โดย:มะเมี้ยะ
หากถามว่าในบรรดาหมู่มวลประเทศในแถบยุโรปกลาง อาทิ โปแลนด์ เยอรมนี หรือออสเตรีย ประเทศใดที่มากด้วยเสน่ห์แห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมอันโดนเด่น และสุดแสนจะโรแมนติก รับรองว่าต้องมี "สาธารณรัฐเช็ก"ติดอยู่ในอันดับต้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองหลวงมากเสน่ห์อย่าง "กรุงปราก" (PRAGUE) หรือที่ชาวเช็กเรียกว่า "ปราฮา"นั้นขึ้นชื่อลือชาในเรื่องเมืองโรแมนติกยิ่งนัก ปราก ตั้งอยู่สองฝั่ง "แม่น้ำวัลตาวา" (Vltava river) สายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตชาวปราก เป็นนครที่มีเนินเขาเรียงรายสลับซับซ้อนกันอยู่สองข้างฝั่งแม่น้ำถึง 7 เนินเขา
นอกจากจะมีฐานะเป็นเป็นเมืองหลวงแล้ว ปรากยังครองตำแหน่งเมืองเก่าแก่ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปหลายร้อยปี เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันหลากหลาย เช่น โรมันเนสก์ โกธิค เรเนซองส์ บารอค รวมทั้งศิลปะรูปแบบต่างๆ เป็นหนึ่งในนครหลวงที่ยังคงความงามของโบราณสถาน ปราสาทราชวัง ซึ่งใช้สถาปัตยกรรมการก่อสร้างในยุคศตวรรษที่ 18 เป็นเอกลักษณ์ และถือว่ายุคทองของปรากก็ว่าได้
ปรากเป็นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็กอีกด้วย ด้วยความที่มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นเปี่ยมล้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อปี ค.ศ. 1992 ทางองค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ปรากเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม
เมื่อมาเที่ยวปรากจะเริ่มต้นดูอะไร? จากไหน? เชื่อแน่ว่าหลายๆคนที่เคยเยือนปรากมาแล้ว ย่อมรู้แก่ใจดี ความงามของปรากมีอยู่ทุกซอกทุกมุมจนตาลายจับทิศทางไม่ถูก ฉันขอแนะนำให้เริ่มด้วยการมาตั้งหลักกันที่ ย่านเมืองเก่าที่ "โอล์ ทาวน์ สแควร์" (Old Town Square) ย่านเก่าเมืองปรากที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ และความคลาสสิก กว่า 8 ตารางกิโลเมตร
โดยเฉพาะทำเนียบประธานาธิบดีกรุงปราก ที่เดิมคือ "ปราสาทปราก" (Prague Castle) จัดเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 885 โดยเจ้าชายบริโวจ (Brivoj)ที่อลังการตั้งแต่ประตูทางเข้ามีรูปปั้นออกแนวโหดนิดๆไว้ให้ดูเป็นศิลปะ
โอล์ ทาวน์ สแควร์ ตั้งอยู่ระหว่างบริเวณจัตุรัส "เวนเชสลาส"(Wenceslas Square) ซึ่งเป็นเขตเมืองใหม่เป็นย่านธุรกิจ แหล่งช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์แนม ตลอดจนสินค้าพื้นเมือง โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบเครื่องแก้วเจียระไน "โบฮีเมีย" อันเลื่องชื่อของชาวเช็กต้องไม่พลาดมาที่นี่ จัตรัสแห่งนี้กินเนื้อที่ ตั้งแต่สถานีรถไฟใต้ดิน Muzeumจนกระทั้งไปสิ้นสุดบริเวณสถานี Mustek
นอกจากนี้ โอล์ ทาวน์ สแควร์ ยังตั้งอยู่ใกล้ "สะพานชาร์ลส" (Charles Bridge)สะพานที่ชาวปรากถือกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปราก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ชื่อเดิมเรียกว่า "สะพานปราก" ต่อมาในปี ค.ศ. 1870 ได้เปลี่ยนชื่อตามพระนามของพระเจ้าชาร์ลส มีความยาว 520 เมตร กว้าง 10 เมตร สองข้างสะพานมีรูปปั้น นักบุญที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวเช็ก ตั้งไว้เป็นระยะๆ จำนวน 30 องค์ และในจำนวนนี้มีรูปปั้นของเซนตจอห์นนักบุญแห่งเนโปตั้งอยู่ด้วย
ของดีที่ไม่ควรละเลยอีกสิ่งหนึ่งในย่านนี้คือ "หอนาฬิกาดาราศาสตร์" (Prague Astronomical Clock) ณ ศาลากลางเมือง ที่นักท่องเที่ยวจะคอยเฝ้ามองนาฬิกาโบราณทุกชั่วโมง จะมีตุ๊กตาออกมาบอกเวลา และจักรราศีของ ดวงดาวในแต่ละวัน อีกทั้งยังเป็นนาฬิกาเก่าแก่แห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งอธิบายการโคจรของดาวเคราะห์และพระอาทิตย์รอบโลก ซึ่งเกิดจากความเชื่อในสมัยนั้นว่าโลกเราเป็นศูนย์กลางของดาวพระเคราะห์
และไม่ห่างกันเป็นที่ตั้งของ "โบสถ์ติน"(Tyn Church) โบสถ์เก่แก่ยอดแหลมเปี้ยว ในบริเวณโอล์ ทาวน์ สแควร์ เล่ากันว่าตอนค่ำคืนแถบนี้ผีดุ เพราะในยุคกลางสมัยก่อนมีการประหารชีวิตพวกแข็งข้อหวังยึดอำนาจการปกครองกัน เมื่อถูกจับได้ก็มีการตัดหัวกันกลางเมืองเก่า เพื่อมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง อย่างเจอผีฝรั่งก็ลองแวะมาดู
อ้อ...อีกหนึ่งแห่งที่จะลืมกล่าวถึงเสียมิได้คือ "อนุสาวรีย์ของจอห์น ฮุช" (John Hush) ผู้ริเริ่มรับศาสนาคริสต์มาเผยแพร่อีกครั้ง หลังจากการหยุดห้ามการนับถือศาสนาตามกฎของระบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเคยใช้บริหารประเทศ แต่เขาต้องจบชีวิต ด้วยการโดนเผาทั้งเป็น จากความศรัทธาของเขาเอง ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1915 เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำ ในวันครบรอบการสิ้นชีวิตครบ 500 ปี
แล้วมาต่อกันอีกโบสถ์หนึ่งที่มีความงดงาม "โบสถ์เซนต์ไวตุส" (St.Vitus Cathedral) โบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ.1344 ในศิลปะแบบโกธิคมีการก่อสร้างเรื่อยมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนมาเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1929 ใช้เวลาประมาณ 600 ปีในการก่อสร้างมีหน้าต่างกระจกสีที่งดงาม เป็นรูปภาพของนักบุญและเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา
จากเมืองหลวงอย่างกรุงปรากเดินทางเที่ยวกันต่อที่ "เมืองคาร์โลวี วารี" ( Karlovy Vary ) ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขามีแม่น้ำเทปลา (Tepla River)แม่น้ำสายเล็กๆที่เล็กจนไม่น่าเรียกว่าแม่น้ำ ไหลหล่อเลี้ยง เมืองคาร์โลวี วารี ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสปาที่ใหญ่ที่สุดของเช็ก
ตามตำนานบอกว่าพระเจ้าชาร์ลที่ 4 ทรงพบแหล่งน้ำแร่ที่เมืองนี้ในปีค.ศ.1358 เมื่อครั้งเสด็จฯ ออกล่าสัตว์แล้วสุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งตกลงไปในบ่อน้ำพุร้อน นับแต่นั้นเมืองนี้ก็มีชื่อเสียงของบ่อน้ำแร่ที่ใช้สำหรับรักษาร่างกายและบำบัดโรคร้ายต่างๆ เป็นต้นมา จนถึงเดี๋ยวนี้ทั้งเมืองมีน้ำพุร้อน และ น้ำแร่อุณหภูมิตั้งแต่ 42-72 องศาเซลเซียส ทั้งหมด 12 แห่ง
เมืองแห่งสปานี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นศูนย์กลางบำบัดโรคภัยต่างๆ ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองตากอากาศที่นิยมอย่างมากสำหรับบุคคลชั้นสูงและราชวงศ์ต่างๆในยุโรปสมัยช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม เช่น จักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า แห่งออสเตรีย พระเจ้าปีเตอร์ มหาราช แห่งรัสเซีย และพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 1 แห่งปรัสเซีย จนทำให้เมืองนี้กลายเป็นแหล่งรีสอร์ททางสุขภาพระดับโลก
