“ยามเฝ้าแผ่นดิน”อัด “จักรภพ”วุฒิภาวะต่ำ-ไม่เป็นลูกผู้ชาย ใช้วิธีชกใต้เข็มขัด ด่า “ผู้จัดการ-เอเอสทีวี”ในสภา อ้างข้างๆ คูๆ เพื่อชี้แจงการจัดระบบสื่อรัฐ แต่แอบซ่อนเป้าหมายแท้จริงที่ต้องการกดหัวสื่อ เริ่มจาก “ผู้จัดการก่อน”เพราะคิดว่ามีพวกน้อย ย้ำไม่เหมาะนั่งเก้าอี้ รมต.เหตุมีคดีติดตัว ไม่เคยชนะเลือกตั้ง แถมไร้มารยาท
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรก ได้กล่าวถึงกรณีนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างเหตุผลของการจัดระบบสื่อจึงต้องกล่าวพาดพิงถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล และสื่อในเครือผู้จัดการ ระหว่างการชี้แจงนโยบายรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎรว่า ไม่มีความจำเป็นที่นายจักรภพ จะอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลที่สามให้เสียหาย อีกทั้งยังเป็นการกระที่ผิดข้อบังคับการประชุม เป็นเรื่องที่ไร้มารยาท ส.ส.หลายคนพยามลุกขึ้นประท้วง แต่นายจักรภพก็ไม่สนใจข้อทักท้วงดังกล่าวเลย
นอกจากนี้ การที่นายจักรภพอ้างว่า จะจัดระบบสื่อรัฐ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาพูดให้สื่อเอกชนได้รับความเสียหาย
ที่น่าสนใจการทำหน้าที่ของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ละเลย ปล่อยให้นายจักรภพพูดพาดพิงถึงบุคคลอื่นในทางที่เสียหายจนจบ ประธานสภาฯ กำลังทำตัวน่าผิดหวัง ล้มเหลวในการทำหน้าที่ ไม่มีความเป็นกลางและเป็นธรรมแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในการอภิปรายวันเดียวกัน นายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายพาดพิงถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กรณีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายยงยุทธ กลับไม่ให้พูดจนจบ อ้างว่าจะกระทบบุคลที่ 3 และไม่มีความจำเป็น แต่การที่นายจักรภพด่าผู้จัดการและเอเอสทีวีอย่างเสียๆ หายๆ กลับให้พูดได้
**จวก “เพ็ญ”ไม่ใช่ลูกผู้ชาย
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การกระทำของนายจักรภพ ไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชาย ที่ต้องกล้าเผชิญกั หน้า เมื่อกล้าด่าเขาแล้วต้องรับ แต่นายจักรภพกลับซ่อนความต้องการที่แท้จริงไว้ แล้วอ้างเหตุผลเพื่อด่าคนอื่นในสภา โดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องพูด เพื่อที่จะพูดถึงการปรับปรุงสื่อของรัฐ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายจักรภพเริ่มต้นด้วยการด่าสื่อในเครือผู้จัดการ อาจจะเป็นเพราะเห็นว่า “ผู้จัดการ”เป็นสื่อที่มีพวกน้อย และมีสื่อรายอื่นหมั่นไส้อยู่ด้วย จึงฉวยโอกาสด่า แล้วอ้างว่าเป็นการชี้แจงเพื่อที่จะบอกว่าสื่อของรัฐควรจะทำหน้าที่อย่างไร ซึ่งเป็นวิธีการที่ชกใต้เข็มขัด และไม่เป็นลูกผู้ชาย
“ถ้าเขาบอกว่า จะยกตัวอย่าง ก็ตัวเองคุมนโยบายสื่อของรัฐ แล้วไปยกตัวอย่างเอกชน ไม่มีเหตุเลยครับ ต้องยกตัวอย่างสื่อของรัฐว่าทำหน้าที่ดีแล้วหรือยัง แล้วตัวเองต้องไปกำกับดูแลสื่อของรัฐ ไม่ใช่ไปด่าสื่อเอกชนแล้วบอกว่า สื่อของรัฐต้องทำว่าอะไร อย่างนี้ผมบอกว่า ชกใต้เข็มขัด แต่ไม่กล้าเผชิญหน้า แบบลูกชายที่ต้องพึงกระทำ" ผู้ดำเนินรายการกล่าว และว่า การกระทำของนายจักรภพ สะท้อนว่ามีวุฒิภาวะต่ำมาก คนเช่นนี้หรือที่จะมาคุมสื่อ มีการกล่าวหาว่าคนอื่นว่าเสนอข่าวด้านเดียว แต่ตัวเองกลับใช้วิธีการด่าคนด้านเดียวในสภา
**ใครกันแน่สร้างความร้าวฉาน
นอกจากนี้ นายจักรภพยังเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล มาอ่านเพื่อโจมตีนายสนธิ ทั้งที่เป็นศาลชั้นต้น ยังไม่มีข้อยุติและนายสนธิยังไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น แต่นายจักรภพก็เอามาอ่านเพื่อกล่าวหาว่านายสนธิและเครือผู้จัดการเป็นสื่อที่สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง ขณะเดียวกัน กลับละเลยที่จะพูดถึงคำตัดสินที่มีข้อยุติแล้วคือคำวินิจฉัยตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทย ที่ได้ระบุถึงการกระทำของพรรคการเมืองพรรคนี้ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนออกเคลื่อนไหว