ผมมหัศจรรย์ใจ แต่ก็เข้าใจว่า ทำไมรัฐบาลนอกกฎหมายของนายสมัคร สุนทรเวช จึงตั้งขึ้นได้ และอยู่มาได้ถึง 4 เดือนเศษ จนกระทั่งถึงวันที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 24 มิถุนายน 2551
ถ้าหากรัฐบาลของนายสมัครจะต้องอับปางลง เพราะพรรคพลังประชาชนที่นายสมัครเป็นหัวหน้าเพียงแต่ในนาม พากันหักหลังนายสมัครไปเข้ากับพรรคฝ่ายค้าน โดยอ้างความรักชาติขึ้นมาบังหน้า ก็จะเกิดรัฐบาลใหม่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาบริหารบ้านเมืองอีก โดยประชาชนไม่รับรู้หรือเข้าใจอะไรเลย
เพราะว่ารัฐบาลนายสมัครจะต้องถูกเปิดโปงโดยศาลในไม่กี่วันนี้ว่าเอาเขาพระวิหารไปขายให้กับเขมร รัฐบาลก็จะล่ม เปิดทางให้มีรัฐบาลผสมสูตรใหม่ ซึ่งก็จะไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก การเมืองของไทยก็คงจะวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่าอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง น่าเศร้า!
โรคความจำเสื่อมและต่อมรับรู้ตายด้าน มักง่ายและมักได้กันถ้วนทั่ว ทำให้ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกต.พากันลืมที่มาที่ไปและพฤติกรรม (ผิดกฎหมาย)ของผู้นำและบุคคลหรือ ส.ส.เก่าพรรคไทยรักไทย ที่เป็นองค์ประกอบหลักของพรรคพลังประชาชนและพรรคกิ่งก้านสาขาต่างๆ เสียดื้อๆ
*1. “หลังจากที่มีการกระทำอันฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายแล้ว กรรมการบริหารทั้งหลายลาออก เพื่อให้ตนเองมิต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง การบังคับเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายย่อมตกเป็นอันไร้ผล” อันเป็นคำสั่งศาลภายหลังยุบพรรคให้ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และศาลยังได้อธิบายต่อในคดีที่ควบกันอีกว่า “ทั้งเป็นการสนับสนุนให้กรรมการบริหารพรรคกระทำการโดยวิธีการอันฉ้อฉล ย่อมจะส่งผลต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง และมีผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ”
*2.ในคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทยนั้น ศาลมิได้สั่งเพียงแต่เพื่อให้บรรเทาความเสียหายที่พรรคไทยรักไทยได้ก่อมาแล้วในอดีต แต่มีเจตนารมณ์คุ้มครองป้องกันอนาคตมิให้พรรคเยี่ยงไทยรักไทยหรือพรรคไทยรักไทยเดิมหวนกลับมาทำร้ายบ้านเมืองต่อไปอีก เห็นได้ชัดจากคำวินิจฉัยดังนี้ “พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติ เพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้า ดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
จนยากที่จะหาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบ หรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
*พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง คือ พรรคไทยรักไทยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพรรคไทยรักไทย ไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์ และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
*3. นอกจากนั้นมาตราที่พากันลืมไปหมดทั้งประเทศไทย คือ มาตรา 97ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ที่มีความว่า “ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา 42 วรรคสอง หรือ มาตรา 82 หรือต้องยุบตามมาตรา 94 ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ฯลฯ” คำว่า “ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง” แปลว่า “ทุกคน” ที่ “เคย” ทุก “เมื่อ” มิใช่เฉพาะ 111 คนที่เป็นอยู่ขณะที่ศาลวินิจฉัยและลาออกหลังจากนั้น รวมทั้งนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายสุวิทย์ คุณกิตติ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็นต้น
*4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 “มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้
*ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว
*ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้ ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว”
*กรณีที่พรรคพลังประชาชน อันประกอบด้วยกรรมการส่วนใหญ่ของพรรคไทยรักไทยปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังโดยเปิดเผยร่วมกับอดีต ส.ส.ของพรรคเกือบทั้งหมด และประกาศให้ประชาชนทั่วประเทศทราบอย่างกล้าหาญว่าจะใช้การเลือกตั้งครั้งนี้นำพ.ต.ท.ทักษิณกลับมา และจะรื้อถอนล้มล้างการกระทำทั้งหมดของคณะปฏิรูปหรือคมช. เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องหรือไม่ คำประกาศเหตุผลในการยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะนี้ยังมีผลอยู่ หรือเป็นโมฆะไปแล้ว
*การไร้ความละอายของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หรือการกระทำที่ศาลเรียกว่า กระทำการโดยวิธีการอันฉ้อฉล จำกัดอยู่กับการกระทำในอดีตเท่านั้น หรือ บุคคลผู้ที่ไม่มีสิทธิแม้แต่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อย่าว่าแต่ลงสมัครเลือกตั้งเลย ทำไมจึงมีสิทธิมาจัดตั้ง สนับสนุนและส่งผู้สมัครจากบรรดาสมาชิก ส.ส.หรือสมาชิกของพรรคเดิม เจตนารมณ์ของศาลที่ “ตัดสิทธิทางการเมือง” ของพรรคและบุคคลเหล่านี้มีผลบังคับหรือสิ้นสุดลงเมื่อใด หรือว่าบุคคลและการกระทำฉ้อฉลต่อไปของบุคคลนั้นๆย่อมได้รับการคุ้มครองจากพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เก้าในสิบของบทความนี้ ผมเขียนมาก่อนและตีพิมพ์แล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 เป็นหนังสือเล่มเล็กชื่อ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” กับ “เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย”
เลือกตั้งน้ำเน่านั้น ผมมิได้หมายความเฉพาะการซื้อเสียงขายเสียง แต่ผมหมายความถึงการกระทำผิดและหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยนักการเมือง และกลุ่มการเมืองต่างๆโดยจงใจ อาศัยความมืดบอดและบกพร่องของสังคมไทยรวมทั้งสื่อและนักวิชาการ กับอาศัยช่องว่างจุดโหว่ในเงื่อนไขเงื่อนเวลา และขบวนการพิจารณาของศาลซึ่งความล่าช้าอยู่แล้วด้วยปริมาณของคดีความที่อาจจะมากเกินกำลังจริงๆ ประกอบกับมีบุคคลที่พยายามอย่างไม่ลดละที่จะขู่ผู้พิพากษา วิ่งผู้พิพากษา ซื้อผู้พิพากษา หน่วงเหนี่ยวประวิงเวลามิให้คดีขึ้นสู่ศาล หรือเมื่อขึ้นแล้วก็ประวิงไว้ให้ล่าช้ายืดยาว กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้ เข้าตำรา Justice Delayed is Justice Denied คือความยุติธรรมที่ไม่ทันเวลาก็คือการปฏิเสธความยุติธรรมหรือความอยุติธรรมนั่นเอง ถ้าใครอ่านพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวต่อศาลต่างๆ ก็จะซาบซึ้งและเข้าใจดี
ขณะนี้สังคมไทยน่าจะสำเหนียกได้ว่า “วิกฤตที่สุดในโลก” มีอยู่ และเมืองไทยอาจจะต้องล่มจมลงต่อหน้าต่อตา การเผชิญหน้าของพันธมิตรฯ และรัฐบาลอันมิชอบของนายสมัคร สุนทรเวช อาจจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองได้ทุกขณะ
หากบรรดาผู้พิพากษาและแม่ทัพนายกองยังพากันทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะความมั่นคงและลาภยศของตำแหน่งยังตราตรึงหอมหวนอยู่ ชาติและแม้แต่พระเจ้าอยู่หัวพสกนิกรของพระองค์จะพึ่งใคร เพราะบัดนี้คนไทยพึ่งกฎหมายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ถ้าหากรัฐบาลของนายสมัครจะต้องอับปางลง เพราะพรรคพลังประชาชนที่นายสมัครเป็นหัวหน้าเพียงแต่ในนาม พากันหักหลังนายสมัครไปเข้ากับพรรคฝ่ายค้าน โดยอ้างความรักชาติขึ้นมาบังหน้า ก็จะเกิดรัฐบาลใหม่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาบริหารบ้านเมืองอีก โดยประชาชนไม่รับรู้หรือเข้าใจอะไรเลย
เพราะว่ารัฐบาลนายสมัครจะต้องถูกเปิดโปงโดยศาลในไม่กี่วันนี้ว่าเอาเขาพระวิหารไปขายให้กับเขมร รัฐบาลก็จะล่ม เปิดทางให้มีรัฐบาลผสมสูตรใหม่ ซึ่งก็จะไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก การเมืองของไทยก็คงจะวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่าอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง น่าเศร้า!
โรคความจำเสื่อมและต่อมรับรู้ตายด้าน มักง่ายและมักได้กันถ้วนทั่ว ทำให้ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกต.พากันลืมที่มาที่ไปและพฤติกรรม (ผิดกฎหมาย)ของผู้นำและบุคคลหรือ ส.ส.เก่าพรรคไทยรักไทย ที่เป็นองค์ประกอบหลักของพรรคพลังประชาชนและพรรคกิ่งก้านสาขาต่างๆ เสียดื้อๆ
*1. “หลังจากที่มีการกระทำอันฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายแล้ว กรรมการบริหารทั้งหลายลาออก เพื่อให้ตนเองมิต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง การบังคับเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายย่อมตกเป็นอันไร้ผล” อันเป็นคำสั่งศาลภายหลังยุบพรรคให้ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และศาลยังได้อธิบายต่อในคดีที่ควบกันอีกว่า “ทั้งเป็นการสนับสนุนให้กรรมการบริหารพรรคกระทำการโดยวิธีการอันฉ้อฉล ย่อมจะส่งผลต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง และมีผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ”
*2.ในคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทยนั้น ศาลมิได้สั่งเพียงแต่เพื่อให้บรรเทาความเสียหายที่พรรคไทยรักไทยได้ก่อมาแล้วในอดีต แต่มีเจตนารมณ์คุ้มครองป้องกันอนาคตมิให้พรรคเยี่ยงไทยรักไทยหรือพรรคไทยรักไทยเดิมหวนกลับมาทำร้ายบ้านเมืองต่อไปอีก เห็นได้ชัดจากคำวินิจฉัยดังนี้ “พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติ เพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้า ดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
จนยากที่จะหาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบ หรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
*พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง คือ พรรคไทยรักไทยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพรรคไทยรักไทย ไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์ และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป”
*3. นอกจากนั้นมาตราที่พากันลืมไปหมดทั้งประเทศไทย คือ มาตรา 97ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ที่มีความว่า “ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา 42 วรรคสอง หรือ มาตรา 82 หรือต้องยุบตามมาตรา 94 ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ฯลฯ” คำว่า “ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง” แปลว่า “ทุกคน” ที่ “เคย” ทุก “เมื่อ” มิใช่เฉพาะ 111 คนที่เป็นอยู่ขณะที่ศาลวินิจฉัยและลาออกหลังจากนั้น รวมทั้งนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายสุวิทย์ คุณกิตติ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็นต้น
*4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 “มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้
*ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว
*ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้ ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว”
*กรณีที่พรรคพลังประชาชน อันประกอบด้วยกรรมการส่วนใหญ่ของพรรคไทยรักไทยปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังโดยเปิดเผยร่วมกับอดีต ส.ส.ของพรรคเกือบทั้งหมด และประกาศให้ประชาชนทั่วประเทศทราบอย่างกล้าหาญว่าจะใช้การเลือกตั้งครั้งนี้นำพ.ต.ท.ทักษิณกลับมา และจะรื้อถอนล้มล้างการกระทำทั้งหมดของคณะปฏิรูปหรือคมช. เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องหรือไม่ คำประกาศเหตุผลในการยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะนี้ยังมีผลอยู่ หรือเป็นโมฆะไปแล้ว
*การไร้ความละอายของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หรือการกระทำที่ศาลเรียกว่า กระทำการโดยวิธีการอันฉ้อฉล จำกัดอยู่กับการกระทำในอดีตเท่านั้น หรือ บุคคลผู้ที่ไม่มีสิทธิแม้แต่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อย่าว่าแต่ลงสมัครเลือกตั้งเลย ทำไมจึงมีสิทธิมาจัดตั้ง สนับสนุนและส่งผู้สมัครจากบรรดาสมาชิก ส.ส.หรือสมาชิกของพรรคเดิม เจตนารมณ์ของศาลที่ “ตัดสิทธิทางการเมือง” ของพรรคและบุคคลเหล่านี้มีผลบังคับหรือสิ้นสุดลงเมื่อใด หรือว่าบุคคลและการกระทำฉ้อฉลต่อไปของบุคคลนั้นๆย่อมได้รับการคุ้มครองจากพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เก้าในสิบของบทความนี้ ผมเขียนมาก่อนและตีพิมพ์แล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 เป็นหนังสือเล่มเล็กชื่อ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” กับ “เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย”
เลือกตั้งน้ำเน่านั้น ผมมิได้หมายความเฉพาะการซื้อเสียงขายเสียง แต่ผมหมายความถึงการกระทำผิดและหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยนักการเมือง และกลุ่มการเมืองต่างๆโดยจงใจ อาศัยความมืดบอดและบกพร่องของสังคมไทยรวมทั้งสื่อและนักวิชาการ กับอาศัยช่องว่างจุดโหว่ในเงื่อนไขเงื่อนเวลา และขบวนการพิจารณาของศาลซึ่งความล่าช้าอยู่แล้วด้วยปริมาณของคดีความที่อาจจะมากเกินกำลังจริงๆ ประกอบกับมีบุคคลที่พยายามอย่างไม่ลดละที่จะขู่ผู้พิพากษา วิ่งผู้พิพากษา ซื้อผู้พิพากษา หน่วงเหนี่ยวประวิงเวลามิให้คดีขึ้นสู่ศาล หรือเมื่อขึ้นแล้วก็ประวิงไว้ให้ล่าช้ายืดยาว กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้ เข้าตำรา Justice Delayed is Justice Denied คือความยุติธรรมที่ไม่ทันเวลาก็คือการปฏิเสธความยุติธรรมหรือความอยุติธรรมนั่นเอง ถ้าใครอ่านพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวต่อศาลต่างๆ ก็จะซาบซึ้งและเข้าใจดี
ขณะนี้สังคมไทยน่าจะสำเหนียกได้ว่า “วิกฤตที่สุดในโลก” มีอยู่ และเมืองไทยอาจจะต้องล่มจมลงต่อหน้าต่อตา การเผชิญหน้าของพันธมิตรฯ และรัฐบาลอันมิชอบของนายสมัคร สุนทรเวช อาจจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองได้ทุกขณะ
หากบรรดาผู้พิพากษาและแม่ทัพนายกองยังพากันทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะความมั่นคงและลาภยศของตำแหน่งยังตราตรึงหอมหวนอยู่ ชาติและแม้แต่พระเจ้าอยู่หัวพสกนิกรของพระองค์จะพึ่งใคร เพราะบัดนี้คนไทยพึ่งกฎหมายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว