“พิภพ” จวกเละ “ทนายแผ่นดิน” ทำตัวเป็นทาสนักการเมืองชั่วเพราะผลประโยชน์ส่วนตน ขัดเจตนารมณ์ รธน.ที่ให้อิสระในการทำงาน ระบุการร่วมแก้ต่างให้ รมต.ที่มีความผิด เหมือนเป็นการผันตัวเองไปอยู่ข้างจำเลยโกงชาติ พร้อมลั่นใช้ระบบนิติรัฐเป็นที่พึ่งจัดการนักการเมืองเลวให้สิ้นซาก เพื่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วันที่ 30 ก.ค. เวลาประมาณ 21.05 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศัยบนเวทีสะพานมัฆวานฯ ว่า ในวันนี้พรุ่งนี้จะไม่มีการไปชุมนุมที่ศาลอาญาระหว่างการอ่านคำพิพากษาคดีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และพวก เลี่ยงภาษี เพราะเท่ากับเป็นการกดดันศาล
นายพิภพ กล่าวต่อว่า ขณะนี้คดีต่างๆ เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ากระบวนการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงบางองค์กรอย่างอัยการ ที่ยังเกรงว่าจะมีผลประโยชน์จากนักการเมืองอยู่
ทั้งนี้ การที่มีคำสั่งให้อัยการสูงสุด และ พล.อ.พัชรวาท วงษณ์สุวรรณ ผบ.ตร.เข้าไปดำรงตำแหน่งบอร์ดบริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ทำให้ตำแหน่งอัยการแผ่นดินขาดความเป็นอิสระตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ รวมถึงการทำตามคำสั่ง ครม.ในการเป็นทนายให้กับรัฐมนตรีที่ถูกดำเนินคดี เท่ากับนำตนเองเข้าไปเป็นจำเลยแทนที่จะเป็นทนายแผ่นดิน
“การที่อัยการไปเป้นกรรมการรัซวิสาหกิจต่างๆ ทำให้ความเป็นอิสระว่าความให้แผ่นดินจะหมดไป เพราะตกเป็นจำเลยด้วย การเมืองใหม่ต้องไม่เอาผลประโยชน์ไปให้ข้าราชการประจำ ซึ่งที่ผ่านมาการเมืองจะอาตำแหน่งบอร์ด ไปให้ข้าราชการประจำอย่างนี้ ถึงแม้จะไม่มีความรู้ในด้านนั้นก็ตาม ซึ่งเราต้องช่วยกันลบคนพวกนี้ทิ้งเพื่อนำไปสู่การเมืองใหม่” นายพิภพกล่าว
นายพิภพ กล่าวอีกว่า ขณะนี้อัยการไร้ความสำนึกและทำให้ตนเองหมดความเป็นอิสระในการทำงาน เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ในอดีต แม้กระทั่งในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ยังไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับ ธปท.แต่อย่างใด เพราะความเป็นอิสระของ ธปท.จะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไม่ถูกการเมืองนำไปลงเหวได้ และบอร์ดสามารถทักท้วงแนวทางของกระทรวงการคลังจากความเป็นอสิระนี้
ทั้งนี้ ในสมัยที่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ได้คำนึงถึงเรื่องนี้มากที่สุดและพร้อมจะลาออกหากมีการแทรกแซง แต่ไม่ทราบว่าผู้ว่าฯ แบงก์ชาติสมัยนี้มองเรื่องนี้อย่างไร ที่ไม่ส่งสัญญาณว่าจะลาออก หรือไม่กล้า นี่แหละปัญหาคนเราที่ยอมเป็นทาสแต่ไม่ยอมเป็นอิสระ
“เรื่องนี้มีผลต่ออนาคต เรื่องค่าเงิน และเงินในกระเป๋าของชาวไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ เมื่อหมดความอิสระ มีข้าราชการที่ไม่มีความรู้เข้ามา มีผลกระทบเกิดขึ้น ซึ่งการทำแบบนี้เท่ากับเป็นการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ครอบงำ ของเผด็จการที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตย ที่มาจากการซื้อเสียงทั้งนั้น แบบนี้ประเทศชาติจะเสียหาย โดยการเมืองน้ำเน่าแบบนี้จะปล่อยไว้ทำไมในเมื่อกฎหมายยังดูแลไม่ได้ แล้วจะดูแลประเทศได้อย่างไร” นายพิภพกล่าว
นอกจากนี้ นักการเมืองพวกนี้ยังสร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง โดยไม่คำนึงถึงจุดยืนคุณธรรมจริยธรรม และการดึงดันจะเป็นรัฐมนตรีทั้งที่มีความผิด อย่าง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง จะยิ่งสร้างความเสียหายต่อประเทศ เพราะหากไปเซ็นอะไรไว้ในอนาคตจะมีปัญหาได้ ซึ่งควรที่จะลาออกเพื่อรอความจริงก่อน และนี่เป็นการเมืองน้ำเน่าทำให้พวกงูเห่าจะกลับมาอีก โดยประชาชนจะต้องมาเหนื่อยเพื่อไล่คนพวกนี้ต่อไป