ตามสิทธิที่มีในรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ คำพิพากษาของตุลาการฯ ตอนหนึ่งได้ชี้ว่า การชุมนุมของประชาชนเพราะไม่พอใจกรณีที่หัวพรรคผู้ถูกร้องที่ 1 (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ขายกิจการให้ต่างชาติ โดยไม่เสียภาษี และยังมีการออกกฎหมายเพื่อให้ต่างชาติถือหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้น นอกจากนี้การยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.49 ก็เป็นผลมาจากเรื่องส่วนตัวของหัวหน้าพรรคผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคต้องการทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.49 เป็นเพียงรูปแบบที่จะทำให้ได้เข้าไปผูกขาดอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า นายจักรภพอ้างว่า สื่อในเครือผู้จัดการและเอเอสทีวีได้ก่อให้เกิดความร้าวฉานและวิกฤติในบ้านเมือง แต่ข้อเท็จจริงคือนายจักรภพ เคยเป็นแกนนำ นปก.ไปสร้างความวุ่นวายหน้าบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ต่างจากการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมกันอย่างสงบมาเป็นปี แต่ นปก.ชุมนุมไม่กี่วันก็สร้างความวุ่นวาย เสียหาย ใครกันแน่ที่สร้างความร้าวฉานในบ้านในเมือง
**ย้ำไม่เหมาะนั่งเก้าอี้ รมต.
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ไม่ทราบว่านายจักรภพความจำเสื่อมหรือไม่ เพราะตอนทำพีทีวีก็เรียกร้องเสรีภาพให้กับสื่อ และขู่ว่าจะเกิดสงครามประชาชน อ้างว่าตนไม่ชอบศักดินาที่ทำตัวอยู่เหนือกว่าประชาชนทั่วไป และยังบอกว่าสื่ออย่างพีทีวีไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง อาจจะเหมือนฟ็อกซ์นิวส์ของอเมริกา ที่ผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งก็คือไทยรักไทย แต่ไม่ได้ลงเลือกตั้ง แต่ตอนนี้ นายจักรภพมาเป็นรัฐมนตรี กลับบอกว่าจะเข้ามาจัดการกับสื่อ และบอกว่าสื่อต้องมีความเป็นกลาง
ผู้ดำเนินรายการย้ำว่า จากพฤติกรรมทั้งหมดทำให้เห็นว่า นายจักรภพมีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะกับการเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากมีคดีติดตัว ทั้งกรณีการสร้างความวุ่นวายหน้าบ้านพักพล.อ.เปรม คดีดักฟังทางโทรศัพท์ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ก็แพ้ทุกครั้ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ลงสมัครคนเดียวก็แพ้โนโหวต และล่าสุดคือ แสดงความไม่มีมารยาท ด่าบุคคลที่ 3 ในสภา
นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ไม่มีความรู้ พอเข้ามาเป็นรัฐมนตรีอยู่ๆ ก็บอกจะจัดการกับไทยพีบีเอสโดยไม่ดูข้อกฎหมาย อยู่ๆ จะอุ้มผู้ถือหุ้นไอทีวีโดยไม่ได้ดูว่าได้ผ่านขั้นตอนอนุญาโตตุลาการและศาลปกครองมาแล้ว จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ที่จะอุ้มไอทีวีนั้น นายจักรภพเป็นรัฐมนตรีหรือเป็นตัวแทนของชินคอร์ปกันแน่
**ยุค“แม้ว”แทรกแซงสื่อมโหฬาร “จักรภพ”หายหัวไปไหน
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า หากนายจักรภพเข้าใจในเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนจริง ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีกรณีการแทรกแซงสื่อเกิดขึ้นมากมาย ทั้งกรณีการสั่งให้สถานีวิทยุของกองทัพให้ระมัดระวงในการเสนอข่าว มีหนังสือเวียนให้รัฐมนตรีแต่ละคนใช้ประโยชน์จากรายการ “กรองสถานการณ์” ของช่อง 11 โปรโมตผลงานตัวเอง มีการสั่งถอดรายการทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อาทิ รายการเหรียญสองด้าน ตามหาแก่นธรรม สั่งเตือนหนังสือพิมพ์ให้ระมัดระวังในการเสนอข่าวซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการสั่ง ปปง.ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของสื่อมวลชน มีการสั่งทีวีรัฐสภา แล้วเอารายการของหน่วยงานราชการมาแทน สั่งถอดรายการวิทยุของเนชั่นออกจากวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ มีการกดดันสื่อด้วยการงดให้โฆษณษ การถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ การคุกคามหนังสื่อพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวีหลายครั้ง เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น นายจักรภพ ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่มาจากสื่อสารมวลชน ในตอนนั้นหายไปไหน
