ทีมโฆษก ปชป.ซัด “แม้ว” ตัวบงการสร้างความแตกแยก ชี้ แผนชั่วแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม นโยบายการเงิน เตรียมขุมทรัพย์สืบทอดอำนาจ เย้ย “แม้ว” ไม่เหลือศักดิ์ศรี เตรียมเหมือนพระถูกจับสึก ต้องยึดพาสปอร์ตแดง เหตุ เป็นผู้ร้ายหนีศาล
วันนี้ (24 ส.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ ว่า กำลังเข้าสู่การเผชิญหน้า ซึ่งพรรคอยากให้ทุกฝ่ายนึกถึงประโยชน์ของส่วนรวม โดยคำนึงถึงข้อกฎหมาย แต่จากการสถานการณ์ความแตกแยกของพรรคพลังประชาชนจนถึงขั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ต่อสายเข้ามาเคลียร์ปัญหาภายในพรรค ทำให้สถานการณ์การเผชิญหน้ารุนแรงมากขึ้น ดังนั้น จุดยืนของรัฐบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหลังความขัดแย้งภายในพรรคยุติลงก็เกิดการต่อรองต่างๆ และมีพัฒนาการที่จะส่งสัญญาณ และสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ปัญหาทางการเมืองและความขัดแย้ง 2 เรื่อง คือ
1.การใช้กลไกแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะหน่วยงานที่ต้องพิจารณาก่อนที่จะส่งเข้าชั้นศาล รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจจะส่งผลกระทบโดยตรง อย่างน้อย 2 ฉบับคือ วิธีพิจารณาความอาญาของศาลรัฐธรรมนูญ และวิธีพิจารณาความของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขณะเดียวกัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็มีการส่งสัญญาณว่าจะถอนร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับองค์กรอิสระไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยอ้างว่าเป็นกฎหายเกี่ยวกับการเงินที่ต้องให้นายกฯ เซ็นรับรอง ซึ่งทั้งหมดนี้จะหมิ่นเหม่ต่อการขัดรัฐธรรมนูญ 2550 อย่างยิ่ง ซึ่งการหยิบยกกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรอิสระมาพิจารณาก่อนขึ้นศาล ถือเป็นการสร้างเงื่อนไขและเป็นการต่อรอง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ถูกจับได้ในคดีที่ติดสินบนเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินรัชดา และเกิดจากที่อดีตนายกฯ ต่อสายตรงเคลียปัญหา
2.การแทรกแซงนโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) จนกระทั่งเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ได้มีความพยายามแทรกแซงกรมสรรพากรผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ จึงอยากถามว่าเหตุใดกระทรวงการคลังจึงสั่งให้กรมสรรพากรดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนถึงขั้นหามาตรการมาต่อรองทั้งๆ ที่กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานที่ปกป้องเงินของแผ่นดิน และทำงานเป็นข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย แทนที่จะปกป้องกระบวนการยุติธรรมแต่กลับมีการดำเนินการตามคำสั่ง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในกรณีที่ข้าราชการปฏิบัติตามคำสั่งของนักการเมือง จนต้องถูกรับโทษไม่ว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากร 5 คนที่ถูกไล่ออกเมื่อปี 2549 และอีก 5 คนอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญากรณีฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในคดีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษี การซื้อขายหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์
“เป้าหมายของการดำเนินการครั้งนี้เป็นการเตรียมการสืบทอดอำนาจของพรรคการเมือง หลังการตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ และการที่เข้าไปแทรกแซงนโยบายการคลังการเงิน รวมถึงกรมสรรพากรถือเป็นการเตรียมทรัพย์สินเพื่อดำรงไว้ซึ่งกลุ่มอำนาจทางการเมือง และสืบทอดอำนาจของอดีตนักการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี” นพ.บุณัชย์ กล่าว
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการถอนพาสปอร์ตแดง ที่จะมีการพิจารณาในการกระชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารที่ 26 ส.ค.นี้ ว่า การที่กระทรวงต่างประเทศโยนเผือกร้อนให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตัดสินใจในการถอนพาสปอร์ตแดงนั้น ถือเป็นบทพิสูจน์ของนายกฯและมาตรฐานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กับรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติแตกต่างกันอย่างไร เพราะรัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ได้ยกเลิกพาสปอร์ตสีแดงไปแล้ว ครั้งนี้ นายสมัคร อาจจะอึดอัด แต่การที่เคยประกาศในสภาว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น นายสมัครไม่ควรเกรงใจต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และน่าจะพิจารณาเรื่องโดยปราศจากแรงกดดันภายในพรรค ตนคิดว่า นายสมัคร ไม่ควรไปเกรงกลัวสมาชิกภายในพรรค เพราะในฐานะผู้นำพรรคที่ถือไพ่เหนือกว่าสมาชิกพรรค และตนเชื่อว่า สมาชิกพรรคทุกคนก็กลัวการยุบสภาของนายกฯ
นายเทพไท กล่าวต่อว่า พาสปอร์ตสีแดงนั้น ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงษ์ และเอกสิทธิ์ทางการทูตของเจ้าหน้าที่ทูตในการปฏิบัติหน้าที่ในนามของพระมหากษัตริย์ที่เป็นตัวแทนของประเทศไทย สำหรับอดีตนายกฯ กระทรวงการต่างประเทศเคยระบุว่า ให้พาสปอร์ตแดงถือว่าเป็นเกียรติของอดีนายกฯ แต่วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นผู้ต้องหาการหลบหนีคดี สมควรได้รับเกียรตินี้จากกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ ถ้าเปรียบเสมือนพระบวช ก็จะมีใบสุทธิพระภิกษุสำหรับเป็นนักบวช แต่เมื่อเกิดการจับสึกก็ต้องยึดใบสุทธิพระ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เช่นกัน ที่ได้รับเกียรติจากประเทศได้รับพาสปอร์ตสีแดง แต่กลับมาถูกข้อกล่าวหาหมายจับ ตนคิดว่าจึงไม่สมควรที่จะให้ถือพาสปอร์ตแดงต่อไป เพราะพาสปอร์ตแดงนั้นถือเป็นเกียรติของประเทศ
“การที่พรรคออกมาเคลื่อนไหว ไม่ต้องการที่จะให้ ส.ส.พปช.มากล่าวหาว่า พรรรประชาธิปัตย์มาเหยียบย่ำ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ที่ให้ความเห็นเรื่องนี้ เพราะอยากเตือนสติให้แยกแยะระหว่างผู้นำที่มีพฤติกรรมที่ไม่สุจริตกับศักดิ์ศรีของประเทศชาติ” นายเทพไท กล่าว
ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงท่าทีต่อประธานสโมสรแมนฯซิตี ว่า จะพิจารณาตัวเองลาออกในฐานะที่นำความเสื่อมเสียมาสู่สโมสรนั้น ตนอยากถามกลับว่า ในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ นำความเสื่อมเสียมาสู่ประเทศชาติ ให้สัมภาษณ์ใส่ร้ายประเทศชาติ ตนไม่เคยเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความรับผิดชอบต่อประเทศชาติเลย จึงอยากถามหาความรับผิดชอบด้วย