ผู้ที่จงรักภักดีกับระบอบทักษิณยอมถวายหัวที่จะไม่ยอมให้วงจรอำนาจของพวกเขาถูกตัดตอนออกไปในขณะที่พวกเขายังไม่สามารถช่วย “นาย” ของเขาให้ได้อำนาจและศฤงคารที่โกงชาติกลับคืนมา
ด้วยเหตุนี้จึงต้องดึงดันไม่ได้พรรคประชาธิปัตย์ช่วงชิงโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเด็ดขาด
แต่อนิจจาตัวเลือกในยามนี้ของพวกรักทักษิณมีแค่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้ที่หากินด้วยการลงทุนในแชร์ “แม่ชม้อย” ซึ่งทำให้ประชาชนต้องฉิบวายวอดไปหลายร้อยล้านบาทมาแล้ว
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกนั้น ได้เปรียบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตรงที่แกเฒ่ากว่า เพราะกินข้าวแกงมานานกว่า แต่โดยชาติวุฒิและคุณวุฒิแล้ว
หาเทียบกันไม่ได้เลย
ประสบการณ์ของ พล.ต.อ.ประชา ก็อยู่กับการเป็นตำรวจที่ชอบเล่นแชร์ และสอพลอเจ้านายตามแบบฉบับของนายตำรวจที่ต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ไม่ปรากฏว่า พล.ต.อ.ประชาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหลักบริหารทางเศรษฐกิจเรื่องการต่างประเทศ แกอาจเคยข้ามแม่น้ำโขงไปเว้าลาวล้าง แต่ด้วยข้อจำกัดในโลกทัศน์ แกไม่มีทุนทางการเมืองหรือทางสังคม
นายอภิสิทธิ์นั้น แม้ว่าด้อยด้วยอายุ แต่ก็เป็นนักการเมืองที่หนุ่มกว่าและน่าจะมีลักษณะของคนก้าวหน้า เหนือกว่าด้วยความรู้รอบด้านภาษาและประสบการณ์ด้านต่างประเทศ ถูกบ่มเพาะจากพรรคการเมืองเก่าแก่ มีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่มีความประพฤติที่เหลวแหลก
ดังนั้นในด้านความพร้อมทางสังคม นายอภิสิทธิ์จึงเหนือกว่า พล.ต.อ.ประชา อยู่หลายช่วงตัว
ตั้งแต่รู้ว่าจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ไม่ปรากฏว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกได้แสดงทัศนะหรือพูดจาอะไรที่เป็นสาระทางด้านการบ้านการเมืองที่จะทำให้เรารู้ว่าท่านมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำประเทศ และไม่เคยบอกด้วยว่าจะมีวิธีการใดๆ ที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยับเยินอยู่ในขณะนี้
ตรงกันข้าม
นายอภิสิทธิ์นั้นได้พูดหลายครั้งกับปัญหาและสัญญากับประชาชนว่าจะดำเนินการร่างให้เกิดการฟื้นตัวต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยเขาจะเป็นหัวหน้าทีมงานที่จะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจของประเทศเองด้วย
เขานั้น จริงๆ แล้วไม่ได้แย่งชิงอำนาจและแสวงหาอำนาจ
แต่เขาเดินตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
ส่วน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นั้นไม่รู้ว่าเป็นตัวแทนหรือนอมินี่ให้ใครหรือไม่ เรายังไม่รู้ในเวลานี้
แต่กว่าหางของ พล.ต.อ.ประชา จะโผล่ออกมาให้เห็นว่า “หางแดง” หรือไม่นั้น เราอาจต้องเสียใจภายหลัง