“ตอนนี้ทุกฝ่ายจับตามองกันที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนนี้ ที่จะเข้ามาดูแลสื่อ การจัดระบบของคุณจักรภพจะเป็นอย่างไร จริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะ ASTV หรือเครือผู้จัดการที่กำลังจับตา เชื่อว่า สื่ออีกหลายต่อหลายสื่อก็กำลังจับตาอยู่เช่นเดียวกัน ที่ยกตัวอย่าง ASTV ยกตัวอย่างเครือผู้จัดการมา เพื่อที่จะเป็นสาเหตุ หรือเหตุผลในการเข้ามาจัดระบบสื่อของรัฐนั้น จริงๆ แล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้มีหน้าที่เข้ามาจัดนะสื่อของรัฐ
”ตามรัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้ ตอนนี้คุณจักรภพ เริ่มต้นจาก ASTV และเครือผู้จัดการ แล้วตัดสื่ออื่นออกไปก่อน ผมว่านี่เป็นจุดเริ่มต้น เพราะสื่อที่นี่เป็นสื่อหัวดื้อที่สุด ถ้ากำราบอยู่ ผมเชื่อเลย ตามความรู้สึกผมนะ อาจจะผิดก็ได้ แต่ผมเชื่อของผมอย่างนี้ เพราะวิธีการคิดและวิธีการทำงานของเขา ผมว่าไม่ได้จบแค่สื่อ เพราะความคิดของคุณจักรภพที่เคยให้สัมภาษณ์ คืออยากเห็นสงครามประชาชน และอยากโค่นล้มระบบศักดินา นั่นคือขั้นบันไดต่อไปของคุณจักรภพ”ผู้ดำเนินรายการกล่าว
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงคำชี้แจงของนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหา กรณีที่น.ส.รุ่งกานต์ อนาศาสตร์ หุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพฟิล์ม โพรเซส ยื่นร้องเรียนต่อสื่อมวลชนประจำ กกต.ว่า มีคุณสมบัติไม่เหมาะที่จะเป็น ส.ว.เนื่องจากบริษัท ภัคธรรศ จำกัด ที่นายคำนูณ เป็นกรรมการ ไม่จ่ายหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งวันที่ 3 กรกฎาคม 2545 จำนวน 504,933 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5
ซึ่งนายคำนูณ ได้ชี้แจงว่า เป็นเรื่องที่จงใจก่อให้เกิดความเสียหาย ตนไม่เคยรู้จัก น.ส.รุ่งกานต์ เป็นการส่วนตัว ไม่เคยพบปะ พูดคุย หรือเจรจาความในลักษณะใดๆ กันมาก่อน ตนเคยเป็นกรรมการคนหนึ่งในบริษัท ภัคธรรศ จำกัดจริง แต่ได้ลาออกมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2545 โดยกลับมาทำงานอยู่กับเครือบริษัทผู้จัดการ และเป็นการกระทำโดยเปิดเผย ไม่ได้หนี ไม่ได้มีพฤติกรรมไม่สุจริต มีงานใหม่เป็นหลักแหล่ง เปิดเผย และมีคนรู้จักทั่วไป ทั้งจากการเขียนหนังสือ การจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ ประกาศตัวชัดเจนว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร ก็ไม่เห็นมีใครออกมาร้องเรียนหรือทำอะไรแบบนี้ พอวันดีคืนดีได้เป็น ส.ว.เป็นจังหวะนี้พอดี
**งง “เว็บแม้ว”ปลุก 6 ตุลาฯ
หลังจากนั้น ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในเว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ ของกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ยังหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศว่า ล่าสุดได้มีการขึ้นข้อความเป็นป็อบอัปว่า “เผด็จการจะกลับมาถ้าหลงเชื่อสื่อเสี้ยม” โดยภาพเหตุการณ์ประท้วง และทำเหมือนภาพโบราณล้อมกรอบสีแดง ซึ่งสื่อถึงความรุนแรง ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งน่าแปลกใจว่าอยู่ๆ ทำไมมาปลุกเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่คนในพรรคพลังประชาชนก็บอกว่าจบแล้ว โดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช บอกว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็บอกว่าคนตายกี่คนไม่สำคัญขอให้จำไว้เป็นบทเรียนก็พอ
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า กรณีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้น อยากให้ฟังมุมมองของเอ็นจีโอ 2 คน คือ นพ.เหวง โตจิราการ อดีต แกนนำ นปก. และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและแกนนำ นปก. (ทั้ง 2 คนเคยผ่านเหตุการณ์เดือนตุลาฯ) ซึ่งมีวิธีการพูดที่จะทำให้นายสมัครหลุดจากข้อกล่าวหา โดยจะนำรายละเอียดมานำเสนอในรายการวันพรุ่งนี้(22ก.พ.)