“กองทัพ” ย้ำตราบาป “รบ.ทายาทอสูร” สั่งสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต ต้องรับผิดชอบ ยันไร้การปฏิวัติอย่างแน่นอน เหตุเพราะไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง ก่อนปัดข่าวเตรียมแถลงการณ์ไม่สนับสนุน “รัฐบาล” ในการบริหารประเทศ พร้อมแจงเหตุ “อนุพงษ์” ไม่ไปงาน “ป๋าเปรม” เพราะติดภารกิจเยี่ยมไข้ “อดีตนายกฯ”
วานนี้ (13 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของกองทัพเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองว่า กองทัพยังมีจุดยืนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือ เป็นกองทัพของประชาชน และของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น กองทัพได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขณะนี้ยังไม่มีสถานการณ์อะไรรุนแรง มีเพียงกลุ่มผู้ประท้วงเท่านั้น ซึ่งอำนาจหน้าที่ในการดูแลความสงบเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“ทั้งนี้ กองทัพไม่อยากให้เกิดความรุนแรง เพราะไม่มีผลดี และอยากให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน เอื้ออาทรต่อกัน เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ทั้งนี้ ต้องดูสถานการณ์ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างอยากให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งขณะนี้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบอยู่จึงต้องรอดูว่าผลจะออกมาอย่างไร” ผบ.สส.กล่าว
ส่วนกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศไม่ยอมรับการตรวจสอบของคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นนั้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า เรื่องนี้ทั้งหมดฝ่ายบริหารจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ประเทศไทยมีการแบ่งอำนาจในการบริหารจัดการ 3 ฝ่าย คือ 1.ฝ่ายบริหารที่จะต้องบริหารจัดการบ้านเมือง 2.ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจในการออกกฎหมาย และ 3.ฝ่ายตุลาการ มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษา ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องทำตามหน้าที่ รวมถึงฝ่ายทหาร หรือ ฝ่ายตำรวจ
เมื่อถามถึงกรณีที่พันธมิตรฯ หันมาโจมตีกองทัพมากขึ้น พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่ทราบ แต่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดได้ ทั้งนี้ ยอมรับว่า ผบ.เหล่าทัพได้มีการพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองมาโดยตลอด และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของแต่ละกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์ของบ้านเมือง
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารประเทศ เมื่อถามย้ำว่า ดูแล้วสถานการณ์บ้านเมืองสุกงอมแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะการนำกำลังทหารออกมาปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ขอยืนยันคำเดิมว่าจะไม่มีเหตุการณ์การปฏิวัติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะ ผบ.เหล่าทัพ ได้มีการพูดคุยกันแล้วว่า การทำปฏิวัติไม่ทำให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
“ผบ.เหล่าทัพมีความเป็นเอกภาพ และพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ใครจะพูดอะไรก็เหมือนกัน ตอนนี้มีเพียงข่าวปล่อยอย่างเดียว เดี๋ยวมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ไม่มีอะไรตื่นเต้น และขอยืนยันว่า กองทัพไม่ได้มีการออกแถลงการณ์อะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะข่าวที่ว่ากองทัพเตรียมแถลงการณ์เพื่อไม่สนับสนุนรัฐบาลในการบริหารประเทศ เพราะมันไม่ถูกกฎหมาย” พล.อ.ทรงกิตติ กล่าว
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ผ่านทางวิทยุของกองทัพบกถึงจุดยืนของกองทัพบกว่า กองทัพบกยังยืนยันหนักแน่นว่าเป็นทหารของชาติ และกองทัพเป็นของประชาชน หมายถึงคนไทยทุกคนที่ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยกองทัพจะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประชาชนอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น แต่ประชาชนต้องคำนึงถึงบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ คือ ต้องมีสติ รอบคอบ ไม่ว่าจะทำการใดๆ อันจะนำไปสู่เหตุปะทะ หรือเหตุรุนแรง ก็ต้องหลีกเลี่ยง
“กองทัพจะเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ด้วยชีวิต เราไม่อยากเห็นสังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทั้งนี้สิ่งที่กองทัพบกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือ การถวายงานในการที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชน ซึ่งจะปรากฏตามโครงการพระราชดำริ รวมทั้งกองทัพบกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่แสดงออกถึงความรู้รักสามัคคี โดยมีพระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งหมด” โฆษกกองทัพบก กล่าว
โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า สิ่งที่ทุกคนควรกระทำอย่างยิ่งในขณะนี้ คือ การเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ควรจะดึงสถาบันอันสูงสุดมาเชื่อมโยง หรือนำมาเกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง เพราะพระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัสเสมอที่จะให้คนไทยรู้รักสามัคคี ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ท่านทรงช่วยเหลือ และห่วงใยคนไทยทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกเชื้อชาติ ไม่เลือกศาสนา ไม่เลือกกรณีใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไม่ได้เดินทางไปร่วมเปิดงานสานไทยสู่ใจใต้ ซึ่งมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นประธาน แต่กลับเดินทางไปเยี่ยมนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ไม่มีนัยใดๆ ทั้งสิ้น กองทัพบกมีงานในความรับผิดชอบมาก ดังนั้น ผบ.ทบ.ท่านเดียวไม่สามารถปฏิบัติงานทั้งหมดเพียงลำพัง กองทัพบกจึงมีผู้บังคับบัญชาระดับสูง คือ 5 เสือ ทบ. ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระไปตามสายงาน
“กรณีงานสานใจไทยสู่ใจใต้ในทุกสมัย ผบ.ทบ.จะมอบหมายให้รอง ผบ.ทบ. หรือผู้ช่วยผบ.ทบ. หรือ เสนาธิการทหารบก ท่านหนึ่งท่านใดไปเป็นผู้แทน ยกตัวอย่าง สมัยที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้บัญชาการทหารบก ได้มอบหมายให้ พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. เดินทางไปงานนี้แทน ทั้งนี้ในวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.อนุพงษ์ ได้มอบหมายให้ พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ผู้ช่วย ผบ.ทบ.เป็นผู้แทนเดินทางไปร่วมงาน” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า สำหรับการเดินทางไปเยี่ยมนายสมัครนั้น ปัจจุบันนายสมัครไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองแล้ว จึงไม่อยากให้นำเรื่องราวต่างๆ ไปผูกโยงกันในทิศทางที่ทำให้สังคมเกิดความแคลงใจว่ากองทัพอยู่ฝ่ายไหน เพราะกองทัพไม่เลือกฝ่าย เราเป็นกลไกของรัฐ และเป็นกองทัพของประชาชน ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีสาระ