ปชป.คึกคักส่งขุนพล “สุเทพ” ประสานวิปพรรคร่วมห้ามแตกแถวโหวต หนุน “มาร์ค” นั่งนายกฯ “สาทิตย์” ฟุ้ง 260 เสียงชัวร์ กระตุกต่อมสำนึก ส.ส.พรรคร่วมหากไม่ยอมเปลี่ยนขั้วทางการเมือง หนีไม่พ้นรัฐบาลนอมินีแม้ว ความขัดแย้งไม่ยุติ
วันนี้ (14 ธ.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) ฝ่ายค้าน แถลงถึงการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้ (15 ธ.ค.)ว่า เบื้องต้นได้มีการประสานงานกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมซึ่งเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ตนรับผิดชอบ และในส่วนของพรรคร่วมนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคเป็นผู้ประสานงาน โดยจากการประชุมคณะกรรมการประสานงานเพื่อประเมินการประชุมในวันพรุ่งนี้คาดการณ์ว่าเหตุการณ์น่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและน่าจะได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่หากมีกรณีใดๆ เกิดขึ้นก็ได้มีการประสานงานกับประธานสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้แล้ว เพราะไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งนี้ เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมยังยืนยันอยู่ที่ 260 เสียง แม้จะมีความพยายามให้มีการเปลี่ยนขั้วไปสนับสนุนขั้วของพรรคเพื่อไทย หรือสนับสนุน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม
“ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้มีการประสานงานกันล่าสุดเมื่อวานนี้ เช้านี้ และเย็นนี้จะมีการพูดคุยกันเพิ่มเติม เราก็ยังยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นแกนนำในการจับขั้วรัฐบาลได้ ใน 260 เสียงนี้ได้มีการตรวจสอบกับแกนนำของผู้ที่เข้ามาร่วมจัดรัฐบาลแล้วในทุกกลุ่ม รวมถึงทุกพรรคยังยืนยันเช่นเดิม ข่าวที่ออกมาอาจจะมีความสับสน ก็อาจจะเป็นผลในเชิงจิตวิทยา ซึ่งอีกฝ่ายพยายามสร้างหรือโน้มน้าวให้พรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนที่อาจจะลังเลอยู่บ้างให้คล้อยตาม หรือโน้มไปทางพรรคเพื่อไทย แต่เรายังยืนยันว่าเสียงในขั้วพรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้” นายสาทิตย์ กล่าว
ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวด้วยว่า ในกลุ่มที่เป็นแกนนำร่วมกับพรรคในการจับขั้วรัฐบาลนั้น เป็นที่ทราบดีว่ามีเพียง 2 ขั้ว คือ การจับกลุ่มกับขั้วเก่าซึ่งมีพรรคพลังประชาชนในนามพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำหลัก ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีในขั้วนั้นก็จะหลีกเลี่ยงไม่พ้นข้อครหาว่าเป็นรัฐบาลนอมินี แม้จะมีความพยายามถ้อยทางยุทธศาสตร์ให้หัวหน้าพรรคเล็กเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่โดยเนื้อแท้พรรคพลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทยยังเป็นแกนนำหลักอยู่ดี ซึ่งทุกคนทราบดีว่าถ้าเป็นขั้วเก่าเช่นนั้น การเมืองคงหนีไม่พ้นที่จะต้องกลับสู่วังวนของความขัดแย้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และอีกทางคือการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองโดยให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ซึ่งขั้วใหม่นี้จะได้รับการตอบรับในเชิงกระแส และมีความคาดหวังจากหลายๆ ฝ่ายว่าจะสามารถที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ทิศทางที่ดีกว่าได้ ดังนั้นจึงเชื่อว่า ส.ส.ที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (15 ธ.ค.) สามารถที่จะตัดสินใจได้
สำหรับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีปราศรัยผ่านวีซีดีในรายการความจริงวันนี้สัญจรนั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า จากการประเมินเชื่อว่าไม่มีผลที่จะไปลบล้างความประสงค์ของแกนนำที่จะจับขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงการเมืองสู่ทิศทางที่ดีกว่าได้ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าการตัดสินใจของ ส.ส.ในวันพรุ่งนี้จะต้องเลือกระหว่างการที่จะจับขั้วกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนคนเดียว โดยการละทิ้งผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอีก 60 กว่าล้านคน หรือจะจับกลุ่มการเมืองใหม่เพื่อเปิดอนาคตให้คนไทยอีก 60 กว่าล้านคน ซึ่งตรงนี้เป็นตัวเลขที่สำคัญ และในวันนี้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนยันท่าทีนี้ให้กับขั้วของพรรคการเมืองที่มาจับขั้วรัฐบาลกันแล้ว
“ผมยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ขณะนี้ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ ในขั้วแกนนำที่จับขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์ ข่าวคราวที่เกิดขึ้นจะสร้างความสับสนไปจนกระทั่งถึงวันพรุ่งนี้ เราทราบดีว่ามีความพยายาม มีการพูดถึงการยิงในคืนหมาหอน มีการพูดถึงการยิงหน้าหน่วยอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้ว แต่เราไม่เชื่อว่า ส.ส.ที่ประชาชนเลือกมาจะเลือกแนวทางการเมืองเช่นนั้น และทำให้การเมืองกลับไปสู่วังวนของความขัดแย้งอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ดังนั้นในฐานะของกรรมการประสานงานจึงเรียนยืนยันความพร้อมเสียง รวมถึงท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะจับขั้วกับประชาธิปัตย์ เรายังยืนยันใน 167 เสียง ดังนั้นต้องเพิ่มเติมอีก 93 เสียง จากชาติไทย รวมใจไทยชาติพัฒนา มัชฌิมาธิปไตย เพื่อแผ่นดิน และกลุ่มเพื่อนเนวิน ยังยืนยันว่าสามารถมาจับขั้วกับประชาธิปัตย์ได้อยู่ และมีการประเมินกันว่าถ้ามีความพยายาม และทำสำเร็จในบางส่วน เสียงของพรรคที่จะเป็นแกนนำยังเกินจำนวน 250 แน่นอน แต่ก็คิดว่าอาจจะหวั่นไหวบ้างในบางส่วน” นายสาทิตย์ กล่าว
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า จำนวน ส.ส.ที่ต่างยืนยันนั้น ต้องมีการนับซ้ำ แต่ในส่วนของขั้วพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังไม่เปิดเผยชื่อเพราะหลายคนกังวลถึงความปลอดภัยของ ส.ส. เพราะขณะนี้มีหลายวิธีการ ทั้งโทรศัพท์จากต่างประเทศ มีการส่งคนไปล้อมบ้าน มีการขู่ว่าจะทำร้าย รวมถึงมีความพยายามที่ไปติดต่อครอบครัว ญาติพี่น้องของคนเหล่านั้น พรรคจึงคิดว่าความปลอดภัยของส.ส.ที่จะโหวตให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสิ่งสำคัญจึงยังไม่เปิดเผย แต่มั่นใจว่ายังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์
“การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ลำบากยากเข็ญที่สุด ต้องใช้ประสบการณ์การเมือง ความอดทนทุกวิถีทาง ซึ่งมีการประเมินไว้แล้วว่าจะมีความพยายามหลายอย่างในวันพรุ่งนี้ ทั้งก่อนการประชุม และช่วงการประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ได้เตรียมการไว้พร้อมแล้วว่าจะใช้วิธีการอย่างไร เช่นกรณีของการตรวจสอบเสียงของ ส.ส. การให้ส.ส.เดินทางมาถึงก่อนเวลาตั้งแต่วันนี้ (14 ธ.ค.) รวมถึงวันพรุ่งนี้ได้ขอให้ ส.ส.ไปถึงสภาแต่เนิ่นๆ และใช้วิปในการควบคุมเสียง และเราระมัดระวังจนถึงขั้นว่า ส.ส.บางคนอาจจะถูกปิดบ้าน ล้อมบ้านแล้วจะทำอย่างไร ซึ่งได้คุยกันละเอียด เพราะคิดว่าขั้วอำนาจเก่าคงจะดิ้นรนทุกวิถีทาง แต่คงไม่ถึงขั้นเก็บตัว ส.ส.”
ส่วนที่กลุ่มคนเสื้อแดงอาจจะไปล้อมทำให้เข้าสภาไม่ได้นั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า เรื่องเข้าสภานั้นเวลานี้ประเมินว่ายังสามารถเข้าไปประชุมได้ แต่ได้มีการประสานงานกับทางสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ เพราะกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างๆ ยังขึ้นอยู่กับรัฐบาลรักษาการ แต่เราได้ยืนยันกับหลายฝ่ายที่มีการประสานว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างไร ก็ไม่ควรให้เกิดความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น หากมีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรง เราก็เจรจาไว้แล้วว่าจะให้เลื่อนการประชุมออกไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง เพราะจะต้องไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อใดๆ ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ซึ่งเป็นหลักที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยัน
เมื่อถามว่าจะมีใครป่วยหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ถ้าแพทย์อนุญาตให้มาก็อยากให้มาร่วมประชุม ซึ่ง ส.ส.ก็เกรงข้อกล่าวหาเช่นกัน และบางจังหวัดที่มีข้อกล่าวหาตามสื่อ ก็ยืนยันว่าจะมาประชุม ดังนั้น เชื่อว่าไม่มีปัญหา ส.ส.ทุกคนอยากมาโหวต เพราะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ และเป็นการลุกขึ้นถามชื่อ ดังนั้นถ้าอยู่พรรคประชาธิปัตย์แล้วไม่ได้มาโหวตก็คงถูกถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่