หัวโจก นปก.เริ่มตีปี๊บแก้ รธน.ยันวิปรัฐ ยื่นญัตติ 18 ส.ค.แน่ ดันทุรังไม่รอผลศึกษา กมธ.อ้าง ปชป.หวังถ่วงให้ล่าช้า พร้อมหนุนแก้ ม.63 สุดตัว อ้างจะทำให้การชุมนุมมีระเบียบมากขึ้น ป้ายสีพันธมิตรฯ จุดชนวน “ลูกจีนรักชาติ” หวังสร้างความแตกแยกทางเชื้อชาติ ให้คนไทยขัดแย้งกันจนนำไปสู่รัฐประหาร
วานนี้ (5 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี
เนื้อหาในรายการผู้ดำเนินรายการได้กล่าวชื่นชมการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ทำได้เป็นอย่างดีเลือกคนมาบริหารบ้านเมืองได้เหมาะสม โดยเฉพาะการเลือกนายวีรพงษ์ รามางกูร มาดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ถือว่าดีมาก เพราะ นายวีรพงษ์ เป็นคนดีมีความสามารถ ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์ เกรงว่า เมื่อนำคนที่ทำงานในบริษัทเอกชน มาร่วมประชุม ครม.อาจเกิดการนำข้อมูลลับมาเผยแพร่นั้น ต้องบอกได้เลยว่าไม่ต้องกลัว เพราะถึงไม่มีคนนอกเข้าประชุม ครม.ข้อมูลต่างๆ ก็รั่วไหลอยู่แล้ว โดยเห็นได้จากการที่บางครั้ง แม้ที่ประชุมจะบอกว่าเป็นความลับ แต่รัฐมนตรีบางคนก็นำออกมาบอกสื่อมวลชนอยู่ดี ดังนั้น จึงอยากฝากบอกไปยังพรรคประชาธิปัตย์ด้วยว่า อย่าทำเป็นไร้เดียงสา ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นนักการเมืองก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่า ข้อมูลการประชุม ครม.ยังไงก็ไม่เป็นความลับอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงเรื่องการแก้ไข รธน.ด้วยว่า มีความแน่นอนแล้ว ว่า อย่างไรเสียก็จะมีการเสนอร่างแก้ไข รธน.เข้าสู่สภาในวันที่ 18 ส.ค.นี้แน่นอน ซึ่งหากคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้เพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถทำเสร็จให้ทันในวันที่ 18 ส.ค.นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ก็ยืนยันว่า จะแก้ไขอยู่ดี เนื่องจากทางวิปรัฐบาลเห็นแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามที่จะดึงเกม ทำทีพิจารณาไม่เสร็จสิ้นเสียที ดังนั้นจากนี้พรรคร่วมรัฐบาลจะเดินหน้า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ไม่ต้องรอประชาธิปัตย์”
ในช่วงท้าย แกนนำ นปก.ยังคงกล่าวโจมตีพันธมิตรฯ เช่นเคย โดยกล่าวถึงการชุมนุมของพันธมิตรฯ ขณะนี้ว่า เริ่มหมดงบประมาณการชุมนุม จึงต้องระดมคนขึ้นไปกล่าวบนเวทีเพื่อขอเรี่ยไรเงิน ถึงขนาดที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ต้องขึ้นไปโกหกว่า ให้มาร่วมระดมทุนช่วยพันธมิตรฯ แล้วจะได้บุญ ซึ่งเป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพ เพราะเอาเงินไปช่วยพันธมิตรฯ ไม่มีทางได้บุญ เพราะเมื่อพันธมิตรฯ ได้เงินไปก็เอาไปชุมนุมสร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนให้กับผู้อื่นต่อไป แล้วจะเรียกว่าได้บุญได้อย่างไร
ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่า การกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ หมดเงินชุมนุม จนต้องให้ พล.ต.จำลอง ขึ้นไปกล่าวบนเวทีว่าการระดมเงินให้พันธมิตรฯ เป็นการทำบุญนั้น เป็นการพูดโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะคำพูดเรื่องการทำบุญของ พล.ต.จำลอง นั้น พูดมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการชุมนุม โดยจะพูดเป็นคำขวัญก่อนการปราศรัยว่า “เรามาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ” ซึ่งการทำบุญ คือ การทำประโยชน์ ซึ่งหมายถึงการขับไล่นักการเมืองโกงชาติ เพื่อให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุขต่างหาก ไม่ได้หมายถึงการเรี่ยไรเงินทำบุญตามที่ 3 อดีตแกนนำ นปก.บิดเบือน