นายพิภพ กล่าวอีกว่า การที่นักการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย จะส่งผลให้ทุกอย่างในระบบ ทั้งรัฐสภา สภานิติบัญญัติ ไม่เป็นประชาธิปไตยไปด้วย โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องเริ่มตั้งแต่ครอบครัว พรรคการเมือง ซึ่งการที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ แถลงลาออกวานนี้ แต่ลูกพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วย กลับบอกว่าจะต้องมีการประชุมคณะกรรการพรรคอีกเท่ากับไม่เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่แรก
“ในฐานะนักการเมืองที่ผ่านร้อนมามาก ควรบริหารการเมืองแบบประชาธิปไตย งูเห่าจะไม่เกิด การถอนตัวไม่เป็นประชาธิปไตยจะทำให้มีปัญหา โดยหากถามถึงคุณบรรหาร ถึงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ 309 คุณบรรหารทำอะไรอยู่ หรือมันสะท้อนว่าถ้าได้เป็นรัฐมนตรีจะไม่อดยากปากแห้งหรือเปล่า ซึ่งการเมืองเก่าๆ แบบนี้ยังมีอยู่และเราต้องพูดให้มากขึ้น” นายพิภพกล่าว
นายพิภพ กล่าวอีกว่า มติของ 5 แกนนำพันะมิตรฯ วันนี้คือการมอบหมายให้นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ไปยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช. กรณีที่ข้าราชการต่างๆ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายประชาชนทั้งที่จังหวัดอุดรธานี และมหาสารคาม และนอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการจัดการกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ที่มีความรับผิดชอบ แต่ปล่อยให้ประชาชนถูกทำร้าย นอกจากนี้ยังมีการแสดงตัวเพือสนับสนุน กลุ่มที่ทำร้ายประชาชนอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ การที่สื่อนำเสนอข่าวว่าเป็นการตีกันของ 2 กลุ่ม เสมือนการรายข่าวที่บิดเบือนเหมือนช่วง 14 ตุลา และ 6 ตุลา ร่วมถึงพฤษภาทมิฬ เพราะการเสนอให้ข่าวว่าประชาชนตีกันจะทำให้อีกฝ่ายได้ใจและความรุนแรงจะไม่ยุติ โดยเป็นเรื่องที่สื่อทุกแขนงต้องรับผิดชอบ และเปลี่ยนแปลง
“ที่เขาพระวิหาร นักการเมืองท้องถิ่นให้คนไปขัดขวางแล้วมาทุบตีประชาชน ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นภาพจะออกมาสวย คนทั่วโลกจะเห็นว่าคนไทยตระหนักถึงอธิปไตย แล้วรัฐบาลไม่อายบ้างหรือ ที่ไปสนับสนุน ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่น โดยผู้สื่อข่าวต้องเสนอให้ถูกต้อง ต้องพุ่งเป้าไปที่รัฐบาล ซึ่งต้องบอกกับชาวโลกว่าเราไม่เคยไปยุ่งกับใคร ต่างคนต่างอยู่ แสดงความคิดคนละเรื่องก็ทำไป แต่กลับบอกว่าเราไปตีกับเขาด้วยมันไม่ถูกต้อง” นายพิภพกล่าว
นายพิภพ กล่าวว่า หลังจากนี้เราจะไปดำเนินการตามกฎหมายหมด และไปฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกคน ซึ่งนอกเหนือจากยื่นร้อง ป.ป.ช.แล้ว เราจะต้องดำเนินคดีที่ศาลอาญากรุงเทพฯ ด้วย โดยจะเห็นว่าพันธมิตรฯ จะใช้อหิงสา สันติ และยึดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนที่มาชุมนุมกับเรามาเป็นแสน และดูเอเอสทีวีอีก 15 ล้าน รวมถึงอินเทอร์เน็ต แสดงว่ามีคนเห็นด้วยกับเราเกินครึ่งของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐบาลกับยังไม่สนใจยังตะแบงที่จะอยู่ต่อ ซึ่งเราจะใช้ศาลทุกศาล เพื่อให้ระบบนิติรัฐเป็นที่พึ่งของเราในการกำจัดนักการเมืองชั่วออกไป
ทั้งนี้ การต่อสู้ในระบบนิติรัฐจะต้องใช้เวลา แต่เมื่อสำเร็จ จะกลายเป็นการเมืองใหม่ทันที ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนมองว่าผู้มีอำนาจจะไม่ติดคุก แต่เมื่อรัฐมนตรีติดคุกทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ระบบอื่นๆ ก็จะเปลี่ยนไปด้วย
ทั้งนี้ อยากให้อัยการแสดงความบริสุทธิ์ใจลาออกจากตำแหน่งอื่นๆ เพื่อความโปร่งใสและเป็นอิสระ โดยที่ผ่านมาเราไม่ไปดาวกระจายที่อัยการ เพราะต้องการปล่อยให้ทำงาน แต่ตอนนี้เราเริ่มไม่วางใจอัยการอีกต่อไป แต่เราจะต้องต่อสู้ด้วยสนติวิธี และขบวนการยุติธรรมจะอยู่กับประชาชน เพื่อนำไปสู่นิติรัฐกำจัดนักการเมืองให้สิ้นซาก