หัวข้อเรื่องวันนี้แปลกสักหน่อยหนึ่ง และเป็นเรื่องสองเรื่องซึ่งผิวเผินแล้วไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันแล้ว เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันนี้กลับมีความเกี่ยวข้องกันอย่างสนิทแน่นแฟ้น
มายาภาพก็คือภาพลวง ซึ่งเกิดจากคำลวงคำลือ หรือข่าวลือข่าวลวง หรือบางทีก็เกิดจากการกระทำที่ลวงตา โดยปกปิดความจริงอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างเอาไว้
ส่วนสารภาพนั้นก็คือการเปิดเผยความจริง ไม่ว่าด้วยคำพูด ข้อเขียน หรือการกระทำ ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และได้มาด้วยความยากลำบากนัก ไม่ต้องดูอื่นไกล อาชญากรที่ฉ้อฉลปล้นชาติ แม้ถูกศาลตัดสินแล้วก็ยังคงเถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่ได้กระทำความผิด
ยิ่งกว่านั้น คำสารภาพบางทีก็ไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะบางครั้งถูกบังคับให้รับสารภาพในสิ่งที่ตัวไม่ได้ทำ หรือบางครั้งก็แกล้งรับสารภาพเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษหรือเพื่อป้ายผิดไปให้คนอื่น
ใครที่เคยดูหนังหรืออ่านหนังสือเรื่องเปาบุ้นจิ้นก็คงจะจำได้ว่ามีคดีอยู่หลายคดีที่มีความลึกลับซับซ้อน เพราะจำเลยรับสารภาพแต่เปาบุ้นจิ้นไม่เชื่อเนื่องจากเห็นเป็นพิรุธ จึงต้องไต่สวนหาความจริงด้วยความยากลำบาก
เมื่อความจริงปรากฏก็กลายเป็นคนละเรื่องคนละราว ดังนั้นจึงบางทีคำสารภาพก็ยังคงเป็นมายาภาพอยู่เหมือนเดิม
เมื่อทำความเข้าใจเรื่องมายาภาพและสารภาพกันแล้ว ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์การเมืองในบ้านเมืองขณะนี้สับสนอลหม่านและดูซับซ้อนมากขึ้น จนเซียนการเมืองจำนวนมากก็ยากที่จะคาดเดาว่าเรื่องราวเป็นประการใดหรือเกิดอะไรขึ้น
นั่นก็เพราะมายาภาพของสิ่งที่เรียกว่ามายาภาพและสารภาพนั่นเอง เหตุที่เป็นทั้งนี้ก็เป็นไปดังสัจธรรมของการเมือง ดังที่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่าการเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด และสงครามก็คือการเมืองที่หลั่งเลือด
แล้วยังบอกอีกว่าเมื่อเป็นสงคราม ปัญหายุทธศาสตร์และยุทธวิธีก็ย่อมเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง และสิ่งที่เรียกว่ายุทธศาสตร์นั้น ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยบัญญัติเป็นพจนานุกรมการเมืองเอาไว้ว่าให้เข้าใจง่ายๆ ว่าหมายถึงวิชาว่าด้วยการโกหก ซึ่งไม่ไกลเกินไปเท่าใดนัก เพราะในคัมภีร์พิชัยสงครามของซุนหวู่ก็ได้แสดงเรื่องเหล่านี้เอาไว้อย่างชัดเจน
ยิ่งการเมืองไทยอยู่ในยุคที่เซียนการเมืองมือเก๋าระดับนายสมัคร สุนทรเวช ครองอำนาจด้วยแล้ว ความแพรวพราวด้วยเล่ห์กลอุบายเชิงชั้นทางการเมืองก็ยิ่งเก๋าเข้าไปใหญ่
แต่ถ้ามองด้วยสายตาของคนที่เคยเรียนอาชญาวิทยาอย่างคุณทักษิณ ชินวัตรแล้ว ก็ย่อมมองบางเรื่องบางราวได้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นเสียงแว่วจากนายใหญ่ที่ผ่านแหล่งข่าวในพรรคพลังประชาชนที่ว่า การที่ตำรวจเอาหมายจับทั้งนายใหญ่นายหญิงไปประกาศประจานทั้งบ้านทั้งเมืองแม้ในห้องสุขานั้นเป็นการทำกันยิ่งกว่าเผด็จการเสียอีก
และระดับคุณทักษิณ ชินวัตร มีหรือที่จะไม่รู้ว่าไอ้โม่งคนไหนในรัฐบาลหรือถ้าให้แคบอีกหน่อยก็คือไอ้โม่งคนไหนในแก๊งสี่คนแอบสั่งการตำรวจให้เอาหมายจับไปประจานทั้งบ้านทั้งเมือง นี่จึงเป็นที่มาของการสำแดงพลังทางการเมืองให้ ส.ส. เข้าชื่อกันเรียกร้องให้หัวหน้าพรรคชี้แจงความจริง
แต่ในที่สุดก็โดนพลังไท้เก๊กของกลุ่มแก๊งสี่คนเข้าจนได้! เพราะกลายเป็นว่า ส.ส.เกือบทั้งหมดพากันเข้าชื่อเหมือนกัน โดยกลุ่มแก๊งสี่คนก็สั่งให้คนของตนไปเข้าชื่อด้วย จึงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าพลังฝ่ายไหนเป็นอย่างไร
แล้วนายสมัคร สุนทรเวช ก็ไปชี้แจง แต่ก็ชี้แจงแบบนายสมัคร สุนทรเวช นั่นแหละคือชี้แจงแบบไม่ชี้แจง มิหนำซ้ำยังพูดเสียงแข็งแบบคนตาขวางอีกว่าถ้าไม่เอาแล้วก็พร้อมจะไป กล่าวแล้วก็สะบัดก้นลุกหนีไปเลย
ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปทั้งพรรค เพราะไม่รู้ความหมายที่ว่า “พร้อมจะไป” นั้น จะเป็นการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีไปคนเดียว หรือว่าจะยุบสภาให้ไปกันหมดทั้งพรรคและทั้งสภา
แหล่งข่าวจากแก๊งสี่คนกระซิบกระซาบกันว่า “ลูกพี่กูยอดจริงๆ” เพราะสิ่งที่งำไว้ยังไม่ได้พูด ปล่อยให้ปวดหัวคะเนกันเอาเองก็คือ “ถ้าไปด้วยกันแล้ว ในฐานะหัวหน้าพรรค กูก็จะไม่ส่งพวกมึงลงสมัครรับเลือกตั้ง” ปล่อยให้ตายแห้งแหงแก๋กันไปคนละสมัยสองสมัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประหารชีวิตทางการเมืองกันไปเลย
เห็นหรือยังว่าเก๋าแค่ไหน เพราะด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นทั่วทั้งพรรค ยกเว้นกลุ่มแก๊งสี่คนที่พากันอมยิ้มจนแทบปกปิดแก้มที่เกือบปริไม่ได้
นี่เป็นหมัดน็อกทางการเมืองหมัดหนึ่งที่สยบพวกสายตรงหรือพวกที่ยังไม่อยากกลับไปเลือกตั้งใหม่อย่างได้ผลยิ่ง จนหลายคนต้องวิ่งเคลียร์กันจ้าละหวั่น และด้วยหมัดนี้ก็ได้ตีโต้การรุกจากลอนดอนจนฝ่อหรือหน้าหงายไปตามๆ กัน
ปล่อยหมัดซัดพวกเดียวกันในพรรคพลังประชาชนแล้ว ยังมีการปล่อยหมัดซัดกลับมายังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกหมัดหนึ่ง
นั่นคือการเปิดข่าวการจัดงานจากวันแม่สู่วันพ่อ 116 วัน ที่จะมีการเอาธงสามัคคีไปปักไว้ตามจังหวัดต่างๆ แล้วเชิญผู้คนมาร่วมงาน โดยอ้างว่าถ้าใครไม่มาร่วมก็จะได้เห็นกันว่าคนพวกนั้นมีความคิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ยอดเยี่ยมไหมล่ะพระคุณท่านทั้งหลาย! ก็เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือว่าการจัดงานที่เริ่มต้นจากลานพระบรมรูปทรงม้าที่เคยประกาศว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารจะเสด็จมาเป็นองค์ประธานเปิดงานนั้น เป็นความจริงหรือไม่ และก็นายสมัคร สุนทรเวช ไม่ใช่หรือที่ไปเป็นประธานเปิดงานเอง
แต่เป็นงานที่กระจอกมากงานหนึ่ง เพราะไม่มีการเตรียมการอย่างดี ไม่มีผู้คนไปร่วมงาน ถึงกับต้องเกณฑ์ให้ตำรวจแต่งกายนอกเครื่องแบบไปต้อนรับ แล้วถูลู่ถูกังได้เพียง 6 วันก็เลิกไปแล้ว จนพลตรีจำลอง ศรีเมือง ต้องมาแซวว่าจัดงานได้ 6 วันก็เลิกเหลือแต่ส้วมที่ยังรื้อไปไม่หมดเท่านั้น
ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นกุนซือแนะแนวคิดเอาธงไปปักสร้างความสามัคคี มันจะได้ผลจริงหรือ? เพราะถ้าสร้างความสามัคคีด้วยการเอาธงไปปัก คนระดับคุณหมอประเวศ วะสี ก็ย่อมแลเห็นได้นานแล้ว และคงไม่ต้องแสดงอาการท้อถอยว่าปัญหาปัจจุบันแก้ไขได้ยาก ดังที่รู้เห็นกันอยู่
แต่ที่แน่ชัดนั้น โครงการนี้ย่อมแฝงไว้ด้วยมนต์มายาทางการเมืองที่หมายเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาบังคับหรือทำลายอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตนนั่นเอง เพราะใครจะจงรักภักดีหรือไม่ ไม่ได้วัดด้วยการไปร่วมงานที่รัฐบาลจัดขึ้น แต่ต้องวัดที่การประพฤติปฏิบัติต่างหาก
ความสามัคคีในหมู่โจรก็มีอยู่ ความสามัคคีในหมู่สงฆ์ก็มีอยู่ ความสามัคคีในหมู่พาลก็มีอยู่ ความสามัคคีในหมู่บัณฑิตก็มีอยู่ เป็นความสามัคคีคนละอย่างกัน ไม่เหมือนกัน
หากจะสร้างความสามัคคีในชาติเพื่อถวายความจงรักภักดีจริงแท้แล้ว มิต้องเหนื่อยยากและวุ่นวายด้วยการเอาธงไปปักแล้วจัดงานชุมนุมทุกจังหวัดเลย ขอเพียงกระทำห้าเรื่องต่อไปนี้ให้เป็นจริงเท่านั้นก็จะเกิดความสามัคคีในชาติ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางอย่างมิพักต้องสงสัยเลย
อย่างแรก ขอให้ปฏิบัติตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสสอนมาตลอดพระชนม์ชีพ คือส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมือง กำจัดขัดขวางไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจในบ้านเมือง โดยเริ่มที่คณะรัฐมนตรีนั่นแหละ
อย่างที่สอง ขอให้ทำตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ ปฏิบัติราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร ยุติและกวาดล้างการฉ้อฉลปล้นชาติทุกรูปแบบโดยไม่เห็นแก่หน้าใคร บำรุง ฟื้นฟู คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรมขึ้นในบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม
อย่างที่สาม ปฏิบัติตามกระแสรับสั่งที่ทรงวิงวอนขอให้ศาลช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตที่สุดของโลกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้สำเร็จ อย่าทำลายกระบวนการยุติธรรม อย่าด่าว่าประณามศาลและสุภาตุลาการทั้งปวง แก้ไขการซื้อความยุติธรรมที่ยื้อยุดหน่วงเหนี่ยวถ่วงเวลา ไม่ว่าในชั้นไหนๆ
อย่างที่สี่ ขอให้ยุติโครงการเมกะโปรเจกต์ทั้งหลายที่ล้างบ้านผลาญเมืองและสร้างหนี้สินให้กับชาติบ้านเมือง หยุดการปลุกระดมให้ผู้คนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยในลัทธิประชานิยม เร่งส่งเสริมสนับสนุนให้ทั่วทั้งประเทศประพฤติปฏิบัติตามหลักปรัชญาพอเพียง และเร่งเอาอธิปไตยในพื้นที่เขาพระวิหารกลับคืนมา
อย่างที่ห้า ขอให้ยุติการอุ้มชูปกป้องคุ้มครองและสนับสนุนแก๊งอันธพาลป่วนบ้านป่วนเมืองและกลุ่มขบวนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในทันที
ทั้งห้าประการนี้นี่แหละจะทำให้ความสามัคคีที่มีหลักการหรือเรียกว่าสามัคคีธรรมหรือเรียกว่าความสามัคคีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางปรากฏเป็นจริงขึ้น และความสามัคคีชนิดนี้ใครก็ขัดก็ขวางไม่ได้ หากใครขัดใครขวางก็มีแต่เสียผู้เสียคนและย่อมเผยตัวตนว่าไม่จงรักภักดีที่สามารถกล่าวหาด่าว่าได้เต็มปากเต็มคำ
การสร้างความสามัคคีโดยอ้างว่าเพื่อถวายความจงรักภักดีแบบเอาธงไปปักตามจังหวัดต่างๆ นั้นเป็นความสามัคคีที่ไม่มีหลักการ อาจเป็นความสามัคคีของหมู่โจรหรือคนพาล หรือผู้ที่หมายเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้ ไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ของจริง
ถ้าจงรักภักดีจริงแล้วก็ต้องไม่ใช้วิธีที่เปี่ยมมายาและไร้หลักการ ทั้งไม่ควรรบกวนเบื้องพระยุคลบาทหรือดึงพระองค์ลงมาเกลือกกลั้วกับมายาภาพและความไร้หลักการแบบนี้เป็นอันขาด
ที่คุณสมัคร สุนทรเวช กล่าวในที่ประชุมพรรคว่าที่มาเป็นนายกฯ ครั้งนี้เพราะจะมาทำหน้าที่ 3 อย่าง คือ “1. ผมอาสาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาดำเนินการต่างๆ เพื่อบ้านเมือง 2. เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงให้เกียรติผมเข้ามาดำเนินการตรงนี้ 3. จะช่วยดูแล พ.ต.ท.ทักษิณ” นั้น อันไหนเป็นมายาภาพ อันไหนเป็นการสารภาพจึงดูได้ไม่ยาก
เพราะตอนมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค คุณสมัคร สุนทรเวช ก็ได้ประกาศต่อสาธารณชนแล้วว่าอาสาใคร และเป็นนอมินีของใคร
แต่ที่พูดว่าอาสามาช่วยดูแล พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นคงเป็นการรับสารภาพที่ตรงกับที่เคยพูดไว้นั่นเอง แต่คำว่าช่วยดูแลนี้กว้างและดิ้นได้ การดูแลแบบที่เป็นอยู่ในวันนี้จึงเป็นดังที่เห็นๆ กันนั่นแหละโยม!
มายาภาพก็คือภาพลวง ซึ่งเกิดจากคำลวงคำลือ หรือข่าวลือข่าวลวง หรือบางทีก็เกิดจากการกระทำที่ลวงตา โดยปกปิดความจริงอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างเอาไว้
ส่วนสารภาพนั้นก็คือการเปิดเผยความจริง ไม่ว่าด้วยคำพูด ข้อเขียน หรือการกระทำ ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และได้มาด้วยความยากลำบากนัก ไม่ต้องดูอื่นไกล อาชญากรที่ฉ้อฉลปล้นชาติ แม้ถูกศาลตัดสินแล้วก็ยังคงเถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่ได้กระทำความผิด
ยิ่งกว่านั้น คำสารภาพบางทีก็ไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะบางครั้งถูกบังคับให้รับสารภาพในสิ่งที่ตัวไม่ได้ทำ หรือบางครั้งก็แกล้งรับสารภาพเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษหรือเพื่อป้ายผิดไปให้คนอื่น
ใครที่เคยดูหนังหรืออ่านหนังสือเรื่องเปาบุ้นจิ้นก็คงจะจำได้ว่ามีคดีอยู่หลายคดีที่มีความลึกลับซับซ้อน เพราะจำเลยรับสารภาพแต่เปาบุ้นจิ้นไม่เชื่อเนื่องจากเห็นเป็นพิรุธ จึงต้องไต่สวนหาความจริงด้วยความยากลำบาก
เมื่อความจริงปรากฏก็กลายเป็นคนละเรื่องคนละราว ดังนั้นจึงบางทีคำสารภาพก็ยังคงเป็นมายาภาพอยู่เหมือนเดิม
เมื่อทำความเข้าใจเรื่องมายาภาพและสารภาพกันแล้ว ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์การเมืองในบ้านเมืองขณะนี้สับสนอลหม่านและดูซับซ้อนมากขึ้น จนเซียนการเมืองจำนวนมากก็ยากที่จะคาดเดาว่าเรื่องราวเป็นประการใดหรือเกิดอะไรขึ้น
