อดีตแกนนำ นปก.เดินหน้าจัดรายการหนุนแก้ รธน.มาตรา 237 หวังหนียุบพรรค แค้นฝังหุ่น หลังเคยถูกตุลาการ รธน.“จรัญ ภักดีธนากุล” ตำหนิเรื่องแก้ รธน.สู้ไม่ได้เลย ขุดเรื่องคนในครอบครัวมาทำลายความน่าเชื่อถือ ย้อนถามถ้า เมียเคยทำผิด แล้วจะยอมรับโทษพร้อมเมียหรือไม่ - ชมเปาะ รบ.จัดโผ ครม.ได้ดีเยี่ยม เชื่อบ้านเมืองเจริญแน่
วานนี้ (4 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี
ทั้งนี้ เนื้อหาในรายการได้เน้นไปถึงการแสดงความคิดเห็นต่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าผลการปรับ ครม.ออกมาค่อนข้างน่าพอใจ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ที่มาดำรงตำแหน่งเป็น รมว.กลาโหม นั้น ถือว่ามีความเหมาะสมมาก เพราะ พล.ต.อ.โกวิท ถือเป็นคนดีคนหนึ่ง เห็นได้จากกรณีการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.ว่า พล.ต.อ.โกวิท ไม่ได้เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่ก็ต้องจำใจเข้าร่วมเพราะไม่มีอำนาจยับยั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งเป็น ผบ.ทบ.ขณะนั้นได้ แต่เมื่อทำงานต่อไปภายใต้การนำของ รัฐมนตรียุคเผด็จการแล้ว ด้วยความเป็นคนดีจึงไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมของเผด็จการ สุดท้ายจึงต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ดังนั้น ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า รมว.มหาดไทย คนนี้ นอกจากจะมีความรู้ความสามารถในการบริหารเพราะเคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ มาแล้ว ยังเป็นคนดีอีกด้วย
ผู้ดำเนินรายการยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีการแต่งตั้ง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ นายวีรพงษ์ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์สูง และได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากในวงการธุรกิจ การได้คนเก่งๆ เช่นนี้มาทำงานจึงถือเป็นเรื่องดีมาก ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมากล่าวว่า เกรงว่านายวีรพงษ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในบริษัทเอกชนอยู่ แล้วได้เข้าร่วมประชุม ครม.ด้วย แล้วอาจจะล้วงความลับไปหาผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองนั้น พวกตนมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาแล้ว ก็เหมือนกับสังคมโดยทั่วไปรู้แล้วว่ามี นายวีรพงษ์อยู่ ดังนั้น หากมีวันใดที่บริษัทที่ นายวีรพงษ์ ทำงานอยู่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลอย่างไม่ชอบมาพากล ก็สามารถตรวจสอบได้ทันที แต่โดยส่วนตัวแล้วพวกตนอยากแนะนำให้ นายวีรพงษ์ได้ลองทำงานไปก่อน อย่างเพิ่งตั้งแง่สงสัยกัน เพราะหาก นายวีรพงษ์ ทำไม่ดีจริงค่อยรุมสับกันตอนนั้นก็ยังไม่สาย
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ด้วยว่า มีงบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ขอว่าประชาชนอย่าเพิ่งต่อว่า ว่า ใช้งบประมาณมากเกินไป เพราะราคาดังกล่าวรวมค่าเวนคืนที่ดิน และค่าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ไว้แล้ว อีกทั้งรัฐสภายังถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ดังนั้นการรจะเสียเงินสร้างสัก 20,000 ล้านก็คุ้มค่า ซึ่งก็ต้องชมรัฐบาลชุดนี้ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องรัฐสภาแห่งใหม่นี้มีแนวคิดมานาน แต่เพิ่งจะมาก้าวหน้าเป็นรูปเป็นร่างก็ตอนรัฐบาลชุดนี้เอง
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังกล่าวโจมตีพันธมิตรฯ เช่นเคย โดยกล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กระทำการเรียกร้องให้ลูกคนจีนออกมาร่วมชุมนุมต่อสู้ เป็นการกระทำเพื่อหวังปลุกระดมให้คนไทยเชื้อสายจีน ที่มีฐานะที่สามารถสนับสนุนเรื่องเงินทุนให้พันธมิตรฯ ออกมาต่อสู้กับคนรากหญ้าที่สนับสนุนรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นการก่อให้เกิดความแบ่งแยกเชื้อชาติขึ้นในประเทศไทย ต้องถามไปยัง นายสนธิ ว่า แค่ตอนนี้คนก็แบ่งเป็นฝ่ายในเรื่องการเมืองอยู่แล้วยังไม่พอใจ ยังอยากให้ประเทศแตกแยกจากเรื่องแบ่งแยกเชื้อชาติอีกหรือ
ทั้งนี้ เมื่อจบรายการดังกล่าวแล้ว ในช่วง 22.15 น.ผู้ดำเนินรายการ 3 คน คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร และ นายณัฐวุฒิ ก็ได้ไปดำเนินรายการต่อที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ในช่วงเวลาของ “รายการความจริงวันนี้” เช่นเคย
โดยในเนื้อหารายการได้เน้นไปที่การกล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องแก้ไข รธน.โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยถึงมาตรา 237 ที่ระบุว่า หากกรรมการบริหารพรรคกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งแล้ว จะต้องถูกยุบพรรคและกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี นายวีระ ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจและคับแค้นใจเป็นอย่างมาก โดยกล่าวว่าเป็นข้อกฎหมายที่ไม่มีความยุติธรรม และควรจะต้องดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด
นายวีระ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เคยกล่าวถามต่อสังคม 3 ข้อ ว่า 1.จะให้อาชญากรแก้ไขกฎหมายอาญาหรือไม่ 2.จะให้นักเลือกตั้งแก้ไขการทุจริตซื้อเสียงหรือไม่ 3.จะให้มิจฉาทิฐิ แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าสังคมให้คำตอบอย่างไร จะได้นำไปศึกษาและปฏิบัติต่อไป โดย นายวีระ กล่าวตอบโต้อย่างคับแค้นใจว่า คนที่เป็นอาชญากรไม่ใช่รัฐบาลที่กำลังจะแก้กฎหมายในขณะนี้หรอ แต่พวกคณะรัฐประหารต่างหากที่เป็นอาชญากรตัวจริง และนักการเลือกตั้งก็ไม่ได้ต้องการแก้ไขการทุจริตซื้อเสียงด้วย แต่ที่แก้ก็เพราะกฎหมายไม่ยุติธรรมทำให้คนที่ไม่ได้ทำผิดต้องโดนเหมาเข่งรับผิดไปด้วยเรื่องนี้จึงไม่ถูกต้อง ส่วนข้อสุดท้ายที่ว่าจะให้มิจฉาทิฐิ แก้ รธน.หรือไม่นั้น ตนก็ต้องบอกเลยว่า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิ คือคนที่ฉีกรัฐธรรมนูญต่างหาก ไม่ใช่คนที่จะแก้ให้เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นเรื่องนี้จึงอยากจะบอกนายจรัญว่า อย่ามาสะเออะ พูดจาใส่ความ หรือเอาความเท็จมาพูดกล่าวหากัน
ในชวงท้ายรายการผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 ได้พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของ นายจรัญ โดยนำเอกสารคำพิพากษาของศาลฉบับหนึ่งมาอ่านในรายการ โดยมีเนื้อความว่า เจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งใน จ.สงขลา เคยทำหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้ลงรายละเอียด ให้ภรรยา และแม่ยาย ของ นายจรัญ นำที่ดิน 22 ไร่เศษ ไปดำเนินการทำพัฒนาที่ดิน แต่ภรรยาและแม่ยาย ของนายจรัญ ได้นำหนังสือมอบอำนาจไปดำเนินการนอกเหนือคำสั่ง คือนำเอาที่ดินดังกล่าวไปโอนเป็นชื่อของตัวเอง จากนั้นจึงนำที่ดินขายดังกล่าวไปขาย แต่เมื่อเจ้าของที่ดินทราบจึงฟ้องร้องดำเนินคดีและอายัดที่ดินดังกล่าวไม่ให้มีการซื้อขาย จนในที่สุดศาลชั้นต้นก็ตัดสินว่าภรรยา และแม่ยาย ของนายจรัญกระทำการฉ้อโกงจริง จึงพิพากษาให้ ภรรยาและแม่ยายของนายจรัญ ต้องคืนที่ดินให้กับเจ้าของเดิม และชดใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าเสียหาย
ทั้งนี้ ที่พวกตนกล่าวเรื่องดังกล่าวขึ้นมาก็เนื่องจากอยากจะยกให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า หากกรณีเช่นนี้เป็นเหมือนมาตรา 237 คือ กรรมการบริหารพรรคกระทำความผิดก็ต้องถูกยุบพรรค แล้วหากเทียบเคียงกับกรณีของนายจรัญ เมื่อภรรยาและแม่ยายนายจรัญ กระทำความผิดแล้วนายจรัญ และครอบครัวทุกคนต้องรับโทษไปกับภรรยา และแม่ยายด้วย ถามว่าเป็นเรื่องที่ยุติธรรมหรือ แล้วตัวนายจรัญเองจะยอมรับกฎหมายดังกล่าวได้หรือไม่