“ปราโมทย์” ปลุกประชาชนสร้างสุญญากาศการเมือง ทวงคืนประชาธิปไตยจากรัฐบาลเถื่อนที่มาจากระบอบเผด็จการพลเรือน พร้อมแนะขยายแนวร่วมทั่วประเทศด้วยการให้ความรู้การเมืองใหม่ในทุกภาคส่วนทั้ง ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่มีจุดหมายในการปกป้อง ชาติ พระมหาษัตริย์ ด้วยอารยะขัดขืนทุกคำสั่งของรัฐบาล มั่นใจจะได้รับชัยชนะและมีแนวร่วมมากขึ้นหลังจากนี้
วันนี้ (6 ก.ค.) เวลาประมาณ 19.30 น.นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์อาวุโส ได้ขึ้นมาแสดงความคิดเห็นบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้าทำเนียบรัฐบาล ว่า ก่อนหน้านี้ ได้เคยบอกว่า ปัจจุบันการเมืองเปลี่ยนทางการเมือง ทั้งการนองเลือด ความบกพร่องของรัฐบาล ขณะนี้ตนเองได้ปรับลดในเรื่องการนองเลือดลง เพราะเชื่อว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ สุดท้ายจะได้รับชัยชนะ โดยไม่มีการนองเลือด และประชาชนส่วนใหญ่ เช่น ข้าราชการ แท็กซี่ จะหันเข้ามาเป็นแนวร่วมมากขึ้น
สำหรับปัจจัยด้านความบกพร่องของรัฐบาล ต้องบอกว่ามันได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง และผิดเจตนารมณ์ของศาลที่สั่งห้ามให้คนที่เกี่ยวข้องกับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เข้ามามีส่วนร่วมกับการเมือง แต่กลับให้พวกพ้อง ภรรยาและญาติสนิทเข้ามาทำงานในรัฐบาล ซึ่งทำให้หมดความชอบธรรมในทางกฎหมายไปแล้ว
“ศาลสั่งห้ามไม่ให้ทำกิจการการเมือง 5 ปี แต่คนพวกนี้ทำให้เจตนารมณ์ของศาลเสื่อม โดยน่าจะให้รัฐบาลนอกกฎหมายนี้ควรถูกขับไล่ และถ้าไม่ออกพวกเราจะหิ้วให้ออกเอง ซึ่งเราต้องตั้งหลักว่ามันเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แถมเมื่อเข้ามาแล้ว ยังทำผิดอีก ทำลายอธิปไตยของชาติ ในกรณีเขาพระวิหารกว่า 2 หมื่นตารางกิโลเมตร รวมถึงพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยด้วย” นายปราโมทย์ กล่าว
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลชุดนี้ได้เข้ามาทำลายอำนาจบริหารไปจนหมด ทุกอย่างไม่เป็นไปตามนิติธรรม และระเบียบของกฎหมาย โดยมีแต่ออกคำสั่งกับข้าราชการชั้นผู้น้อย โดยสภาผู้แทนราษฎรตอนนี้ รับแต่เงินเดือน แต่ไม่มีผลงานออกมาเลย และขณะนี้ถือว่าบ้านเมืองเข้าสู่ยุคสูญญากาศทางการเมืองแล้ว เนื่องจากรัฐบาลไม่มีความชอบธรรม และเชื่อว่าพันธมิตรฯหากอดทน และขยายแนวร่วมด้วยการให้ความรู้มากขึ้น โดยเฉพาะพวกที่ยังไม่เข้าใจ และหากในอนาคตมีแนวร่วมมากขึ้น จะได้รู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลชุดนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พันธมิตรฯควรทำมากที่สุดในขณะนี้ คือ การจัดตั้งให้แนวร่วมมีความเข้มแข็งมากขึ้น บนพื้นฐานความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อชาติ ราชบัลลังก์ และการจัดตั้งนี้จะต้องร่วมเป็นหมูเหล่า โดยมีการกำหนดทิศทาง และหน้าที่อย่างแน่นนอน นอกจากนี้ ควรจะมีสัญลักษณ์ และแนวแน่ในหน้าที่ ว่าต้องการอะไร เช่น ต้องการขจัดรัฐบาลปัจจุบัน และช่วยกันทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพื่อบอกให้รู้ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเถื่อน
“อย่าหวังแต่พึ่งศาล 100% แต่ต้องมั่นใจ ซึ่งถ้าชนะคดี 40% ก็พอแล้ว แต่เราคอยไม่ได้ เพราะผู้มีผลประโยชน์ที่เกรงว่าจะไม่มีอำนาจต่อ จะทำให้เกิดการปฏิวัติอย่างโง่เง่า และเป็นโอกาสให้ฝ่ายอื่นเข้ามาปกครองบ้านเมืองแทนประชาชนได้ โดยพันธมิตรฯควรทำตนเองให้สามารถเจรจา และได้รับความเคารพจากทั้งศาล และทหาร ในเรื่องการเมืองได้” นายปราโมทย์ กล่าว
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ถ้ารวมตัวจัดตั้งกัน ทั้ง ศาล ทหาร และพันธมิตรฯ จะต่อรองกับรัฐบาลว่าควรออกไปได้ เนื่องมาจากความผิดกฎหมาย และสุญญากาศที่เป็นอยู่ จะทำให้การเมืองในประเทศดีขึ้น ซึ่งอดีตแม่ทัพผู้หนึ่ง บอกว่า ในเมื่อเรามีอุดมการณ์เดียวกันแล้วทำไม ทหาร และข้าราชการ จะแต่งชุดออกมาร่วมกับพันธมิตรฯ นอกเหนือจากเวลาราชการไม่ได้ โดยจุดหมายเดียวกันที่ว่า คือ การพิทักษ์รัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และราชบัลลังก์
สำหรับประชาธิปไตยในปัจจุบัน มันไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เป็นแค่ระบอบเผด็จการพลเมือง ที่อาศัยการเลือกตั้งไปเบียดบังพระราชอำนาจที่จะคุ้มครองประชาชน เรื่องบางอย่างจะต้องทำการกราบบังคมทูลฯก่อนที่จะทำ แต่รัฐบาลชุดนี้กลับไม่ทำ ถ้าเป็นสมัยก่อนโทษ คือ การประหารชีวิตไปแล้ว และปัจจุบันนี้การเมืองบ้านเราถือว่าเข้าสุญญากาศอยู่แล้วด้วย
“ทุกวันนี้มันมีแต่การเลือกตั้งลากไป ถ้า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สัก 10 คนลาออก จะเป็นสุญญากาศทางการเมืองแล้ว ซึ่งการเมืองตั้งแต่ช่วงปฏิวัติใน พ.ศ.2490 และ 2492 ไม่มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงสักครั้ง มีแต่แก๊งเลือกตั้งที่ทำตามคำสั่งของหัวหน้า” นายปราโมทย์ กล่าว
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า หากเราสามารถทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองได้ โดยที่พันธมิตรฯสามารถทำให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ไม่รับฟังคำสั่งของรัฐบาลนอกกฎหมายชุดนี้ หรือกระทำการตรงกันข้าม จะทำให้อำนาจการบริหารประเทศของคนพวกนี้สิ้นสุดลง ซึ่งไม่อยากให้ความเข้าใจเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเมือง หรือบางเขต แต่อยากเห็นทั่วประเทศ