง เมื่อมีคนใส่เสื่อ “ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากรฯ” ได้ ถ้าเกิดมีคนอีกกลุ่มหนึ่งทำเสื้อ “ไม่ยืน ไม่เคารพ กูชก” ใส่มาประทะกัน หรือขอใส่ไปออกรายการทางเอ็นบีทีบ้าง จะทำอย่างไร
ผู้ดำเนินรายการย้ำว่า หากคนเป็นนายกฯ ไม่ได้ทำอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ถือว่าไมได้ทำตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ตอนเข้ารับตำแหน่ง คำถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นมีว่าอย่างไรทุกคนรู้ทุกคนทราบ ขอให้ทำให้สมหน้าที่ ทุกเรื่องก็จะไม่มีปัญหา