นั่นก็เพราะมายาภาพของสิ่งที่เรียกว่ามายาภาพและสารภาพนั่นเอง เหตุที่เป็นทั้งนี้ก็เป็นไปดังสัจธรรมของการเมือง ดังที่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่าการเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด และสงครามก็คือการเมืองที่หลั่งเลือด
แล้วยังบอกอีกว่าเมื่อเป็นสงคราม ปัญหายุทธศาสตร์และยุทธวิธีก็ย่อมเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง และสิ่งที่เรียกว่ายุทธศาสตร์นั้น ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยบัญญัติเป็นพจนานุกรมการเมืองเอาไว้ว่าให้เข้าใจง่ายๆ ว่าหมายถึงวิชาว่าด้วยการโกหก ซึ่งไม่ไกลเกินไปเท่าใดนัก เพราะในคัมภีร์พิชัยสงครามของซุนหวู่ก็ได้แสดงเรื่องเหล่านี้เอาไว้อย่างชัดเจน
ยิ่งการเมืองไทยอยู่ในยุคที่เซียนการเมืองมือเก๋าระดับนายสมัคร สุนทรเวช ครองอำนาจด้วยแล้ว ความแพรวพราวด้วยเล่ห์กลอุบายเชิงชั้นทางการเมืองก็ยิ่งเก๋าเข้าไปใหญ่
แต่ถ้ามองด้วยสายตาของคนที่เคยเรียนอาชญาวิทยาอย่างคุณทักษิณ ชินวัตรแล้ว ก็ย่อมมองบางเรื่องบางราวได้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นเสียงแว่วจากนายใหญ่ที่ผ่านแหล่งข่าวในพรรคพลังประชาชนที่ว่า การที่ตำรวจเอาหมายจับทั้งนายใหญ่นายหญิงไปประกาศประจานทั้งบ้านทั้งเมืองแม้ในห้องสุขานั้นเป็นการทำกันยิ่งกว่าเผด็จการเสียอีก
และระดับคุณทักษิณ ชินวัตร มีหรือที่จะไม่รู้ว่าไอ้โม่งคนไหนในรัฐบาลหรือถ้าให้แคบอีกหน่อยก็คือไอ้โม่งคนไหนในแก๊งสี่คนแอบสั่งการตำรวจให้เอาหมายจับไปประจานทั้งบ้านทั้งเมือง นี่จึงเป็นที่มาของการสำแดงพลังทางการเมืองให้ ส.ส. เข้าชื่อกันเรียกร้องให้หัวหน้าพรรคชี้แจงความจริง
แต่ในที่สุดก็โดนพลังไท้เก๊กของกลุ่มแก๊งสี่คนเข้าจนได้! เพราะกลายเป็นว่า ส.ส.เกือบทั้งหมดพากันเข้าชื่อเหมือนกัน โดยกลุ่มแก๊งสี่คนก็สั่งให้คนของตนไปเข้าชื่อด้วย จึงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าพลังฝ่ายไหนเป็นอย่างไร
แล้วนายสมัคร สุนทรเวช ก็ไปชี้แจง แต่ก็ชี้แจงแบบนายสมัคร สุนทรเวช นั่นแหละคือชี้แจงแบบไม่ชี้แจง มิหนำซ้ำยังพูดเสียงแข็งแบบคนตาขวางอีกว่าถ้าไม่เอาแล้วก็พร้อมจะไป กล่าวแล้วก็สะบัดก้นลุกหนีไปเลย
ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปทั้งพรรค เพราะไม่รู้ความหมายที่ว่า “พร้อมจะไป” นั้น จะเป็นการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีไปคนเดียว หรือว่าจะยุบสภาให้ไปกันหมดทั้งพรรคและทั้งสภา
แหล่งข่าวจากแก๊งสี่คนกระซิบกระซาบกันว่า “ลูกพี่กูยอดจริงๆ” เพราะสิ่งที่งำไว้ยังไม่ได้พูด ปล่อยให้ปวดหัวคะเนกันเอาเองก็คือ “ถ้าไปด้วยกันแล้ว ในฐานะหัวหน้าพรรค กูก็จะไม่ส่งพวกมึงลงสมัครรับเลือกตั้ง” ปล่อยให้ตายแห้งแหงแก๋กันไปคนละสมัยสองสมัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประหารชีวิตทางการเมืองกันไปเลย
เห็นหรือยังว่าเก๋าแค่ไหน เพราะด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นทั่วทั้งพรรค ยกเว้นกลุ่มแก๊งสี่คนที่พากันอมยิ้มจนแทบปกปิดแก้มที่เกือบปริไม่ได้
