ตรัง – ปชช.ตรังแสดงความดีใจกับการเมืองใหม่ด้วยความคึกคัก ฝ่ายใต้ความหวังเศรษฐกิจของประเทศดีกว่าเดิม ผู้อำนวยการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ตรัง เป็นห่วงเรื่องปัญหาบ้านเมืองที่ยังค้างคาอยู่ ชี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องบริหารประเทศอย่างชัดเจนและจริงจัง
วันนี้ (15 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดตรัง ได้ออกไปติดตามบรรยากาศการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ซึ่งเป็นไปอย่างคึกคัก โดยประชาชนชาวจ.ตรัง มีการติดตามการถ่ายทอดสดทางทีวีอย่างไม่ละสายตา หรือไม่ยอมพลาดการออกเสียงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่เข้าร่วมในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจำนวนทั้งสิ้น 436 เสียง
กระทั่งผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้น ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการโหวตเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ด้วยคะแนนเสียงจำนวน 235 เสียง ส่วน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้รับคะแนนโหวตจำนวน 198 เสียง และมีการงดออกเสียงจำนวน 3 เสียง ทำให้พี่น้องประชาชนชาวตรังที่มีการติดตามบรรยากาศมาตั้งแต่เริ่มการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น มีการแสดงความยินดีร่วมกันระหว่างผู้ที่ติดตามชมด้วยสีหน้าที่สดใสและใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาว จ.ตรังบางส่วน เช่น ตามห้างร้านต่างๆ ในเขตเทศบาลนครตรัง ได้มีการแสดงความยินดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับการโหวตเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ด้วยการจุดปะทะดังสนั่นหวั่นไหวอย่างคึกคัก เพื่อแสดงออกถึงความดีใจ ที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยต่างคาดหวังว่าจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้
นายสฤษดิ์ ธัญกิจจานุกิจ ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ตรัง และนักวิชาการด้านกฎหมายชื่อดังของจังหวัดตรัง กล่าวว่า แม้เสียงประชาชนชาวตรังส่วนใหญ่ หรือประมาณ 80% จะเห็นด้วยต่อการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ได้กลับมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง แต่ยังมีปัญหาต่างๆ มากมายที่รออยู่ข้างหน้า เพื่อให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เข้ามาแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างหนัก รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายทั้งภายในสภา และนอกสภา อย่างกลุ่มม็อบเสื้อแดง ที่จะมีเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในภาคเหนือ และภาคอีสาน
นอกจากนั้น เสียงของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ที่ไม่มีเสถียรภาพมากพอ เพราะแค่เพียงพรรคใด หรือกลุ่มใดที่ร่วมรัฐบาล และมีเสียงประมาณ 30 เสียง เกิดเปลี่ยนใจหันไปสนับสนุนยังอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะส่งผลกระทบทันทีต่อรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ ถึงขั้นต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ตลอดจนการประสานเรื่องผลประโยชน์กับพรรค หรือกลุ่มร่วมรัฐบาล และเรื่อง ส.ด.43 หรือการเกณฑ์ทหารของ นายอภิสิทธิ์ ที่ยังไม่มีคำชี้แจงที่ชัดเจน ดังนั้น จึงเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะอยู่บริหารประเทศได้ประมาณ 3-4 เดือน นอกจากทำผลงานออกมาได้อย่างชัดเจนและจริงจัง ก็อาจจะอยู่ได้นานถึง 1 ปี แต่คงไม่ครบเทอม