วันดีเดย์เลือกนายกรัฐมนตรีซึ่งสองฝ่ายนับคะแนนโหวตแล้วยังสูสีกันอยู่ จะมีในวันที่ 15 ธ.ค.นี้แล้ว
พวกตกกระป๋องไม่มีอำนาจนั้นเห็นควรว่า หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็ควรที่จะบริหารงานแค่ระยะสั้น แล้วรีบยุบสภาภายใน 3 เดือนให้มีเลือกตั้งกันใหม่
คนที่หมดอำนาจก็คิดแบบนี้แหละ
อีกทั้งพวก “หิวเงิน” ก็อยากให้ยุบสภา โดยหวังว่า จะมีเงินไหลเข้ามาจากอดีตนายกฯ ทักษิณอีกจำนวนมาก เพราะรู้ว่าทักษิณก็ยังอยากเห็นพรรคพวกของตัวเองกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง จะได้ชำระคดีความที่ทำให้เขาต้องเป็นนักโทษติดคุก
แต่นายอภิสิทธิ์นั้นไม่สนใจที่จะยุบสภาเอาใจพวกแร้งทั้งหลาย เขานั้นก็อยากเป็น “การเมืองใหม่” เพราะว่าการเมืองเก่านั้นบั่นทอนประเทศไทยมายาวนาน
แต่อภิสิทธิ์คิดว่าจะมีการเมืองใหม่ขึ้นมาได้ ก็จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราบ้าง
เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนะครับ
อภิสิทธิ์ยังย้ำว่า เรื่องคนบ้านเลขที่ 111 นั้น ไม่เคยมีความคิดที่จะนิรโทษให้
นี่แหละเป็นการเมืองที่ถูกกำหนดให้เป็นแค่ “เกมแห่งอำนาจ” ที่พวกสูญเสียอำนาจเห็นว่า จะต้องเข้ามาขวางพรรคประชาธิปัตย์ไว้
แต่ “เกมแห่งอำนาจ” นั้นมีกติกาอยู่ว่า เมื่อตัดสินด้วยการลงมติด้วยเสียงข้างมากแล้ว อีกฝ่ายกต้องยอมรับ
เท่าที่ทราบ จะมีการยอมรับกันได้ในสภา
แต่พวก “หางแดง” ที่เลื้อยคลานใส่เสื้อแดง ไม่ยอมหรอก แต่จะปิดล้อมสภา และหากปชป.ชนะ พวกเลื้อยคลานที่ “หางแดง” ก็จะก่อการร้ายทันที
มันน่าสมเพชกับพฤติกรรมเช่นนี้จริงๆ
ด้วยเหตุนี้จึงต้องดึงดันไม่ได้พรรคประชาธิปัตย์ช่วงชิงโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเด็ดขาด
แต่อนิจจาตัวเลือกในยามนี้ของพวกรักทักษิณมีแค่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้ที่หากินด้วยการลงทุนในแชร์ “แม่ชม้อย” ซึ่งทำให้ประชาชนต้องฉิบวายวอดไปหลายร้อยล้านบาทมาแล้ว
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกนั้น ได้เปรียบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตรงที่แกเฒ่ากว่า เพราะกินข้าวแกงมานานกว่า แต่โดยชาติวุฒิและคุณวุฒิแล้ว
หาเทียบกันไม่ได้เลย
ประสบการณ์ของ พล.ต.อ.ประชา ก็อยู่กับการเป็นตำรวจที่ชอบเล่นแชร์ และสอพลอเจ้านายตามแบบฉบับของนายตำรวจที่ต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ไม่ปรากฏว่า พล.ต.อ.ประชาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหลักบริหารทางเศรษฐกิจเรื่องการต่างประเทศ แกอาจเคยข้ามแม่น้ำโขงไปเว้าลาวล้าง แต่ด้วยข้อจำกัดในโลกทัศน์ แกไม่มีทุนทางการเมืองหรือทางสังคม
นายอภิสิทธิ์นั้น แม้ว่าด้อยด้วยอายุ แต่ก็เป็นนักการเมืองที่หนุ่มกว่าและน่าจะมีลักษณะของคนก้าวหน้า เหนือกว่าด้วยความรู้รอบด้านภาษาและประสบการณ์ด้านต่างประเทศ ถูกบ่มเพาะจากพรรคการเมืองเก่าแก่ มีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่มีความประพฤติที่เหลวแหลก