อาบน้ำแร่แช่สปาจนหนำใจ แล้วย้ายมาอีกเมืองที่เมืองครุมลอฟ เดินชม "ปราสาทครุมลอฟ" (Krumlov) สร้างเมื่อ ปีค.ศ. 1250 เป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา จะเป็นรองก็แต่ปราสาทปรากเท่านั้น มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี เชสกี ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเป็นสถานที่จัดเทศกาลและงานรื่นเริงต่างๆมากมายในแต่ละปี ที่รู้จักกันมากที่สุดคือ เทศกาลกุหลาบห้ากลีบ (Five-petalled Rose Festival) ซึ่งจะเฉลิมฉลองในวันสุดสัปดาห์ในเดือนมิถุนายน
ในเขตใจกลางเมืองจะปิดการจราจรและประดับตกแต่งเหมือนเมืองในยุคกลาง พร้อมทั้งช่างฝีมือ ศิลปิน นักดนตรี และชาวเมืองที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบยุคกลาง ในเทศกาลมีกิจกรรมมากมาย เช่น การประลองบนหลังม้า ฟันดาบ เต้นรำพื้นเมือง และแสดงละคร กิจกรรมเหล่านี้จัดขึ้นที่ปราสาท สวนสาธารณะ ริมฝั่งแม่น้ำ และสถานที่อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการแสดงดอกไม้ไฟที่จัดขึ้นเหนือปราสาทครุมลอฟอีกด้วย
ใครที่กำลังเก็บเงินเที่ยวหรือมองหาสถานที่ท่องเที่ยวแสนโรแมนติดอยู่ ฉันแนะนำให้ลองเดินทางสัมผัสปรากดูแล้วจะกลับมาฝันรักและไม่อาจหยุดรัก "ปราก"ได้อย่างแน่นอน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
"สาธารณรัฐเช็ก" ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปกลาง อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ 2.1031บาท เท่ากับ 1 esk สายการบินที่สามารถเดินทางเข้าสู่สาธาธารณรัฐเช็กได้ มีด้วยกันหลายสายการบิน อาทิ Austrian airline,Turkish airline เป็นต้น
หากถามว่าในบรรดาหมู่มวลประเทศในแถบยุโรปกลาง อาทิ โปแลนด์ เยอรมนี หรือออสเตรีย ประเทศใดที่มากด้วยเสน่ห์แห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมอันโดนเด่น และสุดแสนจะโรแมนติก รับรองว่าต้องมี "สาธารณรัฐเช็ก"ติดอยู่ในอันดับต้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองหลวงมากเสน่ห์อย่าง "กรุงปราก" (PRAGUE) หรือที่ชาวเช็กเรียกว่า "ปราฮา"นั้นขึ้นชื่อลือชาในเรื่องเมืองโรแมนติกยิ่งนัก ปราก ตั้งอยู่สองฝั่ง "แม่น้ำวัลตาวา" (Vltava river) สายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตชาวปราก เป็นนครที่มีเนินเขาเรียงรายสลับซับซ้อนกันอยู่สองข้างฝั่งแม่น้ำถึง 7 เนินเขา
นอกจากจะมีฐานะเป็นเป็นเมืองหลวงแล้ว ปรากยังครองตำแหน่งเมืองเก่าแก่ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปหลายร้อยปี เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันหลากหลาย เช่น โรมันเนสก์ โกธิค เรเนซองส์ บารอค รวมทั้งศิลปะรูปแบบต่างๆ เป็นหนึ่งในนครหลวงที่ยังคงความงามของโบราณสถาน ปราสาทราชวัง ซึ่งใช้สถาปัตยกรรมการก่อสร้างในยุคศตวรรษที่ 18 เป็นเอกลักษณ์ และถือว่ายุคทองของปรากก็ว่าได้
ปรากเป็นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็กอีกด้วย ด้วยความที่มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นเปี่ยมล้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อปี ค.ศ. 1992 ทางองค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ปรากเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม
เมื่อมาเที่ยวปรากจะเริ่มต้นดูอะไร? จากไหน? เชื่อแน่ว่าหลายๆคนที่เคยเยือนปรากมาแล้ว ย่อมรู้แก่ใจดี ความงามของปรากมีอยู่ทุกซอกทุกมุมจนตาลายจับทิศทางไม่ถูก ฉันขอแนะนำให้เริ่มด้วยการมาตั้งหลักกันที่ ย่านเมืองเก่าที่ "โอล์ ทาวน์ สแควร์" (Old Town Square) ย่านเก่าเมืองปรากที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ และความคลาสสิก กว่า 8 ตารางกิโลเมตร
โดยเฉพาะทำเนียบประธานาธิบดีกรุงปราก ที่เดิมคือ "ปราสาทปราก" (Prague Castle) จัดเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 885 โดยเจ้าชายบริโวจ (Brivoj)ที่อลังการตั้งแต่ประตูทางเข้ามีรูปปั้นออกแนวโหดนิดๆไว้ให้ดูเป็นศิลปะ
โอล์ ทาวน์ สแควร์ ตั้งอยู่ระหว่างบริเวณจัตุรัส "เวนเชสลาส"(Wenceslas Square) ซึ่งเป็นเขตเมืองใหม่เป็นย่านธุรกิจ แหล่งช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์แนม ตลอดจนสินค้าพื้นเมือง โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบเครื่องแก้วเจียระไน "โบฮีเมีย" อันเลื่องชื่อของชาวเช็กต้องไม่พลาดมาที่นี่ จัตรัสแห่งนี้กินเนื้อที่ ตั้งแต่สถานีรถไฟใต้ดิน Muzeumจนกระทั้งไปสิ้นสุดบริเวณสถานี Mustek
นอกจากนี้ โอล์ ทาวน์ สแควร์ ยังตั้งอยู่ใกล้ "สะพานชาร์ลส" (Charles Bridge)สะพานที่ชาวปรากถือกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปราก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ชื่อเดิมเรียกว่า "สะพานปราก" ต่อมาในปี ค.ศ. 1870 ได้เปลี่ยนชื่อตามพระนามของพระเจ้าชาร์ลส มีความยาว 520 เมตร กว้าง 10 เมตร สองข้างสะพานมีรูปปั้น นักบุญที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวเช็ก ตั้งไว้เป็นระยะๆ จำนวน 30 องค์ และในจำนวนนี้มีรูปปั้นของเซนตจอห์นนักบุญแห่งเนโปตั้งอยู่ด้วย
ของดีที่ไม่ควรละเลยอีกสิ่งหนึ่งในย่านนี้คือ "หอนาฬิกาดาราศาสตร์" (Prague Astronomical Clock) ณ ศาลากลางเมือง ที่นักท่องเที่ยวจะคอยเฝ้ามองนาฬิกาโบราณทุกชั่วโมง จะมีตุ๊กตาออกมาบอกเวลา และจักรราศีของ ดวงดาวในแต่ละวัน อีกทั้งยังเป็นนาฬิกาเก่าแก่แห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งอธิบายการโคจรของดาวเคราะห์และพระอาทิตย์รอบโลก ซึ่งเกิดจากความเชื่อในสมัยนั้นว่าโลกเราเป็นศูนย์กลางของดาวพระเคราะห์
และไม่ห่างกันเป็นที่ตั้งของ "โบสถ์ติน"(Tyn Church) โบสถ์เก่แก่ยอดแหลมเปี้ยว ในบริเวณโอล์ ทาวน์ สแควร์ เล่ากันว่าตอนค่ำคืนแถบนี้ผีดุ เพราะในยุคกลางสมัยก่อนมีการประหารชีวิตพวกแข็งข้อหวังยึดอำนาจการปกครองกัน เมื่อถูกจับได้ก็มีการตัดหัวกันกลางเมืองเก่า เพื่อมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง อย่างเจอผีฝรั่งก็ลองแวะมาดู
อ้อ...อีกหนึ่งแห่งที่จะลืมกล่าวถึงเสียมิได้คือ "อนุสาวรีย์ของจอห์น ฮุช" (John Hush) ผู้ริเริ่มรับศาสนาคริสต์มาเผยแพร่อีกครั้ง หลังจากการหยุดห้ามการนับถือศาสนาตามกฎของระบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเคยใช้บริหารประเทศ แต่เขาต้องจบชีวิต ด้วยการโดนเผาทั้งเป็น จากความศรัทธาของเขาเอง ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1915 เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำ ในวันครบรอบการสิ้นชีวิตครบ 500 ปี
แล้วมาต่อกันอีกโบสถ์หนึ่งที่มีความงดงาม "โบสถ์เซนต์ไวตุส" (St.Vitus Cathedral) โบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ.1344 ในศิลปะแบบโกธิคมีการก่อสร้างเรื่อยมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนมาเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1929 ใช้เวลาประมาณ 600 ปีในการก่อสร้างมีหน้าต่างกระจกสีที่งดงาม เป็นรูปภาพของนักบุญและเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา
จากเมืองหลวงอย่างกรุงปรากเดินทางเที่ยวกันต่อที่ "เมืองคาร์โลวี วารี" ( Karlovy Vary ) ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขามีแม่น้ำเทปลา (Tepla River)แม่น้ำสายเล็กๆที่เล็กจนไม่น่าเรียกว่าแม่น้ำ ไหลหล่อเลี้ยง เมืองคาร์โลวี วารี ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสปาที่ใหญ่ที่สุดของเช็ก
ตามตำนานบอกว่าพระเจ้าชาร์ลที่ 4 ทรงพบแหล่งน้ำแร่ที่เมืองนี้ในปีค.ศ.1358 เมื่อครั้งเสด็จฯ ออกล่าสัตว์แล้วสุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งตกลงไปในบ่อน้ำพุร้อน นับแต่นั้นเมืองนี้ก็มีชื่อเสียงของบ่อน้ำแร่ที่ใช้สำหรับรักษาร่างกายและบำบัดโรคร้ายต่างๆ เป็นต้นมา จนถึงเดี๋ยวนี้ทั้งเมืองมีน้ำพุร้อน และ น้ำแร่อุณหภูมิตั้งแต่ 42-72 องศาเซลเซียส ทั้งหมด 12 แห่ง
เมืองแห่งสปานี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นศูนย์กลางบำบัดโรคภัยต่างๆ ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองตากอากาศที่นิยมอย่างมากสำหรับบุคคลชั้นสูงและราชวงศ์ต่างๆในยุโรปสมัยช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม เช่น จักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า แห่งออสเตรีย พระเจ้าปีเตอร์ มหาราช แห่งรัสเซีย และพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 1 แห่งปรัสเซีย จนทำให้เมืองนี้กลายเป็นแหล่งรีสอร์ททางสุขภาพระดับโลก
อาบน้ำแร่แช่สปาจนหนำใจ แล้วย้ายมาอีกเมืองที่เมืองครุมลอฟ เดินชม "ปราสาทครุมลอฟ" (Krumlov) สร้างเมื่อ ปีค.ศ. 1250 เป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา จะเป็นรองก็แต่ปราสาทปรากเท่านั้น มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี เชสกี ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเป็นสถานที่จัดเทศกาลและงานรื่นเริงต่างๆมากมายในแต่ละปี ที่รู้จักกันมากที่สุดคือ เทศกาลกุหลาบห้ากลีบ (Five-petalled Rose Festival) ซึ่งจะเฉลิมฉลองในวันสุดสัปดาห์ในเดือนมิถุนายน
ในเขตใจกลางเมืองจะปิดการจราจรและประดับตกแต่งเหมือนเมืองในยุคกลาง พร้อมทั้งช่างฝีมือ ศิลปิน นักดนตรี และชาวเมืองที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบยุคกลาง ในเทศกาลมีกิจกรรมมากมาย เช่น การประลองบนหลังม้า ฟันดาบ เต้นรำพื้นเมือง และแสดงละคร กิจกรรมเหล่านี้จัดขึ้นที่ปราสาท สวนสาธารณะ ริมฝั่งแม่น้ำ และสถานที่อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการแสดงดอกไม้ไฟที่จัดขึ้นเหนือปราสาทครุมลอฟอีกด้วย
ใครที่กำลังเก็บเงินเที่ยวหรือมองหาสถานที่ท่องเที่ยวแสนโรแมนติดอยู่ ฉันแนะนำให้ลองเดินทางสัมผัสปรากดูแล้วจะกลับมาฝันรักและไม่อาจหยุดรัก "ปราก"ได้อย่างแน่นอน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
"สาธารณรัฐเช็ก" ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปกลาง อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ 2.1031บาท เท่ากับ 1 esk สายการบินที่สามารถเดินทางเข้าสู่สาธาธารณรัฐเช็กได้ มีด้วยกันหลายสายการบิน อาทิ Austrian airline,Turkish airline เป็นต้น