ปชป.ใช้ช่องทางผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ยื่นสอบแถลงนโยบายเปื้อนเลือดขัด รธน.3 ข้อส่งต่อศาล รธน.วินิจฉัย พร้อมยื่น ป.ป.ช.สอบ “ครม.เขยแม้ว” สั่งการสลายผู้ชุมนุม ตบเท้าพบอธิบดีกรมกร๊วกห้ามใช้สื่อรัฐปลุกระดมมวลชนก่อสงครามประชาชน
วันนี้ (17 ต.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยวันนี้เวลา 11.00 น. พรรคจะยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญในการประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลในวันที่ 7 ก.ย. เนื่องจากมีความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 3 ข้อ หากยังไม่มีข้อวินิจฉัยเป็นข้อเท็จจริงว่า การแถลงวันดังกล่าวมีความชอบหรือไม่ รัฐบาลที่ต้องใช้มติ ครม.ในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งทำสัญญากับต่างประเทศอาจถูกผู้มีส่วนได้เสียฟ้องร้องดำเนินคดีแล้วยกกรณีการแถลงนโยบายมิชอบมาเป็นข้อต่อสู้ก็อาจทำให้ประเทศชาติเสียได้ พรรคจึงเห็นว่าต้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องแล้วส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
สำหรับเหตุผลที่มีปัญหาข้อโต้แย้ง คือ การลงแม้รัฐบาลมติให้ความเห็นชอบให้มีการแถลงนโยบายในครั้งแรก 307 เสียง มีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แสดงว่ารัฐสภาไม่ได้ให้ความเห็นชอบ ให้รัฐบาลแถลงนโยบาย แต่ประธานกลับให้ลงมติใหม่ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ และการลงมติครั้งที่2 จำนวน 320 เสียง มี ส.ส.ของรัฐบาลกดบัตรแทนกัน ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 126 ที่ระบุว่า ส.ส.1 คน มี 1 เสียง และรัฐมนตรีที่มีส่วนได้เสียตามมาตรา 177 มีความเห็นชอบให้แถลงนโยบายถึง 23 เสียง ซึ่งหากไม่มี 23 เสียงนี้ก็จะไม่สามารถแถลงนโยบายได้
นายสาทิตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ในเวลา 12.00 น.จะไปยื่นเพิ่มเติมให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ ให้ไต่สวนนายกรัฐมนตรีกับพวก กรณีที่ปฏิบัติผิดกฎหมายและใช้ความรุนแรงในการสลายกลุ่มผู้ชุมทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยโฆษกของ ป.ป.ช.ระบุว่า อนุกรรมการไต่สวนเฉพาะ พ.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล จากหลักฐานข้างต้นเห็นว่ายังไม่มีหลักฐานโยงใยถึงนายกฯ พรรคจึงทำเรื่องร้องรียนเพิ่มเติมว่าความจริงแล้ว มีข้อเท็จจริงโยงใยคาบเกี่ยวถึงนายกฯเพราะแม้ว่าจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่านายกฯ สั่งการหรือไม่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่รุงแรงที่หน้ารัฐสภาในวันที่ 7 ก.ย.กลับปล่อย และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้เกิดความรุนแรงในช่วงบ่ายและค่ำ ดังนั้น อยากให้ ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาอีกชั้นเพื่อตรวจสอบนายกฯ
นอกจากนี้ ในเวลา 13.30 น.พรรคได้มอบหมายให้คณะ ส.ส.ของพรรคเดินทางไปพบ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ให้ยกเลิกสัญญากับบริษัท ดิจิตอลมีเดีย โฮลดิ้ง ซึ่งทำข่าวส่วนใหญ่ให้กับกรมประชาสัมพันธ์ช่อง 11 และให้ยกเลิกรายการ “ความจริงวันนี้” ของบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ รวมถึงรายการวิทยุ 2 คลื่น ได้แก่ เอฟเอ็ม 105 และ เอฟเอ็ม 97 โดยเหตุผล คือ รายการที่กล่าวถึงนั้นบางบริษัทที่เข้าไปดำเนินรายการมีความไม่ชอบมาพากลในการทำสัญญาและอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. และรายการ รายการข่าวของเอ็นบีที และรายการความจริงวันนี้ และคลื่นวิทยุที่กล่าวถึงได้มีการปลุกระดมให้ข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว รวมทั้งมีข้อมูลที่เป็นเท็จนำเสนอต่อผู้ฟัง จึงถือได้ว่าเป็นการขยายความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมืองให้กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งรายการดังกล่าวยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชี้ให้เห็นว่าเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง แม้กระทั่งองค์กรมีเดียมอนิเตอร์ได้มีการสำรวจก็มีความเห็นว่า สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเสนอข่าวขาดความเป็นกลาง พรรคได้มีการตรวจสอบสัญญาที่ทำกับกรมประชาฯ แล้วเห็นว่า กรมประชาฯ มีอำนาจในการลด ตัด รายการที่มีการเสอข่าวที่ไม่เป็นกลาง ทั้งนี้ หากปล่อยให้เสนอข่าวไปอีก ความขัดแย้งในบ้านเมืองจะเพิ่มขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด และอาจจะเข้าทางพรรคพลังประชาชนที่ต้องการจะทำสงครามประชาชนและอาจจะเกิดสงครามนองเลือดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้