เมื่อจบรายการดังกล่าวแล้ว ผู้ดำเนินรายการทั้งสาม คือ นายวีระ นายจตุพร และ นายณัฐวุฒิ ก็เดินทางไปจัดรายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ใช่ช่วง 22.15 น.เช่นเคย โดยเนื้อหาในรายการก็คล้ายกับข้อมูลที่กล่าวไปแล้วในรายการ เพื่อนพ้องน้องพี่ คือ กล่าวชื่นชมการปรับ ครม.และโจมตีพันธมิตรฯ
ซึ่งในส่วนของการกล่าวโจมตีพันธมิตรฯ นั้น ก็ได้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงกล่าวหาการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพิ่มเติมว่า แต่เดิมนั้นกลุ่มพันธมิตรฯ พยายามปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงมาแล้ว ในกรณีเขาพระวิหารที่มีการปลุกระดม แล้วกล่าวหาว่า รัฐบาลขายชาติ แต่เมื่อปลุกระดมไม่สำเร็จ เพราะรัฐบาลได้ดำเนินการทางการทูต จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายได้แล้ว
อดีต นปก.ทั้ง 3 คน ยังบิดเบือนต่ออีกว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ก็เปลี่ยนเป็นการจุดชนวนเรื่องเชื้อชาติขึ้นใหม่ โดยหวังจะปลุกระดมให้คนไทยที่มีเชื้อสายจีนมาต่อสู้กับคนไทยที่เป็นคนรากหญ้า ซึ่งสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ดังนั้น เรื่องนี้จึงบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะทำได้ทุกอย่างปลุกระดมได้ทุกเรื่อง เพียงหวังให้เกิดความรุนแรงเพื่อที่ทหารจะได้ออกมาปฏิวัติ ยึดอำนาจ ไล่รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งออกไป
เห็นได้ชัดว่า ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 จงใจที่จะบิดเบือนข้อมูล เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้มีโอกาสติดตามข่าวการชุมนุมของพันธมิตรฯอย่างตรงไปตรงมาเกิดความเข้าใจผิด เพราะที่มาขอการพูดถึงเรื่องคนจีนรักชาตินั้น มาจากการที่ นายสนธิ มีเชื้อสายจีน แต่ก็ทนไม่ได้ที่เห็นประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤตจากนักการเมืองโกงชาติ นั่นคือ ระบอบทักษิณ จึงต้องออกมาขับไล่นักการเมืองโกง และเรียกร้องให้คนไทยเชื้อสายจีนที่มีความรักชาติออกมาขับไล่นักการเมืองที่โกงชาติ เพราะฉะนั้นเป้าหมายการขับไล่อยู่ที่นักการเมืองโกงชาติ ไมได้อยู่ที่คนไทยรากหญ้าตามที่ทั้ง 3 แกนนำ นปก.จงใจบิดเบือน
ส่วนข้อหาที่ว่า พันธมิตรฯ ต้องการให้เกิดการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น เป็นการกล่าวหาที่ดันทุรังเพื่อทำลายความชอบธรรมของพันธมิตรฯ เพราะถ้าได้มีโอกาสมาฟังการปราศรัยของพันธมิตรฯ แกนนำแต่ละคนได้พูดมาตลอดว่า ไม่ต้องการรัฐประหาร เพราะได้เห็นชัดเจนแล้วว่า การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.นั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึง กรณีที่นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะแก้ไข รธน.มาตรการ 63 โดยจะให้มีการเพิ่มเติมว่า การชุมนุมจะต้องไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ รวมไปถึงไม่บังคับและไม่จ้างวานคนมาชุมนุมนั้น ทั้ง 3 คน มองว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว โดยอ้างว่าจะทำให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ และให้ความยุติธรรมกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ให้ถูกพูดจาใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่เป็นธรรม
แกนนำ นปก.บอกว่า พวกตนยังคิดด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้ว การแก้ รธน.มาตรานี้ควรจะระบุไปเลย ว่าห้ามถ่ายทอดสดการปราศรัยบนเวทีชุมนุมผ่านเคเบิลทีวี จะได้ตัดปัญหาการใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาลไม่ให้แผ่หลายไปยังท้องที่ต่างๆ
ทั้ง 3 คน บิดเบือนอีกว่า การที่พันธมิตรฯ ออกมาต่อต้านการแก้ไขนั้น ก็เป็นเพราะพันธมิตรฯ กลัวการแก้ไขมาตรา 63 เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ มีการพกพาอาวุธอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากเมื่อครั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯ ปะทะกับกลุ่มต่อต้าน พันธมิตรฯ ก็ถืออาวุธเป็นไม้ หรือกระบองเหล็กอยู่มากมาย
ทั้งนี้ การจุดกระแสเรื่องการแก้ไขมาตรา 63 นั้น มาจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่จู่ๆ ก็พูดในรายการสนทนาประสาสมัคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า พันธมิตรฯ กลัวการแก้ไข รธน.มาตรา 63 จึงได้ออกมาคัดค้านการแก้ไข รธน. ซึ่งการพูดของนายสมัครสร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่ายเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่เคยบอกว่าจะแก้ไขมาตรานี้ จึงไม่ทราบว่าฝ่ายพันธมิตรฯ จะไปกล้วได้อย่างไร และถ้าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 นั้น เป็นการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับรัฐบาล ซึ่งตอนนั้นรัฐบาลมุ่งจะแก้มาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค และมาตรา 309 เพื่อล้มล้างผลงาน คมช.เป็นหลัก ก่อนที่จะเพิ่มมาตรา 190 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การลงนามในแถลงการณ์ไทย-กัมพูชาเรื่องเขาพระวิหาร ขัดต่อมาตรา 190
นอกจากนั้น เนื้อหาในมาตรา 63 ก็เป็นหลักสากลที่รัฐบาลไทยได้ลงนามในปฎิญญาสากลกับสหประชาติไว้แล้ว และมีปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ฉบับปี 2517 จึงไม่คิดว่ารัฐบาลชุดนี้จะกล้าทำการแก้ไข
ข้ออ้างที่ว่าพันธมิตรฯ ไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ ก็เป้นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนอย่างร้ายกาจ เพราะนับตั้งแต่วันเริ่มชุมนุมเมื่อ 25 พ.ค.51 หรือย้อนไปตั้งแต่การจัดสัมมนาที่ ม.ธรรมศษสตร์ วันที่ 28 มี.ค.51 ฝ่ายรัฐบาลต่างหากที่จัดอันธพาลมาก่อกวน โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถดูแลความสงบให้เกิดขึ้นได้ จนฝ่ายพันธมิตรฯ ถูกทำร้ายตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.เป็นต้นมา และยิ่งเห็นชัดเจนในการชุมนุมวันที่ 25 พ.ค.ที่ฝ่ายพันธมิตรฯ บาดเจ็บหลายคน จนต้องมีมาตรการตอบโต้ และจัดให้การ์ดมีอุปกรณ์ป้องกันตัว แต่ก็ยังถูกฝ่ายอันธพาลจัดตั้งของรัฐบาลเข้ามาก่อกวนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมแต่ละครั้ง มีจุดเริ่มต้นจากฝ่ายอันธพาลจัดตั้งของรัฐบาลมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ จ.อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ นครพนม ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ เชียงราย เชียงใหม่ ซึ่งเริ่มมาจากกลุ่มอันธพาลจัดตั้งเข้ามาก่อกวนยังสถานที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ ด้วยความจงใจที่จะข่มขู่ ทำร้ายร่างกายฝ่ายพันธมิตรฯ เพื่อหวังให้หยุดการชุมนุม จนฝ่ายพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย โดยที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเต็มที่ในการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนที่บริสุทธ์