ปชป.จวกรัฐบาลตีสองหน้า พูดอย่างทำอีกอย่าง ปากบอกสมานฉันท์ แต่อีกด้านกลับบรรจุวาระแก้ไข รธน.ฉบับ นปก.ตั้ง “ณัฐวุฒิ” เป็นโฆษกรัฐบาล ใช้สื่อรัฐจัดรายการความจริงวันนี้ด่าคนอื่นข้างเดียว แค่นั้นยังไม่พอกลับส่งซิกให้ตำรวจจับแกนนำพันธมิตรฯ จี้ “สมชาย” พูดมาให้ชัดมีเจตนาซ่อนเร้นอย่างไร
วันนี้ (4 ต.ค.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ ว่า แม้ว่าที่ประชุม 4 ฝ่าย จะมีข้อยุติร่วมกันในการแก้วิกฤติบ้านเมือง แต่ภาระรับผิดชอบยังคงอยู่ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่จะพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ปัญหาด้วยความสมานฉันท์ แต่เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัมกุมตัวแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและการบรรจุร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเดินยุทธศาสตร์เกมสองหน้า คือหน้าที่ 1 สร้างความสมานฉันท์ด้วยการพบบุคคลสำคัญต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็แต่งตั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และยังคงใช้สื่อของรัฐเผยแพร่รายการความจริงวันนี้ เพราะจะยิ่งสร้างความรุนแรง และทำให้นายสมชาย พบอุปสรรคในการแก้ปัญหา ขาดความน่าเชื่อถือ ความจริงใจในการแก้ไขปัญหา
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะใช้แนวทางการเจรจาในการแก้ไขปัญหาหรือสลายการชุมนุม จับกุมแกนนำ ถ้านายกรัฐมนตรีตั้งใจจะลดความขัดแย้งจริงควรเลือกแนวทางการเจรจา โดยควรลดข้อหาจากกบฏเป็นบุกรุกสถานที่ราชการแทน ขณะเดียวกันจะต้องมีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.ว่าจะเลื่อนการพิจารณาร่างฉบับนี้หรือจะให้ลงมติอย่างไร เพราะขณะนี้ค่อนข้างสับสน เนื่องจากนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ท้าให้พันธมิตรฯ ยื่นร่างแก้ไขประกบ นายกรัฐมนตรีต้องเลิกพูดคำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของรัฐสภา เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรคเสียงข้างมาก ต้องยืนยันว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยตัวเองในคดียุบพรรคหรือช่วยเรื่องคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
“วันนี้ทุกฝ่ายต้องดูบทเรียนความล้มเหลวจากการประชุม 3 ฝ่ายที่ผ่านมาที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ นายสมชายต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจแทนสมาชิกทั้งพรรคได้หรือไม่ เพราะความไม่เป็นเอกภาพความแตกแยกในพรรคพลังประชาชนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ถ้านายสมชายไม่สามารถแสดงภาวะการเป็นผู้นำได้” นพ.บุรณัชย์ กล่าว
ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม.ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (เงา) เรียกร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการจับกุมตัวนายไชยวัฒน์ เพราะขณะนี้ข่าวที่ออกมาสับสนเกี่ยวกับสถานที่จับกุมตัวไม่ตรงกัน 2 แห่ง ซึ่งน่าสังเกตว่าเป็นการพบตัวซึ่งหน้าหรือเป็นการวางแผนจับกุม และตำรวจทำตามหน้าที่ปกติหรือทำตามใบสั่งของใคร เพราะขณะนี้แกนนำทั้ง 9 ที่ถูกออกหมายจับอยู่ระหว่างการอุทธรณ์หมายจับ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้หรือไม่ จึงกังวลว่าการจับกุมครั้งนี้อาจนำไปสู่การเข้าใจผิดและก่อให้เกิดปัญหาบานปลายโดยไม่จำเป็น เพราะที่ผ่านมาทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามติดตามตัวเพื่อจับกุมมาตลอด แต่เหตุใดจึงเพิ่งจับกุม
นายองอาจ ยังตั้งข้อสังเกตกรณีที่รัฐบาลเลือกแก้วิกฤติปัญหาการเมืองโดยการยอมให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 3 แต่นายชัยกลับบรรจุร่างของ คปพร.ที่ยื่นโดย นพ.เหวง โตจิราการ ซึ่งทราบดีว่าเป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เข้าสู่การพิจารณาของสภา ทั้งที่ร่างดังกล่าวเสนอมานานแล้ว แต่เพิ่งนำเข้าบรรจุ พรรคประชาธิปัตย์มองว่าเป็นเรื่องที่มีลับลมคมใน เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวยกฉบับปี 2540 มาทั้งฉบับ ไม่มีมาตรา 237 เกี่ยวกับคดียุบพรรค และมาตรา 309 เรื่องการเอาผิดคดีทุจริตของอดีตผู้นำ หากร่างของ คปพร.ผ่านความเห็นชอบของสภา ความผิดตามมาตรา 237 และ 309 ต้องเป็นโมฆะหรือไม่ ถ้ารัฐบาลจริงใจแก้วิกฤติการเมืองอย่างแท้จขริง รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาร่างนี้หรือไม่ รัฐบาลต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่าอยากเห็นการแก้วิกฤตปัญหาทางใด นายกรัฐมนตรีต้องแสดงภาวะความเป็นผู้นำเพื่อแก้วิกฤติบ้านเมืองด้วยความจริงใจ