ดังนั้นในด้านความพร้อมทางสังคม นายอภิสิทธิ์จึงเหนือกว่า พล.ต.อ.ประชา อยู่หลายช่วงตัว
ตั้งแต่รู้ว่าจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ไม่ปรากฏว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกได้แสดงทัศนะหรือพูดจาอะไรที่เป็นสาระทางด้านการบ้านการเมืองที่จะทำให้เรารู้ว่าท่านมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำประเทศ และไม่เคยบอกด้วยว่าจะมีวิธีการใดๆ ที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยับเยินอยู่ในขณะนี้
ตรงกันข้าม
นายอภิสิทธิ์นั้นได้พูดหลายครั้งกับปัญหาและสัญญากับประชาชนว่าจะดำเนินการร่างให้เกิดการฟื้นตัวต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยเขาจะเป็นหัวหน้าทีมงานที่จะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจของประเทศเองด้วย
เขานั้น จริงๆ แล้วไม่ได้แย่งชิงอำนาจและแสวงหาอำนาจ
แต่เขาเดินตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
ส่วน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นั้นไม่รู้ว่าเป็นตัวแทนหรือนอมินี่ให้ใครหรือไม่ เรายังไม่รู้ในเวลานี้
แต่กว่าหางของ พล.ต.อ.ประชา จะโผล่ออกมาให้เห็นว่า “หางแดง” หรือไม่นั้น เราอาจต้องเสียใจภายหลัง
วันดีเดย์เลือกนายกรัฐมนตรีซึ่งสองฝ่ายนับคะแนนโหวตแล้วยังสูสีกันอยู่ จะมีในวันที่ 15 ธ.ค.นี้แล้ว
พวกตกกระป๋องไม่มีอำนาจนั้นเห็นควรว่า หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็ควรที่จะบริหารงานแค่ระยะสั้น แล้วรีบยุบสภาภายใน 3 เดือนให้มีเลือกตั้งกันใหม่
คนที่หมดอำนาจก็คิดแบบนี้แหละ
อีกทั้งพวก “หิวเงิน” ก็อยากให้ยุบสภา โดยหวังว่า จะมีเงินไหลเข้ามาจากอดีตนายกฯ ทักษิณอีกจำนวนมาก เพราะรู้ว่าทักษิณก็ยังอยากเห็นพรรคพวกของตัวเองกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง จะได้ชำระคดีความที่ทำให้เขาต้องเป็นนักโทษติดคุก
แต่นายอภิสิทธิ์นั้นไม่สนใจที่จะยุบสภาเอาใจพวกแร้งทั้งหลาย เขานั้นก็อยากเป็น “การเมืองใหม่” เพราะว่าการเมืองเก่านั้นบั่นทอนประเทศไทยมายาวนาน
แต่อภิสิทธิ์คิดว่าจะมีการเมืองใหม่ขึ้นมาได้ ก็จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราบ้าง
เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนะครับ
อภิสิทธิ์ยังย้ำว่า เรื่องคนบ้านเลขที่ 111 นั้น ไม่เคยมีความคิดที่จะนิรโทษให้
นี่แหละเป็นการเมืองที่ถูกกำหนดให้เป็นแค่ “เกมแห่งอำนาจ” ที่พวกสูญเสียอำนาจเห็นว่า จะต้องเข้ามาขวางพรรคประชาธิปัตย์ไว้
แต่ “เกมแห่งอำนาจ” นั้นมีกติกาอยู่ว่า เมื่อตัดสินด้วยการลงมติด้วยเสียงข้างมากแล้ว อีกฝ่ายกต้องยอมรับ
เท่าที่ทราบ จะมีการยอมรับกันได้ในสภา
แต่พวก “หางแดง” ที่เลื้อยคลานใส่เสื้อแดง ไม่ยอมหรอก แต่จะปิดล้อมสภา และหากปชป.ชนะ พวกเลื้อยคลานที่ “หางแดง” ก็จะก่อการร้ายทันที
มันน่าสมเพชกับพฤติกรรมเช่นนี้จริงๆ