นี่เป็นหมัดน็อกทางการเมืองหมัดหนึ่งที่สยบพวกสายตรงหรือพวกที่ยังไม่อยากกลับไปเลือกตั้งใหม่อย่างได้ผลยิ่ง จนหลายคนต้องวิ่งเคลียร์กันจ้าละหวั่น และด้วยหมัดนี้ก็ได้ตีโต้การรุกจากลอนดอนจนฝ่อหรือหน้าหงายไปตามๆ กัน
ปล่อยหมัดซัดพวกเดียวกันในพรรคพลังประชาชนแล้ว ยังมีการปล่อยหมัดซัดกลับมายังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกหมัดหนึ่ง
นั่นคือการเปิดข่าวการจัดงานจากวันแม่สู่วันพ่อ 116 วัน ที่จะมีการเอาธงสามัคคีไปปักไว้ตามจังหวัดต่างๆ แล้วเชิญผู้คนมาร่วมงาน โดยอ้างว่าถ้าใครไม่มาร่วมก็จะได้เห็นกันว่าคนพวกนั้นมีความคิดอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ยอดเยี่ยมไหมล่ะพระคุณท่านทั้งหลาย! ก็เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือว่าการจัดงานที่เริ่มต้นจากลานพระบรมรูปทรงม้าที่เคยประกาศว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารจะเสด็จมาเป็นองค์ประธานเปิดงานนั้น เป็นความจริงหรือไม่ และก็นายสมัคร สุนทรเวช ไม่ใช่หรือที่ไปเป็นประธานเปิดงานเอง
แต่เป็นงานที่กระจอกมากงานหนึ่ง เพราะไม่มีการเตรียมการอย่างดี ไม่มีผู้คนไปร่วมงาน ถึงกับต้องเกณฑ์ให้ตำรวจแต่งกายนอกเครื่องแบบไปต้อนรับ แล้วถูลู่ถูกังได้เพียง 6 วันก็เลิกไปแล้ว จนพลตรีจำลอง ศรีเมือง ต้องมาแซวว่าจัดงานได้ 6 วันก็เลิกเหลือแต่ส้วมที่ยังรื้อไปไม่หมดเท่านั้น
ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นกุนซือแนะแนวคิดเอาธงไปปักสร้างความสามัคคี มันจะได้ผลจริงหรือ? เพราะถ้าสร้างความสามัคคีด้วยการเอาธงไปปัก คนระดับคุณหมอประเวศ วะสี ก็ย่อมแลเห็นได้นานแล้ว และคงไม่ต้องแสดงอาการท้อถอยว่าปัญหาปัจจุบันแก้ไขได้ยาก ดังที่รู้เห็นกันอยู่
แต่ที่แน่ชัดนั้น โครงการนี้ย่อมแฝงไว้ด้วยมนต์มายาทางการเมืองที่หมายเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาบังคับหรือทำลายอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตนนั่นเอง เพราะใครจะจงรักภักดีหรือไม่ ไม่ได้วัดด้วยการไปร่วมงานที่รัฐบาลจัดขึ้น แต่ต้องวัดที่การประพฤติปฏิบัติต่างหาก
ความสามัคคีในหมู่โจรก็มีอยู่ ความสามัคคีในหมู่สงฆ์ก็มีอยู่ ความสามัคคีในหมู่พาลก็มีอยู่ ความสามัคคีในหมู่บัณฑิตก็มีอยู่ เป็นความสามัคคีคนละอย่างกัน ไม่เหมือนกัน
หากจะสร้างความสามัคคีในชาติเพื่อถวายความจงรักภักดีจริงแท้แล้ว มิต้องเหนื่อยยากและวุ่นวายด้วยการเอาธงไปปักแล้วจัดงานชุมนุมทุกจังหวัดเลย ขอเพียงกระทำห้าเรื่องต่อไปนี้ให้เป็นจริงเท่านั้นก็จะเกิดความสามัคคีในชาติ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางอย่างมิพักต้องสงสัยเลย
อย่างแรก ขอให้ปฏิบัติตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสสอนมาตลอดพระชนม์ชีพ คือส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมือง กำจัดขัดขวางไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจในบ้านเมือง โดยเริ่มที่คณะรัฐมนตรีนั่นแหละ
อย่างที่สอง ขอให้ทำตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ ปฏิบัติราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร ยุติและกวาดล้างการฉ้อฉลปล้นชาติทุกรูปแบบโดยไม่เห็นแก่หน้าใคร บำรุง ฟื้นฟู คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรมขึ้นในบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม
อย่างที่สาม ปฏิบัติตามกระแสรับสั่งที่ทรงวิงวอนขอให้ศาลช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตที่สุดของโลกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยให้สำเร็จ อย่าทำลายกระบวนการยุติธรรม อย่าด่าว่าประณามศาลและสุภาตุลาการทั้งปวง แก้ไขการซื้อความยุติธรรมที่ยื้อยุดหน่วงเหนี่ยวถ่วงเวลา ไม่ว่าในชั้นไหนๆ
อย่างที่สี่ ขอให้ยุติโครงการเมกะโปรเจกต์ทั้งหลายที่ล้างบ้านผลาญเมืองและสร้างหนี้สินให้กับชาติบ้านเมือง หยุดการปลุกระดมให้ผู้คนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยในลัทธิประชานิยม เร่งส่งเสริมสนับสนุนให้ทั่วทั้งประเทศประพฤติปฏิบัติตามหลักปรัชญาพอเพียง และเร่งเอาอธิปไตยในพื้นที่เขาพระวิหารกลับคืนมา
อย่างที่ห้า ขอให้ยุติการอุ้มชูปกป้องคุ้มครองและสนับสนุนแก๊งอันธพาลป่วนบ้านป่วนเมืองและกลุ่มขบวนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในทันที
ทั้งห้าประการนี้นี่แหละจะทำให้ความสามัคคีที่มีหลักการหรือเรียกว่าสามัคคีธรรมหรือเรียกว่าความสามัคคีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางปรากฏเป็นจริงขึ้น และความสามัคคีชนิดนี้ใครก็ขัดก็ขวางไม่ได้ หากใครขัดใครขวางก็มีแต่เสียผู้เสียคนและย่อมเผยตัวตนว่าไม่จงรักภักดีที่สามารถกล่าวหาด่าว่าได้เต็มปากเต็มคำ
การสร้างความสามัคคีโดยอ้างว่าเพื่อถวายความจงรักภักดีแบบเอาธงไปปักตามจังหวัดต่างๆ นั้นเป็นความสามัคคีที่ไม่มีหลักการ อาจเป็นความสามัคคีของหมู่โจรหรือคนพาล หรือผู้ที่หมายเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้ ไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ของจริง
ถ้าจงรักภักดีจริงแล้วก็ต้องไม่ใช้วิธีที่เปี่ยมมายาและไร้หลักการ ทั้งไม่ควรรบกวนเบื้องพระยุคลบาทหรือดึงพระองค์ลงมาเกลือกกลั้วกับมายาภาพและความไร้หลักการแบบนี้เป็นอันขาด
ที่คุณสมัคร สุนทรเวช กล่าวในที่ประชุมพรรคว่าที่มาเป็นนายกฯ ครั้งนี้เพราะจะมาทำหน้าที่ 3 อย่าง คือ “1. ผมอาสาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาดำเนินการต่างๆ เพื่อบ้านเมือง 2. เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงให้เกียรติผมเข้ามาดำเนินการตรงนี้ 3. จะช่วยดูแล พ.ต.ท.ทักษิณ” นั้น อันไหนเป็นมายาภาพ อันไหนเป็นการสารภาพจึงดูได้ไม่ยาก
เพราะตอนมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค คุณสมัคร สุนทรเวช ก็ได้ประกาศต่อสาธารณชนแล้วว่าอาสาใคร และเป็นนอมินีของใคร
แต่ที่พูดว่าอาสามาช่วยดูแล พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นคงเป็นการรับสารภาพที่ตรงกับที่เคยพูดไว้นั่นเอง แต่คำว่าช่วยดูแลนี้กว้างและดิ้นได้ การดูแลแบบที่เป็นอยู่ในวันนี้จึงเป็นดังที่เห็นๆ กันนั่นแหละโยม!