“สุริยะใส” แฉ พปช.อาจใช้ไม้ตายชิงยุบสภา หากตกลงกับ 5 พรรคร่วมเรื่องตัวนายกฯ ไม่ได้ ระบุ ถึงจะเป็น “3 ส.” ก็ยังมีความขัดแย้ง เหตุความเป็นนอมินีชัดเจนยิ่งกว่า “สมัคร” พันธมิตรฯ ไม่หยุดเคลื่อนไหวแน่ เตือนสภาคิดให้รอบคอบ ชี้ 2 ทางออก ที่พอเป็นไปได้ ตั้งรัฐบาลพิเศษ หรือ 5 พรรคร่วมเปลี่ยนขั้ว ไม่เช่นนั้นเกิดรัฐประหารแน่
เมื่อเวลา 19.00 น.วันนี้ (12 ก.ย.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงว่า ขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่พรรคพลังประชาชน อาจใช้ไม้ตายสุดท้ายโดยการชิงยุบสภา หากตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลในการกำหนดตัวนายกฯ ไม่ได้ ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจนว่า นายสมัคร สุนทรเวช อ่อนใจ ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจ เพราะนายสมัคร เป็นอะไหล่ของระบอบทักษิณ เมื่อหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งไป ดังนั้น ปัญหาจากนี้ไปหากนายกฯ คนใหม่ยังอยู่ในกรอบของ 3 ส.คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคลี่คลายความขัดแย้งลงได้
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ความเป็นนอมินีนั้น 3 ส.มีความชัดเจนกว่านายสมัครเสียอีก ดังนั้นการที่คิดว่าความหวาดระแวง แรงต้านของสังคมจะลดลงไปนั้น คงเป็นความเข้าใจผิด พันธมิตรฯ ก็คงจะยุติการเคลื่อนไหวไม่ได้ หากรัฐบาลยังมีภาพลักษณ์เป็นนอมินี ดังนั้น 4-5 วันจากนี้ สภาต้องคิดให้มาก เพราะหากต้องสรรหารัฐบาลด้วยวิธีพิเศษ ตามที่ผู้นำฝ่ายค้านเสนอนั้น ก็คงจะต้องเก็บไปคิด เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่สภาจะได้แก้ตัว ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสในการแก้วิกฤต ก็จะจบลงในวันพุธ ที่ 17 ก.ย.และพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องคิดให้มาก สัจจะวาจานั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่เคยบอกว่า จะเข้าร่วมรัฐบาล โดยมีเงื่อนไขว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องกลับมาสู้คดีในประเทศไทย วันนี้ก็ปรากฏชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หนีศาล
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า สำหรับอำนาจในการยุบสภาของนายกฯ รักษาการนั้น ไม่มีมาตราไหนในรัฐธรรมนูญให้อำนาจเอาไว้ ขอเตือนว่า การใช้วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่า คงจะทำไม่ได้เพราะอำนาจยุบสภานั้น นายกฯ จะต้องมาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ดังนั้นหาก นายสมชาย เลือกวิธีนี้ก็จะมีการยื่นตีความตามมาอีก ยิ่งทำให้การเมืองไร้ระเบียบและความขัดแย้งก็จะยืดเยื้อออกไป ดังนั้น 4-5 วัน หลังจากนี้ หวังว่า ทุกพรรคจะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง สภาล่มได้ แต่ประเทศล่มจมไม่ได้ ดังนั้น ในวันที่ 17 ก.ย.จะเป็นโอกาสสุดท้ายของสภาชุดนี้ ที่จะได้ไถ่บาป
สำหรับจุดยืนของพันธมิตรฯ นั้น ในช่าง 4-5 วันนี้ จะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรพิเศษ แต่จะติดตามและตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองอย่างใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลควรจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า สองสูตรที่พอจะเป็นเปลวเทียนปลายอุโมงค์ คือ รัฐบาลแบบพิเศษ ตามที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยเสนอ แต่ในทางปฏิบัติ การเอาขั้วที่ขัดแย้งทางการเมืองมาอยู่ ครม.ร่วมกัน จะสามารถปฏิบัติงานได้หรือไม่ และวิธีที่สอง คือ การเปลี่ยนขั้วการเมือง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องงาย เพราะทราบว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ก็ยังคิดเป็นนายกฯ อยู่ ซึ่งทั้งสองทางเลือกนี้ ตนคิดว่า ยังอยู่ในกระบวนการของสภา แต่ถ้า 5 วันแล้วยังทำไม่ได้ จะเห็นได้ว่า เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ของเอแบคโพลล์ เริ่มถวิลหาทางออกที่สาม ซึ่งตรงนี้น่ากลัว เพราะความชอบธรรมในการรัฐประหารจะกลับมา ดังนั้น ตนจึงเห็นด้วยกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ระบุว่า สภาต้องแก้ปัญหาไห้ได้ ดังนั้น ในวันนี้ เราก็จะหวังว่าจะเป็นการแก้ปัญหาในสภา แต่สุดท้ายก็เป็นสภาโจ๊ก ที่มีแต่การชิงไหวชิงพริบกัน
เมื่อถามอีกว่า หากเป็น 2 ทางเลือกดังกล่าว พันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมหรือไม่ นายสุริยะใสกล่าวว่า ทั้งสองทางนั้นจะดีหรือไม่ ไม่ใช่จุดยืนของพันธมิตรฯ แต่สองทางนี้ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็ต้องไปเป็นทางออกที่สาม ประชาชนจะถวิลหาอำนาจข้างนอก เพราะสภาแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเหตุการณ์สภาล่มวันนี้น่าเวทนา เพราะเป็นเรื่องของการต่อรอง แล้วหยิบบ้านเมืองไปอ้าง ปัญหาวันนี้ไม่ใช่ นายสมัคร ปกครองไม่ได้ ต่อให้สิบสมชาย หรือสิบสุรพงษ์ ก็ปกครองไม่ได้ เพราะสังคมวันนี้ตั้งโจทย์ว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินี ซึ่งการที่เป็นเสียงข้างมาก แต่นำพาประเทศไปไม่ได้ก็ควรที่จะต้องพิจารณาตนเอง
เมื่อถามถึงคุณสมบัติคนที่เป็นนายกฯ นายสุริยะใส กล่าวว่า เรื่องตัวบุคคลนั้นไม่อยากแสดงความคิดเห็นมาก แต่ควรจะมีวิสัยทัศน์ในเรื่องความสมานฉันท์ ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่เป็นนอมินีของกลุ่มการเมืองใด และต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก