นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงพรรคยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อตรวจสอบความชอบตามรัฐธรรมนูญ ในการประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลในวันที่7 ก.ย. เนื่องจากมีความไม่ชอบ ด้วยรัฐธรรมนูญ3 ข้อ หากยังไม่มีข้อวินิจฉัยเป็นข้อเท็จจริงว่า การแถลงวันดังกล่าว มีความชอบหรือไม่ รัฐบาลที่ต้องใช้มติครม.ในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งทำสัญญากับต่างประเทศอาจถูกผู้มีส่วนได้เสียฟ้องร้องดำเนินคดี แล้วยกกรณี การแถลงนโยบายมิชอบมาเป็นข้อต่อสู้ก็อาจทำให้ประเทศชาติเสียได้ พรรคจึงเห็นว่า ต้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องแล้วส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
สำหรับเหตุผลที่มีปัญหาข้อโต้แย้ง คือ การลงแม้รัฐบาลมติให้ความเห็นชอบ ให้มีการแถลงนโยบายในครั้งแรก 307 เสียง มีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แสดงว่ารัฐสภาไม่ได้ให้ความเห็นชอบ ให้รัฐบาลแถลงนโยบาย แต่ประธานกลับให้ลงมติใหม่ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ และการลงมติครั้งที่ 2 จำนวน320 เสียง มี ส.ส.ของรัฐบาลกดบัตรแทนกัน ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 126 ที่ระบุว่า ส.ส. 1 คน มี1 เสียง และรัฐมนตรีที่มีส่วนได้เสียตามมาตรา 177 มีความเห็นชอบให้แถลงนโยบายถึง 23 เสียง ซึ่งหากไม่มี23 เสียงนี้ก็จะไม่สามารถแถลงนโยบายได้
นายสาทิตย์กล่างว่า นอกจากนี้จะไปยื่นเพิ่มเติมให้กับ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนนายกรัฐมนตรีกับพวก กรณีที่ปฏิบัติผิดกฎหมายและใช้ความรุนแรงในการสลายกลุ่มผู้ชุม ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยโฆษกของ ป.ป.ช. ระบุว่า อนุกรรมการไต่สวนเฉพาะ พ.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล จากหลักฐานข้างต้น เห็นว่ายังไม่มีหลักฐานโยงใยถึงนายกฯ พรรคจึงทำเรื่องร้องรียนเพิ่มเติมว่าความจริง มีข้อเท็จจริงโยงใยคาบเกี่ยวถึงนายกฯเพราะแม้ว่าจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่านายกฯสั่งการหรือไม่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่รุงแรงที่หน้ารัฐสภาในวันที่ 7 ก.ย. กลับปล่อย และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้เกิดความรุนแรง ในช่วงบ่ายและค่ำ ดังนั้นอยากให้ป.ป.ช. ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาอีกชั้นเพื่อตรวจสอบนายกฯ
นอกจากนี้พรรคได้มอบหมายให้คณะส.ส.ของพรรคเดินทางไปพบ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯให้ยกเลิกสัญญากับบริษัท ดิจิตอลมีเดีย โฮลดิ้ง ซึ่งทำข่าวส่วนใหญ่ให้กับกรมประชาสัมพันธ์ NBT Zช่อง11) และให้ยกเลิกรายการ ความจริงวันนี้ ของบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ รวมถึงรายการ วิทยุ2 คลื่นได้แก่ เอฟเอ็ม 105 และ เอฟเอ็ม 97 โดยเหตุผลคือรายการที่กล่าวถึงนั้นบางบริษัทที่เข้าไปดำเนินรายการมีความไม่ชอบมาพากลในการทำสัญญาและอยู่ระหว่างการสอบสวนของป.ป.ช. และรายการดังกล่าวได้ปลุกระดมให้ข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว รวมทั้งมีข้อมูลที่เป็นเท็จนำเสนอต่อผู้ฟัง จึงถือได้ว่าเป็นการขยายความขัดแย้งแตกแยก ในบ้านเมืองให้กว้างขวางมากขึ้น
สำหรับเหตุผลที่มีปัญหาข้อโต้แย้ง คือ การลงแม้รัฐบาลมติให้ความเห็นชอบ ให้มีการแถลงนโยบายในครั้งแรก 307 เสียง มีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แสดงว่ารัฐสภาไม่ได้ให้ความเห็นชอบ ให้รัฐบาลแถลงนโยบาย แต่ประธานกลับให้ลงมติใหม่ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ และการลงมติครั้งที่ 2 จำนวน320 เสียง มี ส.ส.ของรัฐบาลกดบัตรแทนกัน ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 126 ที่ระบุว่า ส.ส. 1 คน มี1 เสียง และรัฐมนตรีที่มีส่วนได้เสียตามมาตรา 177 มีความเห็นชอบให้แถลงนโยบายถึง 23 เสียง ซึ่งหากไม่มี23 เสียงนี้ก็จะไม่สามารถแถลงนโยบายได้
นายสาทิตย์กล่างว่า นอกจากนี้จะไปยื่นเพิ่มเติมให้กับ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนนายกรัฐมนตรีกับพวก กรณีที่ปฏิบัติผิดกฎหมายและใช้ความรุนแรงในการสลายกลุ่มผู้ชุม ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยโฆษกของ ป.ป.ช. ระบุว่า อนุกรรมการไต่สวนเฉพาะ พ.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล จากหลักฐานข้างต้น เห็นว่ายังไม่มีหลักฐานโยงใยถึงนายกฯ พรรคจึงทำเรื่องร้องรียนเพิ่มเติมว่าความจริง มีข้อเท็จจริงโยงใยคาบเกี่ยวถึงนายกฯเพราะแม้ว่าจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่านายกฯสั่งการหรือไม่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่รุงแรงที่หน้ารัฐสภาในวันที่ 7 ก.ย. กลับปล่อย และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้เกิดความรุนแรง ในช่วงบ่ายและค่ำ ดังนั้นอยากให้ป.ป.ช. ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาอีกชั้นเพื่อตรวจสอบนายกฯ
นอกจากนี้พรรคได้มอบหมายให้คณะส.ส.ของพรรคเดินทางไปพบ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯให้ยกเลิกสัญญากับบริษัท ดิจิตอลมีเดีย โฮลดิ้ง ซึ่งทำข่าวส่วนใหญ่ให้กับกรมประชาสัมพันธ์ NBT Zช่อง11) และให้ยกเลิกรายการ ความจริงวันนี้ ของบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ รวมถึงรายการ วิทยุ2 คลื่นได้แก่ เอฟเอ็ม 105 และ เอฟเอ็ม 97 โดยเหตุผลคือรายการที่กล่าวถึงนั้นบางบริษัทที่เข้าไปดำเนินรายการมีความไม่ชอบมาพากลในการทำสัญญาและอยู่ระหว่างการสอบสวนของป.ป.ช. และรายการดังกล่าวได้ปลุกระดมให้ข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว รวมทั้งมีข้อมูลที่เป็นเท็จนำเสนอต่อผู้ฟัง จึงถือได้ว่าเป็นการขยายความขัดแย้งแตกแยก ในบ้านเมืองให้กว้างขวางมากขึ้น